พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6788/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แปลงหนี้ใหม่ทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นความรับผิด กรณีสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้เปลี่ยนสาระสำคัญแห่งหนี้เดิม
การที่โจทก์และจำเลยที่ 3 แถลงร่วมกันต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางให้ชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเพียงข้อเดียวว่า สัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของจำเลยที่ 1 เป็นการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่ ถ้าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ จำเลยที่ 3 ก็หลุดพ้นจากความรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันของจำเลยที่ 1 ถือว่าโจทก์และจำเลยที่ 3 ได้สละประเด็นข้อพิพาทอื่นทั้งหมด ดังนั้นการที่จำเลยที่ 3 อุทธรณ์และโจทก์แก้อุทธรณ์ในประเด็นอื่นดังกล่าว จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พ.ศ.2539 มาตรา 38 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
สัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เป็นการเพิ่มจำนวนหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิด และเปลี่ยนประเภทหนี้ เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ และตกลงที่จะผูกพันตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นการแปลงหนี้ใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 349 วรรคหนึ่ง มีผลให้หนี้เดิม คือ หนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีททั้ง 16 ฉบับ ที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกันเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่ จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นความรับผิด
สัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เป็นการเพิ่มจำนวนหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิด และเปลี่ยนประเภทหนี้ เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ และตกลงที่จะผูกพันตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นการแปลงหนี้ใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 349 วรรคหนึ่ง มีผลให้หนี้เดิม คือ หนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีททั้ง 16 ฉบับ ที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกันเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่ จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นความรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10454/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการเรื่องค่าธรรมเนียมการจัดการ ไม่ขัดต่อประมวลรัษฎากร และหน้าที่ชำระภาษีของคู่สัญญา
คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการข้อที่ 1 ที่ว่าผู้ร้องมีสิทธิได้รับค่าธรรมเนียมการจัดการเต็มจำนวนโดยไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายนั้น คำชี้ขาดดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าขัดต่อประมวลรัษฎากร เพราะการที่ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างจะต้องชำระเงินค่าธรรมเนียมการจัดการให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจ้างและได้รับเงินได้พึงประเมินตามที่จ่ายในประเทศไทย อันเป็นเหตุให้ผู้ร้องต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายไว้ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากรก็ตาม แต่หน้าที่ของผู้ร้องในการที่ต้องชำระภาษีจากเงินได้พึงประเมิน และหน้าที่ของผู้คัดค้านในการที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินที่ต้องจ่ายให้แก่ผู้ร้องก็ไม่ได้ถูกลบล้างไปโดยข้อตกลงตามสัญญาการจัดการดังกล่าว สัญญาการจัดการระหว่างผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ตกลงกันให้ผู้รับจ้างได้รับผลตอบแทนเต็มจำนวน ย่อมสามารถคิดคำนวณกันได้ คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงเป็นการชี้ขาดเฉพาะในเรื่องของสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของคู่สัญญาตามสัญญาการจัดการ ที่เป็นผลให้ผู้คัดค้านต้องชำระเงินค่าตอบแทนตามสัญญาในรูปค่าธรรมเนียมการจัดการให้แก่ผู้ร้องเต็มจำนวนเท่านั้น ไม่กระทบถึงหน้าที่ของผู้ร้องและผู้คัดค้านที่เกี่ยวกับการชำระภาษีจากจำนวนเงินค่าตอบแทนดังกล่าวตามที่กำหนดไว้ในประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด เพราะทั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านยังมีหน้าที่ชำระภาษีตามที่กฎหมายกำหนดไว้ คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่ขัดต่อกฎหมาย และการบังคับตามคำชี้ขาดในส่วนดังกล่าวก็ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8501/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนหนี้สินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ทำให้ผู้ฟ้องเดิมไม่มีอำนาจฟ้อง และศาลต้องจำหน่ายคดี
ก่อนที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะมีคำพิพากษา บริษัทบริหารสินทรัพย์ ส. ได้โอนหนี้รายนี้ให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ ท. ไปแล้ว สิทธิเรียกร้องที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ ส. ในฐานะผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ที่มีต่อจำเลยทั้งสี่จึงโอนไปเป็นของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ ท. ตาม พ.ร.ก.บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2544 มาตรา 30 บริษัทบริหารสินทรัพย์ ส. ผู้เข้าสวมสิทธิแทนโจทก์จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีนี้อีกต่อไป และปรากฏว่าบรรษัทบริหารสินทรัพย์ ท. มิได้ยื่นคำร้องขอเป็นอย่างอื่น มาตรา 30 วรรคหก ศาลฎีกาให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่ต่อไป