พบผลลัพธ์ทั้งหมด 541 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2177/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้ธนบัตรปลอมสำเร็จ แม้ผู้รับยังไม่ทอนเงิน ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาลดโทษได้เพื่อความยุติธรรม
ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ฉะนั้นปัญหา ข้อเท็จจริงตามที่จำเลยฎีกาซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แล้วศาลฎีกาจึงไม่ยกขึ้นวินิจฉัยอีก จำเลยมีธนบัตรรัฐบาลไทยปลอมไว้เพื่อนำออกใช้และจำเลยได้นำธนบัตรดังกล่าวไปใช้ซื้อผลไม้จากผู้เสียหายถือได้ว่าเป็นความผิดสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 244แล้ว แม้ว่าผู้เสียหายจะยังไม่ทันรับไว้สมบูรณ์ด้วยการ ทอนเงินที่เหลือจากค่าซื้อผลไม้แก่จำเลยก็ตาม ปัญหาว่า ศาลอุทธรณ์วางโทษจำคุกแก่จำเลยหนักเกินไปหรือไม่แม้เป็นปัญหาข้อเท็จจริงอันต้องห้ามฎีกาก็ตาม แต่เมื่อ ฎีกาของจำเลยได้ขึ้นสู่ศาลฎีกาโดยปัญหาข้อกฎหมาย หากศาลฎีกา เห็นว่าโทษที่จำเลยจะพึงได้รับตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ รุนแรงเกินไป ศาลฎีกาก็ชอบที่จะยกขึ้นพิจารณาได้เพื่อ ให้เกิดประโยชน์แก่ความยุติธรรม และพิพากษาวางโทษ จำคุกแก่จำเลยในสถานเบากว่านั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากละเมิดและการก่อสร้างใกล้สถานศึกษา ศาลไม่รับวินิจฉัยประเด็นความรับผิดตามมาตรา 428
คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองไม่ได้กล่าวเลยว่า จำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ให้ก่อสร้างอาคารในลักษณะจ้างแรงงานหรือจ้างทำของอันจะเป็นการต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 428 แต่คงกล่าวรวม ๆ กันไปว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ และจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้ให้การปฏิเสธไว้โดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ได้จ้างเหมาจำเลยที่ 2 ในลักษณะจ้างทำของไปแล้ว จึงไม่ต้องรับผิด คงให้การแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อสร้างอาคารและรับผิดในความเสียหายต่อบุคคลภายนอก อีกทั้งได้ประกันความเสียหายไว้แก่บริษัทประกันภัย และจำเลยทั้งสองได้ยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสองไปแล้วจึงไม่ต้องรับผิด ด้วยเหตุนี้การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเกี่ยวกับประเด็นที่ว่าจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 428 จึงไม่ชอบ ตลอดจนการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวรวม ๆ กันไปกับประเด็นที่ว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุมหรือไม่ ก็เป็นการไม่ชอบเช่นเดียวกัน ฎีกาของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับการที่ต้องร่วมรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 428 หรือไม่ ถือเป็นการไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ในช่วงที่มีการก่อสร้างอาคารคอนโดมิเนียมของจำเลยที่ 1 ซึ่งสูงถึง 29 ชั้น และอยู่ห่างจากโรงเรียนของโจทก์ทั้งสองเพียง 4 เมตร มีวัสดุก่อสร้างตกเรี่ยราดเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณโรงเรียน หล่นใส่อาคารเรียน โรงฝึก และส่วนอื่น ๆ ได้รับความเสียหาย นักเรียนสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนน้อยลงผิดปกติเป็นเวลาถึง 3 ปี จนกระทั่งเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ จึงมีนักเรียนมาสมัครเข้าเรียนเพิ่มขึ้นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อพิจารณาว่าสถานศึกษาต้องเป็นสถานที่สงบเงียบ ร่มรื่น สะอาดสะอ้าน ปลอดภัย เมื่อผู้ประสบพบเห็นเหตุการณ์ก่อสร้างที่เกรงว่าน่าจะเกิดอันตราย จึงไม่พึงปรารถนาจะส่งบุตรหลานเข้าไปเล่าเรียน การที่มีนักเรียนมาสมัครเรียนน้อยลงจึงถือเป็นความเสียหายโดยตรงที่โจทก์ทั้งสองพึงได้รับจากการกระทำละเมิดดังกล่าว โจทก์ทั้งสองชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้
ในช่วงที่มีการก่อสร้างอาคารคอนโดมิเนียมของจำเลยที่ 1 ซึ่งสูงถึง 29 ชั้น และอยู่ห่างจากโรงเรียนของโจทก์ทั้งสองเพียง 4 เมตร มีวัสดุก่อสร้างตกเรี่ยราดเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณโรงเรียน หล่นใส่อาคารเรียน โรงฝึก และส่วนอื่น ๆ ได้รับความเสียหาย นักเรียนสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนน้อยลงผิดปกติเป็นเวลาถึง 3 ปี จนกระทั่งเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ จึงมีนักเรียนมาสมัครเข้าเรียนเพิ่มขึ้นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อพิจารณาว่าสถานศึกษาต้องเป็นสถานที่สงบเงียบ ร่มรื่น สะอาดสะอ้าน ปลอดภัย เมื่อผู้ประสบพบเห็นเหตุการณ์ก่อสร้างที่เกรงว่าน่าจะเกิดอันตราย จึงไม่พึงปรารถนาจะส่งบุตรหลานเข้าไปเล่าเรียน การที่มีนักเรียนมาสมัครเรียนน้อยลงจึงถือเป็นความเสียหายโดยตรงที่โจทก์ทั้งสองพึงได้รับจากการกระทำละเมิดดังกล่าว โจทก์ทั้งสองชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1596/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ราคาต่ำกว่าราคาประเมินและราคาตลาด ชี้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีอาจปฏิบัติหน้าที่ไม่สุจริต
จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดว่าโจทก์ เข้าประมูลซื้อที่ดินและในการประมูลซื้อที่ดินโจทก์กดราคาที่ดินของจำเลยให้ต่ำกว่าปกติเป็นการซื้อที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้จะต่ำกว่าราคาที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินถึง 4 เท่าและราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุมัติให้ขายแก่โจทก์ซึ่งให้ราคาสูงสุด จะต่ำกว่าราคาที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินเกิน 3 เท่า ทั้งเป็นการขายครั้งแรก หากเป็นจริงตามคำร้องจะเห็นได้ว่า การกระทำของ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีลักษณะกดราคาที่ดินให้ต่ำมาก และไม่ระมัดระวังในการตรวจสอบราคาอันแท้จริง ส่อพฤติการณ์ว่าไม่สุจริตอยู่ในตัว ย่อมมีเหตุตามกฎหมาย ที่ศาลจะเพิกถอนการขายได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง แม้ตามคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดของจำเลยจะมิได้กล่าวอ้างอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นการกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตาม แต่หากพิจารณาคำร้องพร้อมเอกสารที่แนบท้ายคำร้องแล้วพอแปลได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งการบังคับคดี ดังนี้ ถือว่าคำร้อง ของ จำเลยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ควรที่ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการไต่สวนและมีคำสั่งต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1596/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการขายทอดตลาดที่เจ้าพนักงานบังคับคดีส่อทุจริต กดราคาต่ำกว่าปกติ
จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดว่า โจทก์เข้าประมูลซื้อที่ดิน และในการประมูลซื้อที่ดิน โจทก์กดราคาที่ดินของจำเลยให้ต่ำกว่าปกติ เป็นการซื้อที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้จะต่ำกว่าราคาที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินถึง 4 เท่า และราคาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีอนุมัติให้ขายแก่โจทก์ซึ่งให้ราคาสูงสุด จะต่ำกว่าราคาที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินเกิน 3 เท่าทั้งเป็นการขายครั้งแรก หากเป็นจริงตามคำร้องจะเห็นได้ว่า การกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดีมีลักษณะกดราคาที่ดินให้ต่ำมาก และไม่ระมัดระวังในการตรวจสอบราคาอันแท้จริง ส่อพฤติการณ์ว่าไม่สุจริตอยู่ในตัว ย่อมมีเหตุตามกฎหมายที่ศาลจะเพิกถอนการขายได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 296 วรรคสอง
แม้ตามคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดของจำเลยจะมิได้กล่าวอ้างอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นการกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตามแต่หากพิจารณาคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดพร้อมเอกสารที่แนบท้ายคำร้องแล้วพอแปลได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งการบังคับคดี ดังนี้ ถือว่าคำร้องของจำเลยชอบด้วยกฎหมายควรที่ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการไต่สวนและมีคำสั่งต่อไป
แม้ตามคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดของจำเลยจะมิได้กล่าวอ้างอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นการกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตามแต่หากพิจารณาคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดพร้อมเอกสารที่แนบท้ายคำร้องแล้วพอแปลได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งการบังคับคดี ดังนี้ ถือว่าคำร้องของจำเลยชอบด้วยกฎหมายควรที่ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการไต่สวนและมีคำสั่งต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1596/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ราคาต่ำกว่าราคาประเมินและราคาตลาด เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาต่ำเกินไป
จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดว่า โจทก์ เข้าประมูลซื้อที่ดิน โดยกดราคาที่ดินของจำเลย ให้ต่ำกว่าปกติ เป็นการซื้อที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยราคา ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้จะต่ำกว่าราคา ที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินถึง 4 เท่า และราคาที่เจ้าพนักงาน บังคับคดีอนุมัติให้ขายแก่โจทก์ซึ่งให้ราคาสูงสุด จะต่ำกว่าราคาที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินเกิน 3 เท่าทั้งเป็นการขายครั้งแรกหากเป็นจริงตามคำร้องจะเห็นได้ว่าการกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดีมีลักษณะกดราคาที่ดินให้ต่ำมาก และไม่ระมัดระวังในการตรวจสอบราคาอันแท้จริงส่อพฤติการณ์ว่าไม่สุจริตอยู่ในตัว ย่อมมีเหตุตามกฎหมายที่ศาลจะเพิกถอนการขายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง แม้ตามคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดของจำเลย จะ มิได้กล่าวอ้างอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นการกระทำ ของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตามแต่หากพิจารณาคำร้อง คัดค้านการขายทอดตลาดพร้อมเอกสารที่แนบท้ายคำร้อง แล้วพอแปลได้ว่าจำเลยกล่าวอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดี ดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งการบังคับคดีแล้ว คำร้องของ จำเลยจึงชอบด้วยกฎหมายที่ศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินการ ไต่สวนและมีคำสั่งต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1593/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย แม้มีโรคประจำตัว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการทำร้ายเป็นเหตุโดยตรงถึงแก่ความตาย
ผู้ตายมีโรคเดิมอยู่แล้ว เมื่อเกิดอาการตกใจทำให้หัวใจเต้นผิดปกติทำให้หัวใจวายอันเป็นสาเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้การที่จำเลยใช้ก้อนหินตีที่หน้าของผู้ตายทำให้เกิดอาการตกใจ หัวใจเต้นผิดปกติจนถึงแก่ความตาย ความตายจึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย เป็นความผิดฐานมิได้เจตนาฆ่าแต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย แม้ผู้ตายเคยเข้ารับการรักษาโรคหัวใจมาก่อน ก็ไม่เป็นเหตุให้รับฟังว่าผู้ตายถึงแก่ความตายโดยมิใช่เกิดจากการทำร้ายของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1593/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำทำให้ตกใจถึงแก่ความตาย แม้มีโรคประจำตัว เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายได้
ผู้ตายมีโรคเดิมอยู่แล้ว เมื่อเกิดอาการตกใจทำให้หัวใจเต้นผิดปกติทำให้หัวใจวายอันเป็นสาเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ การที่จำเลยใช้ก้อนหินตีที่หน้าของผู้ตายทำให้เกิดอาการตกใจ หัวใจเต้นผิดปกติจนถึงแก่ความตาย ความตายจึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย เป็นความผิดฐานมิได้เจตนาฆ่าแต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย แม้ผู้ตายเคยเข้ารับการรักษาโรคหัวใจมาก่อน ก็ไม่เป็นเหตุให้รับฟังว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยมิใช่เกิดจากการทำร้ายของจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1457/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงสถานะสภาจังหวัดเป็นสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 และผลต่อตำแหน่งประธานสภา
แม้มาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัดพ.ศ. 2540 ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2540มีผลให้ยกเลิกพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัดพ.ศ. 2498 ก็ตาม แต่มาตรา 82 วรรคหนึ่งและวรรคสองแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้อันเป็นบทเฉพาะกาลได้บัญญัติรับรองให้สภาจังหวัดและสมาชิกสภาจังหวัดที่มีอยู่เดิมมีฐานะเป็นสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 แล้วแต่กรณี จึงมีผลให้สภาจังหวัดศรีสะเกษมีฐานะเป็นสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษและสมาชิกสภาจังหวัดศรีสะเกษมีฐานะเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษโดยผลของกฎหมาย และแม้บทบัญญัติในส่วนนี้จะมิได้กล่าวไว้โดยแจ้งชัดว่าให้ประธานสภาจังหวัดและรองประธานสภาจังหวัดเป็นประธานสภาและรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดก็ตาม แต่ก็ไม่มีบทกฎหมายใดกำหนดให้มีการเลือกประธานสภาและรองประธาน สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขึ้นใหม่หรือกำหนดให้ บุคคลหนึ่งบุคคลใดทำหน้าที่ประธานสภาและรองประธานสภาไปพลางก่อน แสดงว่ากฎหมายประสงค์ให้ประธานสภาจังหวัดและ รองประธานสภาจังหวัดซึ่งเป็นสมาชิกสภาจังหวัดอยู่ด้วยและ เปลี่ยนมาเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาม มาตรา 82 วรรคสอง มีฐานะเป็นประธานสภาและรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดด้วย โจทก์ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสภาจังหวัดศรีสะเกษในขณะที่พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัดพ.ศ. 2540 ใช้บังคับย่อมเป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษโดยผลของกฎหมายหายังสิ้นสุดลงไม่ ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 ได้ประกาศเรียกประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ โดยมีระเบียบวาระการประชุม เกี่ยวกับผู้ทำหน้าที่เป็นประธานสภาชั่วคราวการเลือกประธานสภารองประธานสภาและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษและต่อมาได้มีการประชุมเลือก ว. เป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษและเลือก ช.กับย. เป็นรองประธานสภาฯ ต่อจากนั้น ว. ได้ดำเนินการประชุมต่อไปตามระเบียบวาระและที่ประชุมมีมติเลือก ณ. เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษนั้น แม้โจทก์จะอยู่ในที่ประชุม ด้วยแต่โจทก์มิได้เป็นผู้ดำเนินการประชุมตามมาตรา 20 วรรคหนึ่ง การประชุมเลือกประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษ และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดศรีสะเกษในวันดังกล่าวย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1417/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ผู้ซื้อทราบข้อจำกัดสิทธิ โจทก์สวมสิทธิขออนุญาตทำประโยชน์ ไม่ถือเป็นการผิดสัญญา
ก่อนทำสัญญาซื้อขายจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าที่ดินพิพาทอยู่ในโครงการกำหนดเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ทั้งหลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้วในวันนั้นเองโจทก์ก็ได้ไปยื่นคำขอทำประโยชน์ ในที่ดินพิพาทต่อสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อขอรับหนังสืออนุญาต ให้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแทนจำเลย แสดงว่าโจทก์ทราบดีว่า ที่ดินพิพาทมิใช่ที่ดินอันอาจโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่กันได้ดังเช่น ที่ดินมีโฉนด การที่โจทก์ตกลงซื้อที่ดินพิพาทโดยรู้อยู่ว่า จำเลยมีเพียงสิทธิครอบครองและกำลังดำเนินการขอรับหนังสือ อนุญาตให้ทำประโยชน์ในที่ดินโดยมีเจตนาให้จำเลยโอนการครอบครอง ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อที่โจทก์จะสวมสิทธิของจำเลยไปดำเนินการขอออกหนังสืออนุญาตให้ทำประโยชน์ในที่ดินในนามของโจทก์ เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้มอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้ว โจทก์จะอ้างว่าการที่จำเลยไม่สามารถ โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่โจทก์ได้เป็นการผิดสัญญาซื้อขาย หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1324/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์จำกัดสิทธิอุทธรณ์: การกำหนดราคาที่ดิน น.ส.3 และผลกระทบต่อการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
โจทก์ จำเลย พิพาทสิทธิในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นคดีมีทุนทรัพย์ และกำหนดราคาที่ดินพิพาทไว้ 10,000 บาทเมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้ ทั้งโจทก์และจำเลยต่างเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่ศาลชั้นต้นกำหนดตลอดมากรณีจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท จำเลยจึงต้อง ห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง