คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 341

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 727 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1357/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายโดยตรงจากการฉ้อโกง: การฟ้องร้องดำเนินคดีแพ่งแยกต่างหากมิใช่ความเสียหายโดยตรงในคดีอาญา
จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกู้ยืมเงินโจทก์โดยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของจำเลยที่ 2 เป็นหลักประกัน โดยตกลงกันว่าจำเลยทั้งสองจะต้องไถ่ถอนคืนภายในกำหนด 2 ปี ต่อมาจำเลยที่ 1 อ้างว่าจำเลยที่ 2 ให้นำเงินมาชำระและยินยอมให้โจทก์โอนที่ดินดังกล่าวใส่ชื่อจำเลยที่ 1 โจทก์หลงเชื่อจึงโอนที่ดินใส่ชื่อจำเลยที่ 1ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งข้อหาผิดสัญญาเรียกค่าเสียหาย ดังนี้ การที่จำเลยที่ 2 ยื่นฟ้องโจทก์เป็นการกระทำอีกส่วนหนึ่งต่างหาก มิใช่การกระทำในคดีนี้ เพราะคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ความเสียหายที่จะได้รับจะต้องเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการถูกหลอกลวงนั้นโดยตรง แม้โจทก์จะได้รับความเสียหายจากการถูกฟ้อง ความเสียหายดังกล่าวก็มิใช่ความเสียหายโดยตรงในคดีนี้โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1357/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายจากการฉ้อโกงต้องเป็นผลโดยตรง การถูกฟ้องเป็นความเสียหายต่างหาก
ผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงจะต้อง ได้ รับความเสียหายอันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการถูก หลอกลวงนั้นโดยตรง การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยร่วมกันหลอกลวงโจทก์ และผลการหลอกลวงเป็นเหตุให้จำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายนั้น ถึง แม้โจทก์จะได้ รับความเสียหายจากการถูก ฟ้อง ความเสียหายดังกล่าวก็มิใช่ความเสียหายโดยตรงในคดีนี้ และการที่จำเลยได้ ยื่นฟ้องโจทก์เป็นการกระทำอีกส่วนหนึ่งต่างหาก มิใช่การกระทำในคดีนี้ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหายในคดีนี้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1357/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายโดยตรงในคดีฉ้อโกง การฟ้องร้องดำเนินคดีแพ่งแยกต่างหากไม่ถือเป็นความเสียหายโดยตรง
จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกู้ยืมเงินโจทก์โดยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของจำเลยที่ 2 เป็นหลักประกัน โดยตกลงกันว่าจำเลยทั้งสองจะต้องไถ่ถอนคืนภายในกำหนด 2 ปี ต่อมาจำเลยที่ 1 อ้างว่าจำเลยที่ 2 ให้นำเงินมาชำระและยินยอมให้โจทก์โอนที่ดินดังกล่าวใส่ชื่อจำเลยที่ 1 โจทก์หลงเชื่อจึงโอนที่ดินใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งข้อหาผิดสัญญาเรียกค่าเสียหาย ดังนี้ การที่จำเลยที่ 2 ยื่นฟ้องโจทก์เป็นการกระทำอีกส่วนหนึ่งต่างหาก มิใช่การกระทำในคดีนี้ เพราะคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ความเสียหายที่จะได้รับจะต้องเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการถูกหลอกลวงนั้นโดยตรง แม้โจทก์จะได้รับความเสียหายจากการถูกฟ้อง ความเสียหายดังกล่าวก็มิใช่ความเสียหายโดยตรงในคดีนี้โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1237/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการจัดหางานสำคัญกว่าการเรียกเก็บเงิน หากไม่มีเจตนาจัดหางานจริง แม้เรียกเก็บเงิน ก็ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จัดหางาน
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐาน ฉ้อโกง และความผิดต่อพ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางานฯ โดย ความผิดตาม พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางานฯ โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันจัดหางานแก่คนงานโดย ทั่วไป จำเลยกับพวกดังกล่าวได้ เรียกและ รับค่าบริการเป็นเงินเป็นค่าตอบแทนการจัดหางาน ทั้งนี้โดยจำเลย กับพวกไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตาม กฎหมายแต่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ ดำเนินการอย่างไรบ้างในการจัดหางานโดย ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งข้อเท็จจริงตาม คำบรรยายฟ้องในความผิดฐาน ฉ้อโกงซึ่ง จำเลยให้การ รับสารภาพก็ฟังได้ว่า จำเลยไม่สามารถและไม่มีเจตนาที่จะจัดส่งโจทก์ร่วมทั้งสามไปทำงานยังประเทศ ซาอุดีอาระเบีย แต่ ประการ ใด แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะจัดหางานให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสาม แต่ ได้ อ้างเอา การจัดหางานมาเป็นวิธีการหลอกลวงเพื่อให้โจทก์ทั้งสามหลงเชื่อยอมให้เงินแก่จำเลยเท่านั้นข้อเท็จจริงจึงไม่พอฟังว่าจำเลยได้ ดำเนินการจัดหางานอันจะเป็นความผิดฐาน จัดหางานโดย ไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1197/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาจัดหางานหรือไม่: ศาลฎีกาชี้ขาดคดีฉ้อโกงหลอกลวงจัดหางานต่างประเทศ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันจัดหางานให้ผู้เสียหายซึ่ง เป็นคนหางานไปทำงานในประเทศ สิงคโปร์ โดย เรียกและรับค่าบริการ แต่ ในความผิดฐาน ฉ้อโกงโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองโดย ทุจริตร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายด้วย การแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริง ซึ่ง ควรบอกให้แจ้งว่ามีงานให้ทำและจำเลยทั้งสองจะจัดให้ผู้เสียหายทำงานที่ประเทศ สิงคโปร์ อันเป็นความเท็จ ซึ่ง ความจริงแล้วไม่มีงานให้ทำ จำเลยไม่มีเจตนาและไม่สามารถที่จะส่งผู้เสียหายไปทำงานที่ประเทศ สิงคโปร์ ได้ เพราะจำเลยทั้งสองมิได้รับอนุญาตให้จัดหางานเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนาจะจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายแต่ อย่างใดจำเลยทั้งสองเพียงแต่อ้างการจัดหางานเพื่อให้ได้ เงินค่าบริการจากผู้เสียหายเท่านั้นการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐาน จัดหางานโดย มิได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528ดัง โจทก์ฟ้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นว่ากล่าวศาลก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ เอง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1038/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายพลอยด้วยเช็คและการปฏิเสธการจ่ายเงิน ไม่เข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง แต่เป็นเรื่องผิดนัดชำระหนี้และ พ.ร.บ. เช็ค
โจทก์ร่วมและ ร. สามีโจทก์ร่วมได้ ขายพลอยให้แก่จำเลยที่ 1 โดย จำเลยที่ 1 ออกเช็ค สั่งจ่ายเงินชำระราคาพลอยให้แก่ ร.เมื่อเช็ค ถึง กำหนดชำระเงิน ร. ให้ ส. นำไปเข้าบัญชีของ ส. เพื่อเรียกเก็บเงินแทน แต่ ธนาคารตาม เช็ค ได้ ปฏิเสธการจ่ายเงินดังนี้เป็นเรื่องผิดนัดไม่ชำระหนี้ทางแพ่ง และเป็นเรื่องความผิดต่อพ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ หาใช่ความผิดฐานฉ้อโกงไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกงจากการหลอกลวงลงทุนค้าทองคำ ศาลลดโทษจากความสัมพันธ์และเงินคืนบางส่วน
จำเลยมิได้ประกอบธุรกิจค้าขายทองคำ แต่หลอกลวงโจทก์ โดยการพูดจาชักชวนให้โจทก์ร่วมลงทุนเข้าหุ้นค้าทองคำกับจำเลยโจทก์หลงเชื่อมอบเงินให้แก่จำเลยไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3784/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยเปลี่ยนใจไม่ขายข้าวโพดหลังรับเงินมัดจำ ไม่เข้าข่ายฉ้อโกง แต่เป็นการผิดสัญญา
จำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้แก่ผู้เสียหาย และผู้เสียหายได้จ่ายเงินค่าข้าวโพดให้จำเลยไปแล้ว ครั้นผู้เสียหายจะไปรับมอบข้าวโพด จำเลยบอกว่าไม่ขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายและไม่ยอมให้นำข้าวโพดไป ผู้เสียหายทวงเงินคืน จำเลยบอกว่าไม่มีเงินคืนให้เช่นนี้ เป็นเรื่องจำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายแล้วเปลี่ยนใจไม่ยอมขาย ข้าวโพดที่จะขายมีอยู่จริง ในขณะที่เจรจาตกลงซื้อขายกัน จึงเป็นกรณีที่จำเลยประพฤติผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นจำเลยไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3784/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตกลงซื้อขายแล้วไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่เข้าข่ายฉ้อโกง หากข้าวโพดยังมีอยู่จริงขณะเจรจา
จำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้ผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายจ่ายเงินค่าข้าวโพดให้จำเลยล่วงหน้าบางส่วน ครั้นผู้เสียหายไปขอรับมอบข้าวโพด ปรากฏว่าข้าวโพดได้หายไปจากเดิมเกือบครึ่งหนึ่ง จำเลยบอกว่าไม่ขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายและไม่ยอมให้นำข้าวโพดไป ผู้เสียหายทวงเงินคืน จำเลยบอกว่าไม่มีเงินคืนให้ เช่นนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายแล้วเปลี่ยนใจไม่ยอมขายให้ข้าวโพดที่จะขายมีอยู่จริงในขณะเจรจาตกลงซื้อขายกันจึงเป็นกรณีที่จำเลยประพฤติผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้นไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3784/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายข้าวโพดผิดนัด ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
จำเลยตกลงจะขายข้าวโพดให้แก่ผู้เสียหายและผู้เสียหายได้จ่ายเงินค่าข้าวโพดให้จำเลยไปแล้ว แต่ครั้นผู้เสียหายจะไปรับมอบข้าวโพด จำเลยบอกว่าไม่ขายข้าวโพดให้ผู้เสียหายและไม่ยอมให้นำข้าวโพดไป ผู้เสียหายทวงเงินคืน จำเลยบอกว่าไม่มีเงินคืนให้เช่นนี้ เป็นเรื่องจำเลยตกลงจะขายข้าวโพดแล้วเปลี่ยนใจไม่ยอมขายให้ผู้เสียหาย ข้าวโพดที่จะขายมีอยู่จริงในขณะที่เจรจาตกลงซื้อขายกัน จึงเป็นกรณีที่จำเลยประพฤติผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น จำเลยไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง.
of 73