คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมชัย เกษชุมพล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 292 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7878/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดต่อทรัพย์สิน: โต๊ะหมู่บูชาและพระบรมสาทิสลักษณ์ฯ
อุจจาระและปัสสาวะกระเด็นไปถูกโต๊ะหมู่บูชาซึ่งจากสภาพที่โต๊ะหมู่บูชาทำจากไม้เนื้อแข็งลงรักปิดทอง ความเสียหายเปรอะเปื้อนมีเพียงบางจุด เกิดเหตุปี 2537 ขณะพยานโจทก์เบิกความปี 2539โต๊ะหมู่บูชายังคงวางใช้งานอยู่ในที่เดิม แสดงว่าเมื่อทำความสะอาดแล้วก็ใช้งานได้ จึงไม่ได้เกิดความเสียหายตามที่โจทก์กล่าวอ้างแต่ประการใด
รายงานการประชุมคณะกรรมการประเมินมูลค่าความเสียหายที่กำหนดราคาพระบรมสาทิสลักษณ์ฯ ไว้ 10 ล้านบาทนั้น เป็นการประเมินมูลค่าของพระบรมสาทิสลักษณ์ฯ ไม่ใช่เป็นการตีราคาค่าเสียหายการทำละเมิดของจำเลยไม่ได้ทำให้พระบรมสาทิสลักษณ์ฯ เสียหายไปทั้งหมด คงเสียหายเพียงบางส่วนทั้ง ป. อาจารย์ด้านศิลปะมหาวิทยาลัย ศ. เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าพระบรมสาทิสลักษณ์ฯสามารถซ่อมได้ ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายให้จำนวน50,000 บาท ซึ่งมากกว่ามูลค่าความเสียหายที่กำหนดในส่วนคดีอาญาถึงสองเท่านั้น นับว่าเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7841/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความร่วมมือจำหน่ายยาเสพติด: การรับฟังพยานหลักฐานจากการซัดทอดของผู้ร่วมกระทำผิด และการแบ่งหน้าที่
การที่พยานโจทก์ไม่เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงดังเช่นที่พยานโจทก์ปากอื่นเบิกความอาจเป็นเพราะพยาน จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้แน่ชัด ไม่ใช่ข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญที่จะทำลายน้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์แต่อย่างใด
แม้การจับกุมจำเลยที่ 3 และที่ 4 จะเกิดจากการซัดทอดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่คำซัดทอดดังกล่าวมิใช่การซัดทอดเพื่อให้ตัวจำเลยที่ 1 และที่ 2 พ้นผิด จึงรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้ร่วมกันติดต่อนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จำหน่าย และลักษณะการกระทำความผิดมีการติดต่อระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับฝ่ายจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตั้งแต่ต้นโดยให้ฝ่ายจำเลยที่3 และที่ 4 เป็นผู้จัดหาเมทแอมเฟตามีน ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะเป็นฝ่ายจำหน่าย เมื่อจำหน่ายได้เงินแล้วจะนำเงินมาแบ่งกันจึงเป็นการร่วมกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ มิใช่เป็นเรื่องใช้ให้จำหน่าย จำเลยที่ 3 ถึงที่ 4 มีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย
แม้ว่าโจทก์จะไม่ฎีกาเกี่ยวกับความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของจำเลยที่ 3 และที่ 4 แต่เป็นเรื่องการปรับบทลงโทษ ศาลฎีกาสามารถแก้ไขให้ถูกต้อง โดยไม่เพิ่มโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7701/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องเริ่มนับระยะเวลาหลังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน การครอบครองก่อนออกโฉนดไม่นับ
จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทนับแต่วันออกโฉนดที่ดินยังไม่ถึง10 ปี แม้ว่าจำเลยจะครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของก็ตาม จำเลยก็ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ และจำเลยจะนับระยะเวลาที่ครอบครองก่อนที่ดินพิพาทออกโฉนดที่ดินรวมเข้าด้วยกันหาได้ไม่ เพราะการที่จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ใช้ได้แต่เฉพาะที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7529/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินพิพาท: การครอบครองทำประโยชน์ก่อนออกโฉนดเป็นหลักฐานสำคัญกว่าชื่อในโฉนด
ที่ดินพิพาทมีเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินออกในชื่อโจทก์ โจทก์ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นเจ้าของและผู้มีสิทธิครอบครองด้วย
แม้โจทก์จะมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินก็ตาม แต่โจทก์ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ที่จำเลยอ้าง ปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นสิทธิของโจทก์หรือของจำเลย จึงต้องพิจารณาถึงสิทธิครอบครองก่อนที่จะมีการออกโฉนดที่ดิน เมื่อพยานหลักฐานฝ่ายจำเลยมีน้ำหนักมากกว่า เชื่อได้ว่าจำเลยครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทตลอดมา ที่ดินพิพาทจึงเป็นสิทธิของจำเลย
เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินพิพาทในชื่อโจทก์เพราะเข้าใจผิดหลงว่าโจทก์มีสิทธิ เป็นการออกให้โดยไม่ชอบจึงต้องพิพากษาให้เพิกถอน ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนชื่อในโฉนดที่ดิน หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ เป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7321/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว และการพิพากษาเกินคำขอ/ข้อเท็จจริงไม่ตรงตามฟ้อง
คดีอาญาที่เป็นความผิดต่อส่วนตัว โจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)
การที่ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ยักยอกทรัพย์ของโจทก์ไปเพียง 200,000 บาท มิใช่จำนวน 325,000 บาท ตามที่โจทก์ฟ้อง เป็นเพียงข้อแตกต่างกันในรายละเอียดของทรัพย์ที่ถูกจำเลยที่ 1 ยักยอก มิใช่การ แตกต่างกันในข้อเท็จจริงอันจะทำให้การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิด ทั้งจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี โดยตลอดมิได้หลงต่อสู้คดีแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับ ข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญและไม่ใช่กรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานยักยอก เกินคำขอแต่อย่างใด
เมื่อโจทก์ประกอบกิจการขายรถยนต์โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการสาขา ดำเนินการติดต่อลูกค้าแทนโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ครอบครองเงินที่นาย อ. ลูกค้าชำระให้โจทก์แล้วไม่ส่งมอบให้โจทก์ตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น การกระทำความผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์นั้นไว้เป็นของตน จำเลยที่ 1 จึงมี ความผิดฐานยักยอก แต่การทำสัญญาซื้อขายและการชำระราคารถยนต์เป็นเรื่องความไว้วางใจกันระหว่างโจทก์กับ ลูกค้าเป็นการเฉพาะราย มิใช่กับประชาชนทั่วไป การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 354 คงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 เพียงมาตราเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7254/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยปลอมเอกสารราชการ (บัตรตำรวจ) เพื่อใช้แสดงตน, ลักทรัพย์, และมีวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยเป็นผู้ทำบัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจปลอม โดยมีช่องข้อความต่าง ๆ เหมือนกับบัตรข้าราชการตำรวจ และมีรายละเอียดช่องชื่อยศตำแหน่งและผู้ลงชื่อยศพลตำรวจเอก ตำแหน่ง อ.ต.ร. เพื่อใช้อ้างกับเพื่อนต่างประเทศว่าจำเลยเป็นตำรวจ ดังนั้นการกระทำของจำเลยเป็นการปลอมเอกสารขึ้นทั้งฉบับ อันเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7241/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วมมีผลเป็นการถอนฟ้องเสร็จเด็ดขาด สิทธิการอุทธรณ์จึงระงับ
การที่โจทก์ร่วมขอถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วม โดยระบุว่ามีความเห็นหลายอย่างไม่ตรงกับความเห็นของโจทก์ หากโจทก์ร่วมดำเนินคดีนี้ต่อไปอีกอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รูปคดีของโจทก์ การขอถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วมดังกล่าวไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมจะไปดำเนินการอะไรอีก ถือได้ว่าโจทก์ร่วมไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยอีกต่อไป มีผลเท่ากับเป็นการถอนฟ้องในส่วนของโจทก์ร่วมเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์ร่วมจะไปขอเข้าร่วมเป็นโจทก์อีกไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 36

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7241/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วมมีผลเสมือนถอนฟ้อง ทำให้สิทธิอุทธรณ์สิ้นสุด
เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ในครั้งแรก ก็แสดงว่าศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหาย สามารถดำเนินคดีแก่จำเลยโดยอาศัยสิทธิตามฟ้องของพนักงานอัยการเสมือนโจทก์ร่วมฟ้องเองการที่โจทก์ร่วมขอถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วมโดยระบุว่ามีความเห็นหลายอย่างไม่ตรงกับความเห็นของโจทก์ หากโจทก์ร่วมดำเนินคดีนี้ต่อไปอีกอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รูปคดีของโจทก์การขอถอนตัวจากการเป็นโจทก์ร่วมดังกล่าวไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมจะไปดำเนินการอะไรอีก ถือได้ว่าโจทก์ร่วมไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยอีกต่อไป มีผลเท่ากับเป็นการถอนฟ้องในส่วนของโจทก์ร่วมเสร็จเด็ดขาดนั่นเอง เมื่อเป็นการขอถอนฟ้องเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์ร่วมจะไปขอเข้าร่วมเป็นโจทก์อีกไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการผู้เป็นโจทก์ในครั้งหลังจึงไม่ชอบ และเมื่อโจทก์ร่วมเข้าร่วมเป็นโจทก์ไม่ได้แล้ว โจทก์ร่วมจึงมิได้เป็นโจทก์ของคดีนี้ โจทก์ร่วมจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7138/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้จากสัญญาซื้อขายเป็นสัญญาเช่าซื้อ ทำให้หนี้เดิมระงับ โจทก์ฟ้องซื้อขายจึงไม่มีผล
จำเลยได้ทำสัญญาขายรถยนต์ให้แก่โจทก์ โจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลยในวันทำสัญญาบางส่วน ส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็นเวลา 48 เดือน ต่อมาโจทก์และจำเลยได้ตกลงเปลี่ยนสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นสัญญาเช่าซื้อโดยบันทึกสัญญาไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีแสดงให้เห็นถึงเจตนาของโจทก์และจำเลยว่า ต้องการจะเปลี่ยนจากสัญญาซื้อขายเป็นสัญญาเช่าซื้อและคู่สัญญามีเจตนาตกลงเลิกสัญญาซื้อขายกัน แล้วสมัครใจเข้าทำสัญญาเช่าซื้อและจะปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อต่อไป สัญญาซื้อขายจึงสิ้นผลผูกพันโจทก์และจำเลยนับตั้งแต่วันทำสัญญาเช่าซื้อ ทำให้หนี้ตามสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นอันระงับไป ด้วยการแปลงหนี้ใหม่ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายรถยนต์ แต่คำฟ้องของโจทก์บรรยายเกี่ยวกับการซื้อขายรถยนต์เท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึงสัญญาเช่าซื้อ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องเรียกค่าเสียหายตามสัญญาซื้อขายซึ่งระงับไปแล้วด้วยการแปลงหนี้ใหม่จากจำเลยได้ ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ ตัดสิทธิโจทก์ที่จะทำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7138/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้จากสัญญาซื้อขายเป็นสัญญาเช่าซื้อทำให้หนี้เดิมระงับ สิทธิเรียกร้องตามสัญญาซื้อขายจึงสิ้นสุด
เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2537 โจทก์และจำเลยทำสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทในราคา 323,000 บาท ครั้นวันที่ 20 ตุลาคม2539 โจทก์และจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวในราคา323,000 บาท ย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนาของโจทก์และจำเลยว่าต้องการจะเปลี่ยนจากสัญญาซื้อขายเป็นสัญญาเช่าซื้อและคู่สัญญาไม่ประสงค์ที่จะปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายอีกต่อไป ทั้งโจทก์และจำเลยมีเจตนาตกลงเลิกสัญญาซื้อขายกันแล้วสมัครใจเข้าทำสัญญาเช่าซื้อกันใหม่ และจะปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อต่อไป ดังนั้น สัญญาซื้อขายจึงสิ้นผลผูกพันโจทก์และจำเลยนับตั้งแต่วันทำสัญญาเช่าซื้อทำให้หนี้ตามสัญญาซื้อขายเป็นอันระงับไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่ คำฟ้องของโจทก์บรรยายเกี่ยวกับการซื้อขายรถยนต์เท่านั้นไม่ได้กล่าวถึงสัญญาเช่าซื้อ โจทก์จึงไม่อาจเรียกค่าเสียหายตามสัญญาซื้อขายซึ่งระงับไปแล้วได้
of 30