พบผลลัพธ์ทั้งหมด 479 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6225/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องค่าเสียหายจากที่ราชพัสดุ: เริ่มนับเมื่อใด และระยะเวลาเท่าใด
โจทก์รู้ว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิและมีสิทธิฟ้องคดีขอให้เพิกถอนที่ดินพิพาทพ้นจากที่ราชพัสดุและเรียกร้องค่าเสียหายได้ตั้งแต่โจทก์ได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์เมื่อปี 2520 หรืออย่างช้าไม่เกินปี 2527 ซึ่งเป็นปีที่โจทก์ถูกดำเนินคดีข้อหาบุกรุกที่ดินพิพาท เมื่อโจทก์เพิ่งจะยื่นคำฟ้องคดีนี้เรียกร้องค่าเสียหายต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2539 ก็ถือเป็นการฟ้องคดีต่อเนื่องจากการที่โจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิและมีสิทธิฟ้องคดีได้ อันเป็นระยะเวลาล่วงเลยมาถึงประมาณ 12 ปีเป็นอย่างน้อย คดีของโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว หาใช่สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดดังที่โจทก์ฟ้องไม่ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ และมีคำขอด้วยว่า เพื่อมิให้คดีต้องล่าช้าเสียเวลา ขอศาลอุทธรณ์ได้โปรดวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่น ๆ ที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยไปเสียเลยทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนแล้วพิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเต็มตามฟ้องแก่โจทก์ รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความอัตราขั้นสูงแก่โจทก์ด้วย อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงต้องคิดค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ในศาลชั้นต้นตามบัญชีท้าย ป.วิ.พ. ตาราง 1 ข้อ (1) (ก)
คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ และมีคำขอด้วยว่า เพื่อมิให้คดีต้องล่าช้าเสียเวลา ขอศาลอุทธรณ์ได้โปรดวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่น ๆ ที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยไปเสียเลยทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนแล้วพิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเต็มตามฟ้องแก่โจทก์ รวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความอัตราขั้นสูงแก่โจทก์ด้วย อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงต้องคิดค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ในศาลชั้นต้นตามบัญชีท้าย ป.วิ.พ. ตาราง 1 ข้อ (1) (ก)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2851/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าต้องมีเหตุร้ายแรง การทะเลาะเบาะแว้งปกติไม่ถือเป็นเหตุหย่า
โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาย่อมจะมีเรื่องระหองระแหงทะเลาะกันเป็นปกติธรรมดาของชีวิตคู่ การที่จำเลยไม่ค่อยอยู่บ้านก็มิใช่เป็นการประพฤติเสื่อมเสีย และการที่จำเลยตบตีทำร้ายโจทก์จนโจทก์ต้องไปแจ้งความดำเนินคดีแก่จำเลยแต่พนักงานสอบสวนได้ไกล่เกลี่ยก็เป็นเรื่องภายในครอบครัว ซึ่งโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลย หลังจากนั้นโจทก์จำเลยยังทะเลาะกันและจำเลยพยายามจะทำร้ายร่างกายโจทก์ พฤติกรรมดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงถึงขนาดที่โจทก์เดือดร้อนเกินควร ยังไม่เป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (6)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2465/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา: เงินบริจาคเพื่อโครงการตำรวจเป็นสิทธิของกรมตำรวจ ไม่ใช่ของข้าราชการตำรวจ
กรมตำรวจได้จัดสร้างพระพุทธโสธร รุ่นประวัติศาสตร์ กรมตำรวจ 80 ปี เพื่อจำหน่ายนำรายได้มาส่งเสริมสวัสดิการให้แก่ข้าราชการตำรวจและสมทบเป็นกองทุนเพื่อพัฒนาสถานีตำรวจทั่วประเทศ โดยมีการออกคำสั่งวางแนวปฏิบัติในการรับเงินจากการจำหน่ายและนำเงินเข้าบัญชี ซึ่งตามบันทึกข้อความเรื่องวิธีปฏิบัติและควบคุมการรับเงินบริจาคในการสร้างพระพุทธโสธร รุ่นประวัติศาสตร์ กรมตำรวจ 80 ปี ระบุให้หน่วยที่รับผิดชอบใบสั่งจองและรับเงินบริจาค จัดเจ้าหน้าที่รับเงินบริจาคและจัดทะเบียนคุมการรับเงินบริจาคและทะเบียนคุมการสั่งจองพระ ซึ่งเจ้าหน้าที่ควบคุมเป็นสารวัตรการเงินของหน่วย ฯลฯ เมื่อรับเงินบริจาคแล้วให้นำเงินฝาก ธนาคาร ท. ตามชื่อบัญชีและเลขที่บัญชีที่กำหนดไว้ ดังนี้ เมื่อจำเลยดำรงตำแหน่งสารวัตรการเงินของหน่วย จึงมีหน้าที่รับเงิน แล้วนำฝากเข้าบัญชีธนาคาร ซึ่งเงินที่จำเลยรับไว้ย่อมถือได้ว่าเป็นการรับไว้แทนกรมตำรวจ สิทธิในเงินรับบริจาคย่อมตกแก่กรมตำรวจแล้วตั้งแต่เวลาที่จำเลยได้รับเงินไว้ หาใช่เงินของเจ้าพนักงานตำรวจแปดนายดังที่โจทก์ฟ้องไม่ เจ้าพนักงานตำรวจทั้งแปดนายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายในเงินดังกล่าว ย่อมไม่มีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหายักยอกทรัพย์โจทก์จึงไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2343/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้แทนแล้วไม่ชำระคืน ถือเป็นคำให้การขัดแย้ง ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และภริยาโจทก์ช่วยชำระค่าปรับ 1,451,450 บาท ในข้อหามียาสูบที่มิได้ปิดแสตมป์ยาสูบไว้ในครอบครองเกินกว่า 500 กรัม ต่อกรมสรรพสามิตแทนจำเลยที่ 1 โดยจำเลยทั้งสองตกลงจะร่วมกันนำเงินดังกล่าวมาชำระคืนให้แก่โจทก์และภริยาในภายหลัง จำเลยทั้งสองให้การในตอนแรกว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ขอให้โจทก์ชำระหนี้ค่าปรับแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระค่าปรับเองแต่จำเลยทั้งสองกลับให้การในตอนหลังว่า หนี้ค่าปรับมิใช่เงินของโจทก์ ถ้าทางพิจารณาฟังได้ว่าเป็นเงินของโจทก์ซึ่งเป็นการชำระหนี้แทน ฟ้องโจทก์ก็ขาดอายุความ กรณีจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งว่าหนี้ค่าปรับที่ชำระแก่กรมสรรพสามิตเป็นเงินของจำเลยที่ 1 หรือเป็นเงินของโจทก์ และเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันเองไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองให้การยอมรับหรือปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยชัดแจ้ง จึงไม่มีสิทธินำพยานของตนเข้าสืบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนาคารมีหน้าที่สลักหลังกรมธรรม์ประกันภัยตามเลตเตอร์ออฟเครดิตหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่มีหน้าที่หากไม่มีข้อตกลงพิเศษ
ตามเลตเตอร์ออฟเครดิตระบุให้จำเลยเป็นธนาคารผู้แจ้งเครดิตและเป็นธนาคารที่ได้รับการแต่งตั้งให้กระทำการแทนธนาคารผู้ยืนยันเครดิตในการรับ ตรวจสอบ และส่งต่อเอกสารและการส่งสินค้าออกของโจทก์เท่านั้น และไม่ปรากฎข้อความที่เป็นเงื่อนไขพิเศษให้จำเลยต้องสลักหลังกรมธรรม์ประกันภัยต่อการสลักหลังของโจทก์ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย ทั้งข้อความในกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับสินค้าก็สอดคล้องตรงกับเงื่อนไขที่ระบุในเลตเตอร์ออฟเครดิต การที่ผู้ซื้อปฏิเสธไม่รับสินค้าและธนาคารผู้ยืนยันเครดิตไม่จ่ายเงินค่าสินค้าของโจทก์โดยอ้างว่า การสลักหลังกรมธรรม์มิได้เป็นไปตามคำสั่งของธนาคารผู้เปิดเครดิต เมื่อโจทก์ไม่สามารถนำสืบได้ว่าธนาคารจำเลยทราบอยู่แล้วว่าต้องสลักหลังกรมธรรม์ประกันภัย แล้วจงใจหรือประมาทเลิ่นเล่อมิได้สลักหลังกรมธรรม์ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยต้องมีหน้าที่สลักหลังกรมธรรม์ประกันภัยในเอกสารของโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีหน้าที่และความรับผิดในการตรวจสอบเอกสารการส่งสินค้าออกให้แก่โจทก์และมีหน้าที่สลักหลังกรมธรรม์ประกันภัยดังที่โจทก์อ้าง การที่จำเลยจัดส่งเอกสารการส่งสินค้าไปให้ธนาคารผู้ยืนยันเครดิตโดยจำเลยมิได้สลักหลังกรมธรรม์ประกันภัยสินค้าแต่ละงวดและเอกสารการส่งสินค้าออกมีข้อความไม่ตรงตามเงื่อนไขของเลตเตอร์ออฟเครดิต เป็นเหตุให้ผู้ซื้อปฏิเสธสินค้าของโจทก์และธนาคารผู้ยืนยันเครดิตปฏิเสธไม่จ่ายเงินค่าสินค้าโดยแจ้งสาเหตุว่า การสลักหลังกรมธรรม์ประกันภัยมิได้เป็นไปตามคำสั่งของธนาคารผู้เปิดเครดิต และใบตราส่งสินค้าระบุค่าใช้จ่ายอื่นด้วยนอกจากค่าระวางเรือ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติผิดหน้าที่ตามสัญญาต่อโจทก์หรือความเสียหายของโจทก์เกิดจากการกระทำของจำเลย โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2353/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นอุทธรณ์ไม่กระทบสิทธิบังคับคดี หากศาลฎีกายังไม่อนุญาตทุเลาการบังคับคดี
การยื่นอุทธรณ์ย่อมไม่เป็นการทุเลาการบังคับคดี ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศฯ มาตรา 45 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 231 วรรคหนึ่ง แม้ผู้คัดค้านจะได้ยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีไว้แล้ว แต่เมื่อศาลฎีกายังไม่มีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี ผู้ร้องซึ่งชนะคดีตามคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ย่อมมีสิทธิบังคับคดีได้ และไม่มีเหตุให้เพิกถอนหรืองดการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1505/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการ – การชำระหนี้ – อายุความ – ค่าทนายความ
ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการฯ มาตรา 35 ศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธการขอบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศเสียได้เฉพาะกรณีใดกรณีหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 แห่งบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเท่านั้น มิได้รวมถึงกรณีที่อนุญาโตตุลาการต่างประเทศจะต้องทำคำชี้ขาดภายใน 180 วัน นับแต่วันตั้งอนุญาโตตุลาการคนสุดท้าย
ภาระการพิสูจน์ว่าคู่สัญญาอนุญาโตตุลาการฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บกพร่องในเรื่องความสามารถหรือไม่ และผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้จะถูกบังคับได้ทราบล่วงหน้าโดยชอบถึงการแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการหรือการพิจารณา หรือไม่สามารถเข้าต่อสู้ในชั้นอนุญาโตตุลาการเพราะเหตุประการอื่นหรือไม่ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการฯ มาตรา 34 (1) และ (3) ตามลำดับ กำหนดให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้จะถูกบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นผู้พิสูจน์ไม่ใช่ผู้ร้อง
ภาระการพิสูจน์ว่าคู่สัญญาอนุญาโตตุลาการฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บกพร่องในเรื่องความสามารถหรือไม่ และผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้จะถูกบังคับได้ทราบล่วงหน้าโดยชอบถึงการแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการหรือการพิจารณา หรือไม่สามารถเข้าต่อสู้ในชั้นอนุญาโตตุลาการเพราะเหตุประการอื่นหรือไม่ พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการฯ มาตรา 34 (1) และ (3) ตามลำดับ กำหนดให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้จะถูกบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นผู้พิสูจน์ไม่ใช่ผู้ร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศกระทบเศรษฐกิจ ลดโทษปรับเหมาะสมกับผู้ประกอบการรายย่อย
แม้ความผิดตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ฯ และ พ.ร.บ.ควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ฯ จะไม่ใช่อาชญากรรมที่ร้ายแรงและมิได้เป็นภัยต่อสังคม แต่การกระทำของจำเลยก็เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศเจ้าของลิขสิทธิ์ อันไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย ไม่มีเหตุอันสมควรงดโทษปรับ
จำเลยกระทำความผิดโดยเปิดเป็นร้านแผงลอย แผ่นวีดีโอและดีวีดีภาพยนตร์ที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมทั้งสิบเอ็ดที่ยึดได้มีจำนวน 916 แผ่น ยังไม่อาจถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ค้ารายใหญ่ จึงมีเหตุอันสมควรที่จะลดโทษปรับให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี
จำเลยกระทำความผิดโดยเปิดเป็นร้านแผงลอย แผ่นวีดีโอและดีวีดีภาพยนตร์ที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมทั้งสิบเอ็ดที่ยึดได้มีจำนวน 916 แผ่น ยังไม่อาจถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ค้ารายใหญ่ จึงมีเหตุอันสมควรที่จะลดโทษปรับให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 679/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความสัญญาตามเจตนาของคู่สัญญาและปกติประเพณี มิใช่เพียงชื่อสัญญา สัญญาโอนลิขสิทธิ์ต้องชัดเจน
การตีความตามสัญญาต้องเป็นไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 368 นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 171 ด้วย จะถือเอาแต่เพียงชื่อของสัญญาเป็นเด็ดขาดไม่ได้ เมื่อข้อความในสัญญาประกอบกับพยานหลักฐานฟังได้ว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำสัญญาโอนขายมาสเตอร์เทป 1 ต้นแบบเท่านั้น มิได้มีเจตนาทำสัญญาโอนขายลิขสิทธิ์ในงานเพลงดังกล่าวแต่อย่างใด ลิขสิทธิ์ในงานเพลงจึงยังเป็นของจำเลยที่ 1 ดังนั้นการที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันผลิตมาสเตอร์เทปเพลงทั้ง 14 เพลงดังกล่าวเป็น 3 ชุด ซึ่งเป็นคนละเวอร์ชันกับมาสเตอร์เทปที่จำเลยที่ 1 โอนขายให้โจทก์ย่อมไม่ใช่การดัดแปลงงานดนตรีกรรมอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 679/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความสัญญาโอนลิขสิทธิ์ต้องดูเจตนาของคู่สัญญาและพฤติการณ์หลังทำสัญญา ไม่ยึดชื่อสัญญาเป็นหลัก
การตีความสัญญาต้องเป็นไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 368 คือต้องถือหลักตามความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายจะถือเอาเจตนาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ นอกจากนี้การตีความสัญญายังต้องเพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษรตาม ป.พ.พ. มาตรา 171 ด้วย เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับความหมายของข้อความในสัญญา ศาลจึงต้องแสวงหาเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายโดยค้นหาเอาจากข้อความในสัญญาทั้งฉบับ รวมทั้งพฤติการณ์ที่คู่สัญญาปฏิบัติต่อกันหลังจากทำสัญญานั้นด้วย จะถือเอาแต่เพียงชื่อของสัญญาเป็นเกณฑ์เด็ดขาดดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่ได้ จากข้อความในสัญญาเห็นได้ว่าข้อความในสัญญาโอนลิขสิทธิ์ดนตรีกรรมระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 มีความหมายไม่ชัดเจนว่าเป็นสัญญาโอนขายลิขสิทธิ์ในงานเพลงโดยเด็ดขาดหรือเป็นแต่เพียงสัญญาโอนขายมาสเตอร์เทป 1 ต้นแบบ หรือ 1 เวอร์ชั่น หาได้มีข้อความชัดเจนดังที่โจทก์อุทธรณ์ไม่ ข้อความในสัญญาและพฤติการณ์ที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ปฏิบัติต่อกันหลังจากทำสัญญานั้นประกอบกับพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสี่แสดงให้เห็นว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำสัญญาเป็นสัญญาโอนขายมาสเตอร์เทป 1 ต้นแบบ หรือ 1 เวอร์ชั่นเท่านั้น มิได้มีเจตนาทำสัญญาโอนขายลิขสิทธิ์ในงานเพลงดังกล่าวกันแต่อย่างใด ลิขสิทธิ์ในงานเพลงนั้นจึงยังคงเป็นของจำเลยที่ 1 ดังนั้น เมื่อลิขสิทธิ์ในดนตรีกรรมคือเพลงทั้งสิบสี่เพลงตามคำฟ้องยังคงเป็นของจำเลยที่ 1 มิได้โอนไปเป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์ การที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันผลิตมาสเตอร์เทปเพลงทั้งสิบสี่เพลงดังกล่าวเป็น 3 ชุด ซึ่งเป็นคนละเวอร์ชั่นกับมาสเตอร์เทปที่จำเลยที่ 1 โอนขายให้แก่โจทก์ ย่อมมิใช่การดัดแปลงงานดนตรีกรรมอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยทั้งสี่จึงไม่มีความผิดตามคำฟ้อง