พบผลลัพธ์ทั้งหมด 364 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 958/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์และพยายามฆ่า: การใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด และการไม่เป็นฟ้องซ้ำ
อัยการศาลทหารเคยยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลทหารมาครั้งหนึ่งแล้วศาลทหารเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลพลเรือน จะฟ้องต่อศาลทหารมิได้จึงพิพากษายกฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยถึงความผิดที่ฟ้องนั้นแต่ประการใดดังนี้ พนักงานอัยการฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนด้วยข้อหาเดียวกันนั้นอีกได้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ และในการปล้นนี้จำเลยกับพวกยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,289,80 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา 288,80 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่า จำเลยมีความผิด ตามมาตรา 340,83 อีกบทหนึ่ง จำเลยฎีกา ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์จริง และในการปล้นนี้คนร้ายที่ร่วมปล้นคนหนึ่งได้ยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วยอันเป็นความผิดหลายบทคือมาตรา 340 วรรคสี่กับมาตรา 289(6)(7),80แต่ความผิดฐานพยายามฆ่านี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามมาตรา 288,80 และโจทก์เห็นว่าชอบ มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 289,80 ศาลฎีกาจึงลงโทษได้เพียงตามมาตราที่ศาลชั้นต้นวางบทมาและเมื่อศาลอุทธรณ์มิได้ใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้เฉพาะส่วนนี้เท่านั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ และในการปล้นนี้จำเลยกับพวกยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วยขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,289,80 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา 288,80 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่า จำเลยมีความผิด ตามมาตรา 340,83 อีกบทหนึ่ง จำเลยฎีกา ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์จริง และในการปล้นนี้คนร้ายที่ร่วมปล้นคนหนึ่งได้ยิงพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วยอันเป็นความผิดหลายบทคือมาตรา 340 วรรคสี่กับมาตรา 289(6)(7),80แต่ความผิดฐานพยายามฆ่านี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามมาตรา 288,80 และโจทก์เห็นว่าชอบ มิได้อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามมาตรา 289,80 ศาลฎีกาจึงลงโทษได้เพียงตามมาตราที่ศาลชั้นต้นวางบทมาและเมื่อศาลอุทธรณ์มิได้ใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้เฉพาะส่วนนี้เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์และฆ่าเพื่อหวังทรัพย์ ศาลฎีกาวินิจฉัยความผิดฐานเดียวและแก้ไขคำพิพากษาเรื่องการริบของกลาง
จำเลยกับพวกร่วมกันมีปืนพกเป็นอาวุธเข้าปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายและเพื่อความสะดวกในการปล้นได้ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายกับพวกถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่าดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 340 วรรคท้าย ต้องลงโทษตามมาตรา 289 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดและเมื่อเป็นความผิดตามมาตรา 289 แล้ว ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 288 อีกบทหนึ่ง
อาวุธปืนของผู้ตายที่ถูกจำเลยกับพวกปล้นเอาไปและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาเป็นของกลางนั้น เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ความชัดว่าเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานเนื่องจากเลขทะเบียน ลบเลือนเช่นนี้ไม่ชอบที่ศาลจะสั่งริบ
อาวุธปืนของผู้ตายที่ถูกจำเลยกับพวกปล้นเอาไปและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาเป็นของกลางนั้น เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ความชัดว่าเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานเนื่องจากเลขทะเบียน ลบเลือนเช่นนี้ไม่ชอบที่ศาลจะสั่งริบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 229/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปล้นทรัพย์และฆ่าโดยเจตนา ปืนของกลางต้องพิสูจน์เลขทะเบียนก่อนริบ
จำเลยกับพวกร่วมกันมีปืนพกเป็นอาวุธเข้าปล้นทรัพย์ของผู้เสียหาย และเพื่อความสะดวกในการปล้นได้ใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายกับพวกถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่าดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289,340 วรรคท้าย ต้องลงโทษตามมาตรา 289 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด และเมื่อเป็นความผิดตามมาตรา 289 แล้ว ก็ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 288 อีกบทหนึ่ง
อาวุธปืนของผู้ตายที่ถูกจำเลยกับพวกปล้นเอาไปและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาเป็นของกลางนั้น เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ความชัดว่าเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงาน เนื่องจากเลขทะเบียนลบเลือนเช่นนี้ไม่ชอบที่ศาลจะสั่งริบ
อาวุธปืนของผู้ตายที่ถูกจำเลยกับพวกปล้นเอาไปและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาเป็นของกลางนั้น เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ความชัดว่าเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงาน เนื่องจากเลขทะเบียนลบเลือนเช่นนี้ไม่ชอบที่ศาลจะสั่งริบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการแทงเจ้าพนักงานขณะหลบหนี: พิจารณาจากบาดแผลและพฤติการณ์
จำเลยวิ่งหนีเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานแล้วล้มลง ผู้เสียหายเข้าจับกุมจำเลยจำเลยจึงใช้มีดของกลางที่ถือติดมืออยู่ยาวทั้งด้ามและตัวมีดประมาณ 1 คืบ แทงถูกที่บริเวณหน้าท้องของผู้เสียหาย 1 ทีในที่มืดโดยไม่มีโอกาสเลือกแทงเพราะกำลังดิ้นให้หลุดจากการจับกุมของผู้เสียหาย ดังนี้ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายคงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 21/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายเจ้าพนักงาน: การพิจารณาจากลักษณะบาดแผลและพฤติการณ์
จำเลยวิ่งหนีเพื่อให้พ้นจากการจับกุมของผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานแล้วล้มลงผู้เสียหายเข้าจับกุมจำเลย จำเลยจึงใช้มีดของกลางที่ถือติดมืออยู่ยาวทั้งด้ามและตัวมีดประมาณ 1 คืบ แทงถูกที่บริเวณหน้าท้องของผู้เสียหาย 1 ทีในที่มืดโดยไม่มีโอกาสเลือกแทงเพราะกำลังดิ้นให้หลุดจากการจับกุมของผู้เสียหาย ดังนี้ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย คงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตราย สาหัสเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2999/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทกฎหมายอาญามาตรา 140 ด้วยประกาศคณะปฏิวัติ และการพิจารณาความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานกับพยายามฆ่า
จำเลยกระทำความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้อาวุธปืนประทุษร้ายก่อนประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ใช้บังคับ การพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 140 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 3 จึงคลาดเคลื่อน เพราะประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 3 ซึ่งแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 นั้น ไม่เป็นคุณแก่จำเลยจะนำมาใช้ปรับบทแก่การกระทำผิดของจำเลยหาได้ไม่ ต้องพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงานขณะเข้าทำการจับกุมอันเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีอาวุธใช้ประทุษร้ายเป็นการกระทำกรรมเดียวกันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 140 และมาตรา 289, 80 ไม่ใช่ 2 กรรม
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงานขณะเข้าทำการจับกุมอันเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีอาวุธใช้ประทุษร้ายเป็นการกระทำกรรมเดียวกันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 140 และมาตรา 289, 80 ไม่ใช่ 2 กรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2999/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทกฎหมายอาญามาตรา 140 ด้วยประกาศคณะปฏิวัติ และการพิจารณาความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานกับพยายามฆ่า
จำเลยกระทำความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้อาวุธปืนประทุษร้ายก่อนประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ใช้บังคับ การพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 3 จึงคลาดเคลื่อน เพราะประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 3 ซึ่งแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 นั้น ไม่เป็นคุณแก่จำเลยจะนำมาใช้ปรับบทแก่การกระทำผิดของจำเลยหาได้ไม่ ต้องพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงานขณะเข้าทำการจับกุมอันเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีอาวุธใช้ประทุษร้ายเป็นการกระทำกรรมเดียวกันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา140 และมาตรา 289,80 ไม่ใช่ 2 กรรม
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงเจ้าพนักงานขณะเข้าทำการจับกุมอันเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีอาวุธใช้ประทุษร้ายเป็นการกระทำกรรมเดียวกันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา140 และมาตรา 289,80 ไม่ใช่ 2 กรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1378/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิในทรัพย์สิน: การยิงผู้บุกรุกในเวลากลางคืนโดยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้าย
จำเลยเคยถูกปล้นบ้านมาก่อน และเมื่อ 20 วันก่อนเกิดเหตุก็มีคนร้ายเข้าบ้านจำเลย คืนเกิดเหตุสามีจำเลยไม่อยู่ จำเลยปิดประตูบ้านซึ่งเป็นร้านค้าเข้านอนอยู่กับเด็ก ๆ เวลาประมาณ 22 นาฬิกาได้ยินเสียงดังกุกกักที่ระเบียงเรือน จึงหยิบปืนเปิดประตูแง้มออกดูเห็นเงาคนตะคุ่ม ๆ อยู่บนระเบียงเรือนคนหนึ่ง และข้างล่างระเบียงเรือนอีกคนหนึ่ง จำเลยถามว่า "ใคร" ได้ยินเสียงตอบว่า "อย่าดัง" จำเลยเข้าใจว่าเป็นคนร้าย จึงยิงปืนไปยังคนที่อยู่ระเบียง 2 นัด คนทั้งสองหนีไปจำเลยยิงขู่อีก 1 นัด แล้วตะโกนว่า "ช่วยด้วย โจรขึ้นบ้าน" มีชาวบ้านมาและพบผู้ตายนอนตายเพราะถูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงอยู่ที่ข้างคูน้ำบริเวณบ้านจำเลย ดังนี้ เป็นกรณีซึ่งมีเหตุทำให้จำเลยเชื่อได้ว่าผู้ตายมีเจตนาจะเข้ามาลักทรัพย์จำเลย เป็นพฤติการณ์ที่จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายจึงใช้ปืนยิง เป็นการป้องกันสิทธิในทรัพย์สินของตนพอสมควรแก่เหตุ ถือได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ประกอบด้วยมาตรา 62
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1378/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย: ความเชื่อโดยสุจริตว่ามีคนบุกรุกเพื่อลักทรัพย์
จำเลยเคยถูกปล้นบ้านมาก่อน และเมื่อ 20 วันก่อนเกิดเหตุก็มีคนร้ายเข้าบ้านจำเลย คืนเกิดเหตุสามีจำเลยไม่อยู่ จำเลยปิดประตูบ้านซึ่งเป็นร้านค้าเข้านอนอยู่กับเด็ก ๆ เวลาประมาณ 22 นาฬิกาได้ยินเสียงดังกุกกักที่ระเบียงเรือน จึงหยิบปืนเปิดประตูแง้มออกดูเห็นเงาคนตะคุ่ม ๆ อยู่บนระเบียงเรือนคนหนึ่ง และข้างล่างระเบียงเรือนอีกคนหนึ่ง จำเลยถามว่า 'ใคร' ได้ยินเสียงตอบว่า 'อย่าดัง' จำเลยเข้าใจว่าเป็นคนร้าย จึงยิงปืนไปยังคนที่อยู่ระเบียง 2 นัด คนทั้งสองหนีไปจำเลยยิงขู่อีก 1 นัด แล้วตะโกนว่า 'ช่วยด้วย โจรขึ้นบ้าน' มีชาวบ้านมาและพบผู้ตายนอนตายเพราะถูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงอยู่ที่ข้างคูน้ำบริเวณบ้านจำเลย ดังนี้ เป็นกรณีซึ่งมีเหตุทำให้จำเลยเชื่อได้ว่าผู้ตายมีเจตนาจะเข้ามาลักทรัพย์จำเลย เป็นพฤติการณ์ที่จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายจึงใช้ปืนยิง เป็นการป้องกันสิทธิในทรัพย์สินของตนพอสมควรแก่เหตุ ถือได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ประกอบด้วยมาตรา 62
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่า: การชักปืนแต่กระสุนยังไม่เข้าลำกล้อง ไม่ถือเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
ตำรวจเข้าจับกุมจำเลย จำเลยชักปืนออกจากเอวแล้วกระชากลูกเลื่อน เพื่อให้กระสุนเข้าลำกล้อง ก็ถูกตำรวจเข้าขัดขวางและแย่งปืนไปได้ ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอด เพราะกระสุนเป็นยังไม่เข้าลำกล้อง จำเลยมิได้จ้องปืนเล็งไปทางตำรวจ นิ้วจำเลยยังมิได้แตะอยู่ที่ไกปืน แสดงว่าจำเลยไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะยิง จึงยังไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่า