คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมควร วิเชียรวรรณ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 255 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10653/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิถอนคำร้องทุกข์ของผู้เยาว์ที่มีความรู้สึกผิดชอบดีแล้ว และผลกระทบต่อการดำเนินคดีอาญา
เมื่อผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ที่มีความรู้สึกผิดชอบดีแล้วก็มีสิทธิยื่นคำร้องทุกข์หรือถอนคำร้องทุกข์เองได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นอ้างได้ แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10591/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีซ้ำหลังศาลวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงไม่มีมูลความผิด สิทธิฟ้องระงับตามกฎหมาย
คดีเดิมที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นความผิดอย่างเดียวกันและเป็นการกระทำความผิดอันเดียวกันกับคดีนี้ ซึ่งศาลได้ไต่สวนมูลฟ้องและวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการไต่สวนมูลฟ้องของโจทก์ไม่มีมูลเป็นความผิดตามบทมาตราที่ระบุมาในคำขอท้ายฟ้อง แม้หากจะถือว่าโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด และศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสองตามความผิดหรือบทมาตราที่ถูกต้องได้ ก็เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสองจึงไม่อาจประทับรับฟ้องได้ เป็นกรณีที่ศาลในคดีเดิมได้พิจารณาวินิจฉัยแล้วว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดตามฟ้อง ชอบที่โจทก์ต้องอุทธรณ์คำพิพากษาคดีดังกล่าว ไม่อาจนำมาฟ้องใหม่ได้ เมื่อความผิดซึ่งได้ฟ้องในคดีนี้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10323/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอพิสูจน์ความผิดจำเลย แม้มีคำให้การผู้เสียหายและพยานบอกเล่า ศาลฎีกาให้ยกฟ้อง
โจทก์ขอหมายเรียกผู้เสียหายมาศาลในวันนัดสืบพยานครั้งแรก ผู้เสียหายมาศาลในวันดังกล่าวแล้ว แต่ไม่อาจสืบพยานได้เพราะโจทก์นำพยานปาก ส. เข้าเบิกความต่อศาลยังไม่แล้วเสร็จและขออนุญาตเลื่อนคดีไปสืบพยานปากผู้เสียหายในวันอื่น ศาลจึงให้ผู้เสียหายลงชื่อทราบนัดไว้ แต่หลังจากนั้นผู้เสียหายก็ไม่มาศาลอีกจนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์แถลงเพียงว่าโจทก์ได้ติดตามและสอบถามเจ้าพนักงานตำรวจทราบว่าผู้เสียหายอยู่กับมารดาซึ่งมีอาชีพรับจ้าง มีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง จึงไม่ทราบว่าผู้เสียหายอยู่ที่ใด โดยไม่ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่า ไม่สามารถติดตามตัวผู้เสียหายมาศาลได้อย่างแน่นอน แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์ก็เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นเนื่องจากเห็นว่าโจทก์ขอเลื่อนคดีมาหลายครั้ง ไม่แน่ว่าจะสามารถติดตามผู้เสียหายมาสืบได้หรือไม่เท่านั้น กรณียังถือไม่ได้ว่ามีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ศาลรับฟังสื่อภาพและเสียงคำให้การผู้เสียหายเสมือนหนึ่งเป็นคำเบิกความของผู้เสียหายในชั้นพิจารณาของศาลได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 ตรี วรรคสี่ คำให้การของผู้เสียหายและม้วนวีดิทัศน์การถามปากคำผู้เสียหายในชั้นสอบสวนจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า แม้ตามมาตรา 226/3 มีข้อยกเว้นให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่าได้ แต่ศาลต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังและไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีหรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุนตามมาตรา 227/1 วรรคหนึ่ง แต่พยานหลักฐานโจทก์อื่นๆ ที่จะรับฟังประกอบวีดิทัศน์การถามปากคำผู้เสียหายล้วนแต่เป็นพยานบอกเล่า ซึ่งข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่าไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ความจริงว่า จำเลยเป็นคนร้ายกระทำชำเราผู้เสียหายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9484/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลาภมิควรได้ สินค้าสูญหาย ผู้รับผิดชำระราคาพร้อมดอกเบี้ย
สินค้าข้าวสาลีขาวพิพาทที่บรรทุกในระวางเรือหมายเลข 5 มีเพียงสินค้าของบริษัท บ. กับของจำเลย โดยมีแผ่นพลาสติกทอปูกั้นสินค้าของแต่ละฝ่ายไว้ สินค้าของบริษัท บ. อยู่ด้านบน ส่วนสินค้าของจำเลยอยู่ด้านล่าง ตามใบตราส่งระบุว่าสินค้าของแต่ละฝ่ายมีน้ำหนัก 4,400 เมตริกตัน เท่ากัน และการฉีกขาดของแผ่นพลาสติกเกิดขึ้นในขณะที่ยังขนถ่ายสินค้าของบริษัท บ. ออกจากระวางเรือไม่เสร็จสิ้น การที่จำเลยขนถ่ายสินค้าส่วนที่เหลือในระวางเรือไปทั้งหมด และจำเลยได้รับสินค้าเกินกว่าที่ระบุในใบตราส่งไป 60.24 เมตริกตัน เชื่อว่าสินค้าของบริษัท บ. ได้ปะปนไปกับสินค้าที่จำเลยได้รับไป ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้มาซึ่งสินค้าข้าวสาลีขาว 60.24 เมตริกตัน ของบริษัท บ. โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และเป็นทางให้บริษัท บ. เสียเปรียบ บริษัท บ. ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนสินค้าจำนวนดังกล่าวได้ในฐานะเป็นลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 406 เมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับการสูญหายของสินค้าดังกล่าวให้แก่บริษัท บ. ไปแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิของบริษัทดังกล่าวมาเรียกร้องเอาจากจำเลยได้ จำเลยจึงต้องคืนสินค้าข้าวสาลีขาว 60.24 เมตริกตัน แก่โจทก์
แม้โจทก์จะนำสืบว่าโจทก์ได้จ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัท บ. ไปเป็นเงิน 470,315.31 บาท ก็ตาม แต่ค่าสินไหมทดแทนจำนวนนี้ได้คิดคำนวณราคาจากสินค้าที่สูญหายไป 65.03 เมตริกตัน เมื่อจำเลยได้รับสินค้าของบริษัท บ. ไว้เพียง 60.24 เมตริกตัน หากจำเลยไม่สามารถคืนสินค้าจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ได้ จำเลยก็ต้องรับผิดใช้ราคาแทนโดยคำนวณราคาจากสินค้า 60.24 เมตริกตัน เท่านั้น ขณะที่จำเลยรับสินค้ามีการขนถ่ายขึ้นจากเรือ ซ. ลงเรือลำเลียง ยังไม่มีการตรวจสอบปริมาณหรือน้ำหนักของสินค้า อันถือได้ว่าจำเลยได้รับสินค้าพิพาทไว้โดยสุจริต และการครอบครองสินค้าพิพาทของจำเลยก่อนมีการทวงถามให้คืนเป็นไปโดยสุจริตตลอดมา แต่เมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนสินค้าโดยอ้างสิทธิเหนือสินค้าพิพาทแล้ว จำเลยจึงตกอยู่ในฐานะทุจริตจำเดิมแต่เวลาที่ถูกเรียกคืนนั้น และตกเป็นผู้ผิดนัดซึ่งต้องเสียดอกเบี้ยนับตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคหนึ่ง และมาตรา 204 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 224 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยคืนสินค้าพิพาทและจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2549 ครบกำหนด 7 วัน ที่จำเลยต้องคืนสินค้าในวันที่ 5 มิถุนายน 2549 แล้วจำเลยยังเพิกเฉย จึงถือว่าจำเลยผิดนัดและต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2549

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9246/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานทางวิดีโอ: เหตุจำเป็นและการติดตามตัวผู้เสียหาย
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 ตรี วรรคท้าย ศาลจะรับฟังสื่อภาพและเสียงคำให้การของพยานได้ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่ไม่ได้ตัวพยานมาเบิกความต่อศาล แต่ทางพิจารณาได้ความว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์สืบพยานได้ 2 ปาก และส่งวีดีโอเทป 2 ม้วน เป็นพยาน แล้วแถลงว่าพยานปากผู้เสียหายไม่สามารถส่งหมายให้ได้เพราะไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ย้ายไปเรื่อยๆ ติดต่อทางโทรศัพท์แล้วผู้เสียหายรับ พอรู้ว่าต้องมาเบิกความต่อศาลก็ปิดเครื่อง ไม่สามารถติดต่อได้อีก ขอเลื่อนคดีเพื่อตามตัวให้เบิกความอีกครั้ง ครั้นถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์แถลงว่า ได้รับแจ้งจากพนักงานสอบสวนว่าติดต่อผู้เสียหายได้แล้ว แต่ผู้เสียหายไม่ยอมมาเบิกความที่ศาล ขอให้ศาลสั่งตามที่เห็นสมควร ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวแม้ผู้เสียหายจะย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ ไม่สามารถส่งหมายให้ได้ก็ตาม ก็ถือว่าโจทก์ยังติดต่อผู้เสียหายทางหมายเลขโทรศัพท์ที่เคยให้ไว้ได้ และแม้ผู้เสียหายจะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมมาเบิกความที่ศาลโดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นอย่างไร ก็ถือว่ายังอยู่ในวิสัยที่โจทก์หรือพนักงานสอบสวนจะติดตามตัวผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาลได้ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นอย่างยิ่งที่ศาลจะรับฟังสื่อภาพและเสียงของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนเสมือนหนึ่งเป็นคำเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9241/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดต่างกรรมกันในหลายข้อหา: เครื่องหมายการค้า, ยาสูบ, และการเข้าออกราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต
การที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม เป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ซึ่งมีองค์ประกอบความผิดแตกต่างจากความผิดฐานมีไว้เพื่อขายซึ่งยาสูบที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบอันเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ยาสูบ พ.ศ.2509 และเป็นพระราชบัญญัติที่มีโทษทางอาญาคนละฉบับกัน จึงสามารถแยกการกระทำแต่ละอย่างต่างหากจากกันได้ถือได้ว่าเป็นการกระทำความผิดต่างกรรมกัน
ความผิดฐานเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตกับฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตมีองค์ประกอบความผิดต่างกัน และกฎหมายมีเจตนารมณ์ในการลงโทษจากการกระทำที่ต่างกัน โดยแยกการกระทำออกจากกันได้ จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9137/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำพิพากษาฐานความผิดและโทษ, การลดโทษ, และการรอการลงโทษในคดีทรัพย์สินทางปัญญา, คนเข้าเมือง, และการทำงานของคนต่างด้าว
การที่จำเลยเป็นคนต่างชาติเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านตามช่องทาง อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 11 กับเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่มีหนังสือเดินทางและมิได้รับอนุญาตตามกฎหมายและเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านการตรวจของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมือง มิได้ยื่นรายการตามแบบที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 18 วรรคสอง และ 12 (1) เป็นความผิดในบทมาตราเดียว ทั้งเป็นการกระทำที่จำเลยประสงค์ที่จะเข้ามาในราชอาณาจักร จึงเป็นเจตนาเดียวกัน มิใช่การกระทำโดยเจตนาต่างกัน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
การที่จำเลยอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 81 เป็นการกระทำที่จำเลยประสงค์ที่จะอยู่ในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นเจตนาอีกเจตนาหนึ่งไม่ใช่เจตนาเดียวกันกับเจตนาที่เข้ามาในราชอาณาจักร การอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำกรรมเดียวกับการเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน
พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 62 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทลงโทษในความผิดฐานเป็นคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางและเวลาตามกฎหมาย และฐานเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่มีหนังสือเดินทางและไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท ส่วนมาตรา 81 เป็นบทลงโทษในความผิดฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 62 วรรคหนึ่ง จึงเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักกว่าและในการพิพากษาลงโทษตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง ศาลต้องกำหนดโทษจำคุกเสมอ การที่ศาลวินิจฉัยว่าบทกฎหมายทั้งสองมาตรามีอัตราโทษเท่ากันจึงให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง ปรับเพียงสถานเดียวจึงเป็นการไม่ชอบ
คดีนี้จำเลยเพียงแต่ให้การรับสารภาพ แต่ไม่ได้รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ศาลลงโทษจำคุกในคดีก่อน และโจทก์ไม่ได้นำสืบในข้อนี้ และเมื่อในคดีนี้ศาลให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ จึงไม่อาจนับโทษต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีก่อนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8725/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความคล้ายคลึงของเครื่องหมายการค้า ต้องพิจารณาโดยรวม ไม่ตัดทิ้งคำที่แสดงเจตนาจะไม่ถือสิทธิแต่เพียงผู้เดียว
เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณะเครื่องหมายและการประดิษฐ์ตัวอักษรของเครื่องหมายการค้าของโจทก์คำว่า "California WOW WOMEN" กับเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วคำว่า "WOW WORLD OF WOMEN" แล้ว เห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันมากทั้งรูปร่าง ลักษณะการวางตัวอักษร รวมทั้งเสียงเรียกขานก็แตกต่างกันชัดเจน ซึ่งเมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วไม่อาจทำให้สาธารณชนสับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของหรือแหล่งกำเนิดของสินค้าหรือบริการได้ การที่โจทก์และเจ้าของเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการดังกล่าวได้แสดงปฏิเสธว่าไม่ขอถือสิทธิของตนแต่เพียงผู้เดียวที่จะใช้คำ "California" "WOMEN" และ "WORLD OF WOMEN" ตามลำดับดังกล่าวนั้น ก็มีผลเพียงว่าโจทก์และเจ้าของเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการดังกล่าวไม่มีสิทธิที่จะห้ามมิให้บุคคลอื่นใช้คำดังกล่าวเป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายบริการเท่านั้น การที่จะพิจารณาว่าเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายบริการดังกล่าวเหมือนหรือคล้ายกันจึงต้องนำคำดังกล่าวมาพิจารณาถึงลักษณะและเสียงเรียกขานของเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการด้วย ทั้งนี้จะต้องพิจารณาโดยรวมของเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการทั้งหมดโดยไม่ถือว่าคำที่มีการแสดงปฏิเสธว่าจะไม่ขอถือสิทธิของตนแต่เพียงผู้เดียวที่จะใช้คำนั้นไม่ใช่สาระสำคัญที่จะต้องพิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7196/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประกอบกิจการให้เช่าภาพยนตร์และวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาต และการริบของกลาง
ข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานให้เช่าภาพยนตร์และวีดิทัศน์ที่ไม่ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ตามฟ้องข้อ (ค) ในวันเวลาเดียวกันกับความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่าภาพยนตร์และวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามฟ้องข้อ (ข) โดยแผ่นภาพยนตร์และแผ่นวีดิทัศน์ของกลางเป็นจำนวนเดียวกัน และเป็นการกระทำในคราวเดียวกันโดยจำเลยมีเจตนามุ่งประสงค์ต่อผล คือ นำแผ่นภาพยนตร์และแผ่นวีดิทัศน์ดังกล่าวออกให้เช่าเช่นเดียวกัน การกระทำของจำเลยตามฟ้องข้อ (ค) จึงเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามฟ้องข้อ (ข)
แผ่นภาพยนตร์กับแผ่นวีดิทัศน์ของกลางมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยมีไว้เป็นความผิด ได้ใช้ หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่าภาพยนตร์และวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต และความผิดฐานให้เช่าภาพยนตร์และวีดิทัศน์ที่ไม่ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์อันพึงริบได้ตาม ป.อ. มาตรา 32 และมาตรา 33 เนื่องจากสาระสำคัญของการกระทำความผิดอยู่ที่การไม่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการและไม่นำภาพยนตร์กับวีดิทัศน์ไปให้คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ตรวจพิจารณาอนุญาตก่อนนำออกให้เช่า
สมุดรายการเช่าของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยใช้ในการประกอบกิจการให้เช่าภาพยนตร์และวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตโดยตรง กล่าวคือ สมุดรายการเช่าเป็นปัจจัยหลักและส่วนสำคัญที่ใช้ในการกระทำความผิดเพราะเป็นหลักฐานในการเช่า ติดตามแผ่นภาพยนตร์และแผ่นวีดิทัศน์ที่ให้เช่า ตลอดจนคิดค่าปรับต่าง ๆ จึงเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด อันพึงริบได้ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7193/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการขอคืนรถเช่าซื้อหลังถูกริบ: การแบ่งแยกความรับผิดตามสัญญา และการใช้สิทธิโดยสุจริต
สัญญาเช่าซื้อได้ระบุแบ่งแยกสิทธิเรียกค่าเสียหายของเจ้าของหรือผู้ให้เช่าซื้อไว้ 2 กรณี คือ กรณีรถถูกริบโดยไม่ใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ ส่วนอีกกรณีหนึ่ง คือ กรณีที่รถถูกริบไปเพราะความผิดของผู้เช่าซื้อ ข้อสัญญาดังกล่าวยังไม่อาจถือได้ว่าผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อต้องการราคาเช่าซื้อเป็นสำคัญโดยผู้เช่าซื้อจะนำทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อไปใช้อย่างไรก็ได้ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถกระบะของกลางเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่นอันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและไม่อาจถือว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสาม ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอคืนของกลางได้
of 26