พบผลลัพธ์ทั้งหมด 202 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11489/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืมเงิน: ใบสมัครสินเชื่อถือเป็นหลักฐานหนังสือตามกฎหมายได้ แม้ทำก่อน/หลังสัญญา
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง แห่ง ป.พ.พ. ไม่ใช่แบบแห่งนิติกรรม ทั้งกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าหลักฐานดังกล่าวจะต้องมีขึ้นเฉพาะในขณะที่ทำสัญญากู้ยืม ดังนั้น หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือจึงอาจมีขึ้นก่อนหรือหลังทำสัญญากู้ยืมก็ได้ เมื่อได้ความว่าหลังจากจำเลยกรอกข้อความในแบบพิมพ์ใบสมัครสินเชื่อบุคคลขอกู้ยืมเงินโจทก์วงเงิน 35,000 บาท ตามเงื่อนไขและข้อตกลงในแบบพิมพ์ดังกล่าวและยื่นต่อโจทก์อันเป็นการทำคำเสนอขอกู้ยืมเงินโจทก์ และวันต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบว่าตกลงให้จำเลยกู้ยืมเงิน 24,700 บาท ซึ่งอยู่ภายในวงเงินที่จำเลยขอกู้ยืม จึงเป็นคำสนองรับตามคำเสนอของจำเลย สัญญากู้ยืมระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเกิดขึ้นและบริบูรณ์ เมื่อโจทก์ส่งมอบเงินที่กู้ยืม โดยโอนเงิน 23,630 บาท เข้าบัญชีที่จำเลยระบุไว้ ดังนี้ ใบสมัครสินเชื่อบุคคลที่จำเลยกรอกข้อความและลงลายชื่อในช่องลายมือของผู้กู้ จึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมตามมาตรา 653 วรรคแรก ที่โจทก์ใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องให้บังคับจำเลยตามสัญญากู้ยืมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11488/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้อุปกรณ์ไม่มีหนี้ประธาน สัญญาจำนองเป็นโมฆะ ผู้จำนองไม่ต้องรับผิด
หนี้ตามหนังสือสัญญาจำนองเป็นหนี้อุปกรณ์ที่มีขึ้นเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ประธานคือ หนี้เงินที่จำเลยกู้ยืมไปจากโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์ กรณีจึงไม่มีหนี้ประธาน โจทก์จึงไม่อาจฟ้องให้จำเลยในฐานะผู้จำนองรับผิดตามสัญญาจำนอง ซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ได้ คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมอบอำนาจให้ จ. ไปจดทะเบียนจำนองหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11445/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์สินจากความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด: เงื่อนไขการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด
เมื่อมีกฎหมายใหม่กำหนดเงื่อนไขในการขอคืนของกลางตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30 วรรคสี่ ผู้คัดค้านก็ต้องปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าว กล่าวคือ ต้องพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว จึงจะขอให้ปล่อยทรัพย์สินได้ ลำพังผู้คัดค้านไม่รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 36 แต่เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะขอคืนของกลางได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8956/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดทางละเมิดจากการซื้อขายสินค้าที่ผิดสัญญาระหว่างสมาชิกผู้จำหน่าย และการกระทำโดยสุจริตของผู้ซื้อ
จำเลยที่ 2 เป็นสมาชิกผู้จำหน่ายของโจทก์ ซื้อสินค้าจากโจทก์ในราคาสมาชิกแล้วจำหน่ายสินค้าให้แก่ จำเลยที่ 1 ซึ่งนำสินค้าเหล่านี้จำหน่ายต่อในราคาที่ต่ำกว่าที่ระบุไว้ที่บรรจุภัณฑ์ อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดในสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงผิดสัญญาต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 เคยเป็นสมาชิกผู้จำหน่ายของโจทก์และทราบข้อกำหนดห้ามดังกล่าวแต่ขณะซื้อผลิตภัณฑ์ของโจทก์ จากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 มิได้เป็นสมาชิกผู้จำหน่ายของโจทก์ ข้อกำหนดห้ามดังกล่าว จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 ให้ต้องปฏิบัติตามด้วย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420
แม้จำเลยที่ 1 จะรู้ว่าการที่จำเลยที่ 2 จำหน่ายสินค้าให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นการผิดสัญญาต่อโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิในการประกอบอาชีพค้าขายโดยเสรี ไปวางจำหน่ายในท้องตลาดเพื่อหากำไรตามอัตภาพ มิใช่กระทำโดยมุ่งประสงค์จะใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 421 การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 1 เคยเป็นสมาชิกผู้จำหน่ายของโจทก์และทราบข้อกำหนดห้ามดังกล่าวแต่ขณะซื้อผลิตภัณฑ์ของโจทก์ จากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 มิได้เป็นสมาชิกผู้จำหน่ายของโจทก์ ข้อกำหนดห้ามดังกล่าว จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 ให้ต้องปฏิบัติตามด้วย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420
แม้จำเลยที่ 1 จะรู้ว่าการที่จำเลยที่ 2 จำหน่ายสินค้าให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นการผิดสัญญาต่อโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิในการประกอบอาชีพค้าขายโดยเสรี ไปวางจำหน่ายในท้องตลาดเพื่อหากำไรตามอัตภาพ มิใช่กระทำโดยมุ่งประสงค์จะใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 421 การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8706/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับจำนองและการรับผิดในฐานะผู้รับโอนมรดก ผู้รับโอนต้องรับผิดตามสัญญาเดิม
จำเลยทั้งห้าเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่จำนองมาจากนาย ก. สืบเนื่องมาจากการรับมรดก จึงต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของนาย ก. กล่าวคือต้องรับผิดตามสัญญาจำนองแทนนาย ก. หาใช่เป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองแต่อย่างใด กรณีของจำเลยทั้งห้าจึงมิต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 735 ที่โจทก์ในฐานะผู้รับจำนองจะต้องมีจดหมายบอกกล่าวล่วงหน้า 1 เดือน เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งห้าชำระหนี้ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ จึงเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7939/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหน้าที่รัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบใน พ.ร.บ.เลือกตั้ง ต้องกระทำในอำนาจหน้าที่โดยตรงเท่านั้น
องค์ประกอบสำคัญในความผิดต่อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 มาตรา 47 นั้น ผู้กระทำจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำการเฉพาะที่เกี่ยวกับงานในอำนาจหน้าที่ของตนโดยตรงตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ตามระเบียบราชการหรือตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา ให้มีหน้าที่นั้น ๆ เท่านั้น ถ้าเป็นการกระทำที่ไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นโดยตรง แต่กระทำไปโดยไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีอำนาจหน้าที่ตามระเบียบหรือที่ได้รับมอบหมายจากผู้มีอำนาจหน้าที่ให้กระทำย่อมไม่เป็นความผิดตามบัญญัติดังกล่าว แม้จำเลยทั้งสิบจะระบุตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านลงในหนังสือร้องเรียนก็หาเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสิบมีอำนาจหน้าที่ใด ๆ ในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยตรงไม่ ทั้งการทำหนังสือร้องเรียนนั้น จำเลยทั้งสิบสามารถกระทำได้โดยไม่จำต้องอาศัยการมีตำแหน่งหน้าที่ราชการใด จึงไม่ใช่การกระทำที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยตรงของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านหรือผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน การกระทำของจำเลยกับพวกจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2541 มาตรา 47
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6396/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์เจตนาสมคบร่วมกันในคดีค้ายาเสพติด: ฎีกาไม่ชอบเมื่อขาดหลักฐานชัดเจนเชื่อมโยงจำเลยกับขบวนการ
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนของ หจก. ค. ในการติดต่อขอเช่าตู้คอนเทนเนอร์ ว่าจ้างรถบรรทุกขนย้าย ดำเนินการพิธีการศุลกากร ไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับการบรรจุสินค้า ดำเนินการทางพิธีการทางศุลกากรตามปกติ ไม่ทราบว่าเอกสารที่ยื่นปลอม จำเลยทั้งสองอาจไม่ทราบเรื่องกัญชาของกลาง โจทก์ฎีกาว่า การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นการสมคบกันกระทำความผิดโดยมีเจตนาร่วมกันมาตั้งแต่ต้นที่จะกระทำความผิด เป็นการกระทำความผิดที่เป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำตามความเหมาะสม ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ การรู้พื้นที่ที่จะกระทำความผิด แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก็ต้องถือว่าการกระทำความผิดดังกล่าวทั้งหมดเป็นการกระทำของผู้ร่วมขบวนการในการกระทำความผิดทุกคน รวมทั้งจำเลยทั้งสองเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดในฐานะตัวการ ฎีกาดังกล่าวของโจทก์มิได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ทั้งเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งว่าขบวนการค้ายาเสพติดมีขั้นตอนอย่างไร จำเลยทั้งสองเข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างไร พยานหลักฐานของโจทก์ส่วนใดที่ชี้ชัดว่าจำเลยทั้งสองร่วมขบวนการค้ายาเสพติด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6112/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของตัวแทน และอายุความฟ้องละเมิด
เอกสารที่จำเลยที่ 3 ใช้ติดต่อกับโจทก์เป็นเอกสารที่ติดต่อกันในนามของจำเลยที่ 1 แม้ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า โจทก์ได้เข้าทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 1 ดำเนินคดีให้โจทก์หรือโจทก์ได้เข้าตกลงทำสัญญากับผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 แต่พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 3 เป็นทนายความประจำบริษัทจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 3 ใช้สถานที่ของจำเลยที่ 1 เป็นที่ทำการของจำเลยที่ 3 ยอมให้จำเลยที่ 3 ใช้เอกสารติดต่อกับโจทก์ในนามของจำเลยที่ 1 รวมตลอดถึงการที่จำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 3 ใช้ ว. ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ทำงานฟ้องคดี จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้ว ยอมให้จำเลยที่ 3 เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ดังนี้ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต เสมือนว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 821 เมื่อจำเลยที่ 3 ประมาทเลินเล่อดำเนินการให้ ว. ฟ้องคดีให้โจทก์ล่าช้าจนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีของโจทก์เพราะเหตุขาดอายุความ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 3 เพราะเหตุละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 427 การอ่านคำพิพากษาในคดีแพ่ง ถ้าคู่ความทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลตามกำหนดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 140 (3) ศาลจะงดการอ่านคำพิพากษาก็ได้ โดยให้ศาลจดแจ้งไว้ในรายงานและให้ถือว่าคำพิพากษานั้นได้อ่านตามกฎหมายแล้ว กรณีดังกล่าวเป็นการกำหนดขั้นตอนตามกฎหมายให้กระบวนพิจารณาในคดีแพ่งสามารถดำเนินการต่อไปได้จนเสร็จสิ้นแม้กฎหมายให้ถือว่าได้มีการอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังแล้วโดยชอบตั้งแต่วันนัดฟังคำพิพากษาก็ตาม แต่คดีได้ความว่าโจทก์นำเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีที่ยืนฟ้อง ส. ไปมอบให้แก่จำเลยที่ 1 ก่อนวันที่คดีดังกล่าวจะขาดอายุความ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้รายงานผลการดำเนินงานให้โจทก์ทราบเพียงครั้งเดียว และไม่ได้แจ้งวันที่ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าวให้โจทก์ทราบ โจทก์จึงไม่ได้ไปฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นตามกำหนดนัด ดังนั้น โจทก์จึงยังไม่ทราบว่าคดีดังกล่าวขาดอายุความด้วยเหตุใด และผู้ใดเป็นผู้กระทำให้คดีดังกล่าวขาดอายุความ จนกระทั่งวันที่ 27 กันยายน 2544 จำเลยที่ 3 ได้ทำบันทึกรับสภาพความรับผิดให้แก่โจทก์โดยยอมรับความผิดพลาดในการดำเนินคดีดังกล่าวว่าเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 3 โจทก์จึงเพิ่งทราบถึงการกระทำละเมิดและรู้ตัวผู้ที่จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมในวันดังกล่าว ดังนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2545 จึงยังไม่พ้น 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคหนึ่ง ฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 จึงยังไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3465/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการจำหน่ายยาเสพติด: การยินยอมให้ใช้บ้านเป็นสถานที่กระทำผิด
ในการซื้อเมทแอมเฟตามีน อ.ตกลงกับจำเลยที่ 2 โดยนำแหวนเงินไปแลกเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ตีราคาแลกเปลี่ยนแหวนเป็นเมทแอมเฟตามีน 9 เม็ด และหยิบเมทแอมเฟตามีนซึ่งวางอยู่บนหน้าตักของจำเลยที่ 2 ให้แก่ อ. ในขณะที่ อ. เจรจาแลกแหวนกับเมทแอมเฟตามีนกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 เดินออกไปนอกบ้าน ไม่ได้อยู่ด้วย การตีราคาแหวนจำเลยที่ 2 เป็นผู้ตัดสินใจแต่เพียงลำพัง น่าเชื่อว่าเมทแอมเฟตามีนเป็นของจำเลยที่ 2 แต่การที่จำเลยที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ใช้บ้านเป็นสถานที่ติดต่อจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายของจำเลยที่ 2 แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องในข้อหานี้ ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้สนับสนุนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2021/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยอาวุธมีด ศาลพิจารณาจากลักษณะบาดแผลและพฤติการณ์
จำเลยใช้มีดขนาดยาวประมาณ 1 ช่วงแขนฟันผู้เสียหายที่ไหล่ขวาขณะหันหลังวิ่งหนี และฟันอย่างแรงจนเกิดบาดแผลยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ลึกประมาณ 4 เซนติเมตร ลักษณะการฟันลงเช่นนี้ส่อว่าจำเลยเลือกจะฟันศีรษะแต่พลาดไปโดนไหล่ขวาแทน จำเลยย่อมต้องเล็งเห็นแล้วว่าหากฟันถูกศีรษะหรือลำคอที่เป็นอวัยวะสำคัญจะทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย