คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 138

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 176 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 855/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาข้อเท็จจริงที่ขัดกับการรับสารภาพ และการพิจารณาฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดหลังฟ้องคดี
จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงว่าไม่มีเจตนาต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการจับกุมจำเลยตามหน้าที่ รวมทั้งมิได้มีเจตนาใช้กำลังประทุษร้ายกัดมือซ้ายสิบตำรวจโท ข. นั้น ปรากฏว่าคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพว่ากระทำความผิดตามฟ้อง จำเลยจะกลับเถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นมิได้ เพราะมิใช่ข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 แม้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับวินิจฉัยให้ได้เพราะกรณีที่จะอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 221 ต้องเป็นกรณีที่ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา 218 มาตรา 219 และมาตรา 220 แห่ง ป.วิ.อ. เท่านั้น
พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดฯ มีเจตนารมณ์ในการฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดในขั้นที่ถูกกล่าวหา ตามความในมาตรา 19 วรรคหนึ่ง เพื่อเยียวยาแก้ไขเสียก่อนเข้าสู่กระบวนพิจารณาในชั้นศาล เมื่อจำเลยถูกฟ้องต่อศาลแล้ว มิใช่ผู้มีสถานภาพเป็นเพียงผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเสพยาเสพติด จึงล่วงพ้นเวลาและไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามกฎหมายที่อาจได้รับการพิจารณาเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 774/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยรู้ว่ากำลังถูกผู้เสียหายที่ 2 กับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจติดตามจับกุม การที่จำเลยกอดปล้ำต่อสู้และใช้มีดฟันแทงผู้เสียหายที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา 138, 140 และเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติงานตามหน้าที่ด้วย
การเป็นอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 297 (8) นั้น ต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวันหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน แต่ผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลที่ต้นขาซ้ายด้านหลังต้องรักษาที่โรงพยาบาล 11 วัน หลังจากนั้นให้กลับไปรักษาตัวที่บ้านและต้องไปทำแผลทุกวัน ในระหว่างรักษาบาดแผลผู้เสียหายที่ 2 ยังสามารถทำงานได้ตามปกติและต้องไปล้างแผลทุกวัน แสดงว่าผู้เสียหายที่ 2 มิได้ป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือประกอบกรณียกิจไม่ได้ จึงไม่เข้าลักษณะอันตรายสาหัสตาม ป.อ. 297 (8) เพียงแต่เป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจตาม ป.อ. มาตรา295 เท่านั้น การที่จำเลยทำร้ายร่ายกายผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 296

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7793/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้าย vs. พยายามฆ่า: การประเมินจากพฤติการณ์การต่อสู้และบาดแผล
การที่จำเลยต่อสู้ขัดขืนการจับกุมและใช้กรรไกรแทงทำร้ายจ่าสิบตำรวจ ร. หลายครั้ง แต่ปรากฏว่าการแทงครั้งแรกถูกจ่าสิบตำรวจ ร. ที่ท้องแต่ไม่เข้า เมื่อกอดปล้ำกันจำเลยได้แทงที่ไหล่ขวาจนเสื้อขาดและไม่เข้าอีกเช่นกัน แสดงว่ามิใช่เป็นการแทงโดยแรง หลังจากนั้นจำเลยได้ใช้กรรไกรแทงที่กระเดือกและคอจ่าสินตำรวจ ร. มีเลือดไหลที่บริเวณกระเดือกเห็นได้ว่าขณะจำเลยใช้กรรไกรแทงจ่าสิบตำรวจ ร. นั้นเป็นการแทงขณะจำเลยและจ่าสิบตำรวจ ร. ต่อสู้กอดรัดกัน และเป็นการแทงเพื่อที่จำเลยจะหลบหนี จำเลยจึงอยู่ในภาวะที่ไม่มีโอกาสเลือกแทงอวัยวะส่วนใดของจ่าสิบตำรวจ ร. ได้ อาวุธที่จำเลยใช้แทงจ่าสิบตำรวจ ร. เป็นกรรไกรขนาดไม่ใหญ่ ไม่ใช่อาวุธโดยสภาพ แม้จำเลยจะใช้กรรไกรแทงจ่าสิบตำรวจ ร. หลายครั้ง แต่จ่าสิบตำรวจ ร. มีบาดแผลที่คอซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญเพียงแห่งเดียว บาดแผลดังกล่าวเป็นเพียงรอยถลอกยาว 0.5 เซนติเมตร แพทย์ลงความเห็นว่ารักษาประมาณ 7 วันหาย พฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าจ่าสิบตำรวจ ร. จำเลยคงมีเจตนาทำร้ายจ่าสิบตำรวจ ร. เพื่อให้พ้นจากการจับกุมเท่านั้น คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย และจำเลยยังมีความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายอีกด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4247/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาหลบหนี vs. พยายามฆ่า: การกระทำที่ส่อแสดงถึงการขัดขวางเจ้าพนักงาน
จำเลยขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร ผู้เสียหายจึงเรียกให้จอดรถข้างทางเพื่อจับกุม ขณะผู้เสียหายยืนอยู่บริเวณไฟเลี้ยวด้านขวาห่างจากรถประมาณ 1 ศอก และหันหน้าเฉียงเข้าหารถเพื่อจดหมายเลขทะเบียนรถได้ยินเสียงเร่งเครื่องยนต์และจำเลยขับรถเคลื่อนมาข้างหน้า ผู้เสียหายจึงกระโดดขึ้นไปบนฝากระโปรงหน้ารถและจับยึดที่ปัดน้ำฝนไว้ จำเลยขับรถแล่นออกไป ส่อแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยกระทำก็เพื่อจะหลบหนีผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไม่ให้จับกุม หากจำเลยมีเจตนาฆ่าคงกระทำโดยการขับรถเบียดกระแทกหรือพุ่งเข้าชนผู้เสียหายทันทีในขณะผู้เสียหายกำลังก้มจดหมายเลขทะเบียนรถ อันเป็นช่วงโอกาสที่จำเลยจะกระทำเช่นนั้นได้เพราะเป็นระยะใกล้ชิดกันและผู้เสียหายไม่ทันได้ระวังตัว หลังจากที่ผู้เสียหายกระโดดขึ้นไปอยู่บนฝากระโปรงรถและจำเลยยังคงขับแล่นต่อไปรวมเป็นระยะทางประมาณ 6 ถึง 7 กิโลเมตร เป็นเหตุการณ์ที่ใกล้ชิดต่อเนื่องจากเหตุการณ์ตอนแรก จึงน่าเชื่อว่าจำเลยขับรถไม่เร็วมากนัก พฤติการณ์เป็นไปได้ว่าจำเลยมีเจตนาที่จะหลบหนีให้พ้นการจับกุมของเจ้าพนักงานตำรวจเพียงอย่างเดียว ยังไม่ถึงขั้นพยายามฆ่าเจ้าพนักงานโดยเล็งเห็นผล คดีคงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1954/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำร้ายร่างกาย, ลักทรัพย์, พกพาอาวุธปืน: ศาลแก้โทษจำคุกจากความผิดฐานทำร้ายร่างกายและยกฟ้องพยายามฆ่า
ผู้เสียหายที่ 1 สวมกางเกงขายาวสีกากี สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวเข้าไปขอตรวจค้นตัวจำเลยโดยแจ้งว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ แต่ไม่ได้แต่งเครื่องแบบตำรวจหรือแสดงหลักฐานให้เห็นว่าตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำการตามหน้าที่ กรณีอาจทำให้จำเลยเข้าใจผิดไปได้ แม้จำเลยจะต่อสู้ชกต่อยหรือใช้มีดแทงผู้เสียหายที่ 1 เพื่อขัดขวางไม่ให้ผู้เสียหายที่ 1 ตรวจค้นและจับกุม จำเลยก็หามีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ไม่แม้ในชั้นสอบสวนจำเลยจะให้การรับสารภาพฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ แต่บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่าโดยลำพังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังเพื่อลงโทษจำเลยได้
ศาลชั้นต้นกำหนดโทษและลดโทษให้แก่จำเลย แต่คำนวณโทษไม่ถูกต้องครบถ้วนเมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์และฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาตามโทษจำคุกที่ถูกต้องได้ เพราะเป็นการพิพากษาเพิ่มโทษจำเลย ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4045/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวและขัดขวางเจ้าพนักงาน: ความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
การที่จำเลยทั้งสองนำคนต่างด้าวสัญชาติลาว 20 คน โดยสารรถยนต์จากจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อไปส่งที่จังหวัดปทุมธานี โดยรู้ว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นคนต่างด้าวและเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองฯ มาตรา 64 วรรคหนึ่ง แล้ว
การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันขับรถหลบหนีเจ้าพนักงานตำรวจและพุ่งชนรถของทางราชการจนเกิดการเสียหายนั้น จำเลยทั้งสองมีเจตนากระทำเพื่อหลบหนีการจับกุมดังนั้น ความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่กับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จึงเป็นกรรมเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง และประเด็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน
การกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น เป็นความผิดที่เกิดขึ้นและมีอยู่ต่อเนื่องกันไปตลอดเวลา นับตั้งแต่เมื่อบุคคลผู้นั้นได้ยึดถือเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจนกระทั่งขนเคลื่อนย้ายไป คดีนี้ปรากฏว่าคนร้ายซึ่งมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองมาจ้างจำเลยให้ขับรถยนต์ไปส่งยังจุดหมายปลายทาง โดยจำเลยรู้จักคนร้ายเป็นอย่างดีและรู้ว่าเมทแอมเฟตามีนของกลาง 1,000 เม็ด คนร้ายจะนำไปจำหน่ายที่จังหวัดเชียงใหม่ การที่จำเลยรับจ้างขับรถยนต์เพื่อส่งคนร้ายโดยมียาเสพติดให้โทษนั้นอยู่ในความยึดถือหรือความปกครองดูแลของจำเลยด้วยถือว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครอง เมื่อจำเลยกับคนร้ายกระทำร่วมกันเพื่อให้บรรลุตามความประสงค์โดยการกระทำแต่ละขั้นตอนเป็นสาระสำคัญก่อให้เกิดเป็นความผิดขึ้น การกระทำของจำเลยจึงถือได้ว่าเป็นตัวการมิใช่เป็นผู้สนับสนุน
การที่จำเลยขับรถยนต์มาถึงด่านตรวจ เจ้าพนักงานตำรวจให้สัญญาณหยุดรถเพื่อขอตรวจค้น จำเลยไม่ยอมหยุดและขับรถเลยไปจนต้องมีการไล่ติดตามเพื่อสกัดจับและจำเลยดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากการจับกุมนั้น เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการจะหลบหนี เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยกระทำอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และการกระทำที่เป็นตัวการหรือผู้สนับสนุน
การกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเกิดขึ้นและมีอยู่ต่อเนื่องกันไปตลอดเวลานับตั้งแต่เมื่อบุคคลผู้นั้นได้ยึดถือเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต จนกระทั่งขนเคลื่อนย้ายไปเมื่อคนร้ายซึ่งมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองได้มาว่าจ้างจำเลยให้ขับรถยนต์กระบะไปส่งยังจุดหมายปลายทาง โดยจำเลยรู้จักกับคนร้าย และจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเมทแอมเฟตามีน 1,000 เม็ด คนร้ายจะนำไปจำหน่าย ก็ถือได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครอง เมื่อจำเลยกับคนร้ายกระทำร่วมกันเพื่อให้บรรลุตามความประสงค์ร่วมกันในการกระทำดังกล่าว โดยการกระทำแต่ละขั้นตอนเป็นสาระสำคัญก่อให้เกิดเป็นความผิดขึ้น การกระทำของจำเลยจึงถือได้ว่าเป็นตัวการ
จำเลยขับรถยนต์กระบะมาถึงด่านตรวจ เจ้าพนักงานตำรวจได้ให้สัญญาณให้หยุดรถเพื่อตรวจ จำเลยไม่ยอมหยุดและได้ขับรถเลยไปจนต้องมีการไล่ติดตามเพื่อสกัดจับ การที่จำเลยขับรถเลยไปไม่ยอมหยุดให้ตรวจค้นก็ดี การที่จำเลยดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากการจับกุมก็ดี เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการจะหลบหนี จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีส่วนร่วมในความผิดฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครอง: การพิจารณาความผิดฐานตัวการหรือผู้สนับสนุน
แม้จำเลยจะอ้างว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางไม่ใช่ของจำเลย แต่การที่จำเลยรับจ้างขับรถยนต์กระบะเพื่อส่ง คนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่ามีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษนั้นอยู่ในความยึดถือหรือความปกครองดูแลของจำเลยด้วย ถือได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครอง เมื่อจำเลยกับคนร้ายได้กระทำร่วมกัน การกระทำของจำเลยจึงถือได้ว่าเป็นตัวการ มิใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8308/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเฮโรอีนเพื่อจำหน่าย และการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน การลงโทษฐานเป็นตัวการร่วม และการปรับบทลงโทษ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ดิ้นรนขัดขืนไม่ยอมให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมโดยดีจำเลยที่ 2 ไม่ได้ต่อสู้ขัดขวางการจับกุม ฮ. แต่เพียงผู้เดียวทำร้ายสิบตำรวจเอก อ. ตามพฤติการณ์เป็นการตัดสินใจกระทำไปตามลำพังของจำเลยแต่ละคนโดยมิได้คบคิดกัน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิด จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ดังนั้น จึงปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138 วรรคสองเท่านั้น จะปรับบทตามมาตรา 140 วรรคหนึ่งซึ่งเป็นบทลงโทษผู้กระทำความผิดโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปตามที่โจทก์ฟ้องไม่ได้
of 18