พบผลลัพธ์ทั้งหมด 888 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 967/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่สมบูรณ์แต่ใช้ได้เมื่อวงแชร์ล้ม ผู้ทรงเช็คมีสิทธิเรียกเงินได้ทันที
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คจำนวน 10,000 บาท ซึ่งจำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยให้การว่าเช็คตามฟ้องไม่สมบูรณ์เพราะจำเลยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่าย โจทก์หรือบุคคลอื่นไม่ได้ตกลงกับจำเลยให้ลงวันที่สั่งจ่ายตามที่ปรากฏ เช็คพิพาทและเช็คอื่น ๆ อีก 13 ฉบับ ๆ ละ 10,000 บาท จำเลยออกให้ ฮ. หัวหน้าวงแชร์เนื่องจากจำเลยประมูลแชร์ได้ เพื่อให้ ฮ. นำเช็คนั้นไปมอบให้ลูกวงแชร์คนอื่น ๆ ถือไว้เป็นประกัน และ ฮ. ต้องเก็บเงินจากลูกวงมามอบให้จำเลย แต่ ฮ. เก็บเงินมาให้จำเลยขาดไป 28,000 บาท อ้างว่าลูกวงแชร์ยังไม่จ่ายให้แล้วฮ. หลบหนีไป โจทก์เล่นแชร์ด้วยผู้หนึ่งยังไม่ได้ประมูล หากโจทก์ประมูลได้ต้องมอบเช็คให้ ฮ. มาเก็บเงินจากจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำไปขึ้นเงิน หากโจทก์รับโอนเช็คก็รับโอนโดยไม่สุจริต ดังนี้ ตามคำให้การจำเลยแสดงว่า ฮ. ได้เก็บเงินค่าแชร์จากโจทก์มอบให้จำเลยไปแล้ว เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่จำเลยยืมตามวิธีเล่นแชร์ซึ่งจำเลยจะต้องใช้คืนโจทก์เมื่อโจทก์ประมูลแชร์ได้ เป็นการจ่ายเช็คโดยมีเจตนาจะให้ผูกพันชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่ตามคำให้การจำเลยแสดงว่าวงแชร์ล้มและนายวงหลบหนี ถือได้ว่าการเล่นแชร์เลิกกันไป โจทก์จึงชอบที่จะเรียกให้จำเลยชำระเงินยืมได้ทันที ดังนั้น ตั้งแต่วันแชร์ล้มโจทก์ชอบที่จะลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คและนำไปขึ้นเงินจากธนาคารได้ ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย และวันสั่งจ่ายที่ลงในเช็คเป็นวันที่ถูกต้องแท้จริง จำเลยผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดต่อโจทก์ตามข้อความในเช็ค ไม่จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงอื่นใดอีกต่อไปอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 967/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาทจากการเล่นแชร์ล้ม: ผู้ทรงโดยชอบตามกฎหมายมีสิทธิเรียกเงินได้ทันที
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คจำนวน 10,000 บาทซึ่งจำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยให้การว่าเช็คตามฟ้องไม่สมบูรณ์เพราะจำเลยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่าย โจทก์หรือบุคคลอื่นไม่ได้ตกลงกับจำเลยให้ลงวันที่สั่งจ่ายตามที่ปรากฏ เช็คพิพาทและเช็คอื่นๆ อีก 13 ฉบับๆ ละ 10,000 บาทจำเลยออกให้ ฮ.หัวหน้าวงแชร์เนื่องจากจำเลยประมูลแชร์ได้เพื่อให้ ฮ. นำเช็คนั้นไปมอบให้ลูกวงแชร์คนอื่นๆ ถือไว้เป็นประกัน และ ฮ. ต้องเก็บเงินจากลูกวงมามอบให้จำเลย แต่ ฮ. เก็บเงินมาให้จำเลยขาดไป28,000 บาท อ้างว่าลูกวงแชร์ยังไม่จ่ายให้แล้ว ฮ. หลบหนีไป โจทก์เล่นแชร์ด้วยผู้หนึ่งยังไม่ได้ประมูลหากโจทก์ประมูลได้ต้องมอบเช็คให้ ฮ. มาเก็บเงินจากจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำไปขึ้นเงิน หากโจทก์รับโอนเช็คก็รับโอนโดยไม่สุจริต ดังนี้ ตามคำให้การจำเลยแสดงว่า ฮ. ได้เก็บเงินค่าแชร์จากโจทก์มอบให้จำเลยไปแล้วเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่จำเลยยืมตามวิธีเล่นแชร์ซึ่งจำเลยจะต้องใช้คืนโจทก์เมื่อโจทก์ประมูลแชร์ได้เป็นการจ่ายเช็คโดยมีเจตนาจะให้ผูกพันชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่ตามคำให้การจำเลยแสดงว่าวงแชร์ล้มและนายวงหลบหนี ถือได้ว่าการเล่นแชร์เลิกกันไป โจทก์จึงชอบที่จะเรียกให้จำเลยชำระเงินยืมได้ทันทีดังนั้นตั้งแต่วันแชร์ล้มโจทก์ชอบที่จะลงวันสั่งจ่ายในเช็คและนำไปขึ้นเงินจากธนาคารได้ ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย และวันสั่งจ่ายที่ลงในเช็คเป็นวันที่ถูกต้องแท้จริง จำเลยผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดต่อโจทก์ตามข้อความในเช็คไม่จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงอื่นใดต่อไปอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินหลังสัญญาหมดอายุและมีสัญญาใหม่ไม่มีกำหนดเวลา การบอกกล่าวล่วงหน้า และการสืบพยานนอกบัญชี
จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์มีกำหนด 1 ปี โดยทำสัญญากันไว้เป็นหลักฐาน เมื่อสิ้นกำหนดตามสัญญา จำเลยยังคงครอบครองที่ดินที่เช่าอยู่ และโจทก์รู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วง การเช่าระหว่างโจทก์จำเลยในภายหลังต่อมาจึงถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 570 ซึ่งโจทก์ผู้ให้เช่าอาจบอกเลิกสัญญาเช่าตามมาตรา 566 ก็ได้ ดังนี้ เมื่อปรากฏว่ากำหนดระยะเวลาชำระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน และโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2516 ให้จำเลยออกจากที่เช่าภายในวันที่ 31 มกราคม 2516 จำเลยรับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2516 และโจทก์ฟ้องจำเลยในวันที่ 8 มีนาคม 2516 จึงถือได้ว่าโจทก์บอกกล่าวล่วงหน้าก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งแล้วตามมาตรา 566 การบอกกล่าวของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 845/2490)
แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2) จะห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืนมาตรา 88 และมาตรา 90 ก็ตาม แต่ในมาตรา 87 (2) นั้นเอง ก็ได้บัญญัติต่อไปว่า " ฯลฯ แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี โดยฝ่าฝืนบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้" ดังนั้นการที่โจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยาน และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์สืบตัวโจทก์ซึ่งเป็นพยานสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 623/2500)
แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (2) จะห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานฝ่าฝืนมาตรา 88 และมาตรา 90 ก็ตาม แต่ในมาตรา 87 (2) นั้นเอง ก็ได้บัญญัติต่อไปว่า " ฯลฯ แต่ถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี โดยฝ่าฝืนบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้" ดังนั้นการที่โจทก์มิได้ยื่นบัญชีระบุพยาน และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์สืบตัวโจทก์ซึ่งเป็นพยานสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 623/2500)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177-186/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อัคคีภัยทำให้สัญญาเช่าระงับสิ้นสุด แม้มีการซ่อมแซมก็ไม่ฟื้นคืนสภาพ
จำเลยทั้ง 10 สำนวนทำสัญญาเช่าห้องพิพาทจากโจทก์คนละห้อง มีข้อสัญญาว่าถ้าห้องเช่าเกิดอัคคีภัย สัญญาเช่าเป็นอันระงับสิ้นสุดลง เมื่อปรากฏว่าห้องเช่าถูกไฟไหม้ โดยหลังคาและเพดานห้องเช่าทั้ง 10 ห้องถูกไฟไหม้หมด เว้นแต่เพดานห้องที่ ป. จำเลยเช่าถูกไฟไหม้ไปครึ่งห้อง ฝาห้องเช่าชั้นบนแต่ละห้องถูกไฟไหม้เสียหายเป็นส่วนมาก ส่วนชั้นล่างไฟไหม้ห้องครัว ฝา และบันไดหมดบางห้อง และบางห้องไฟไหม้เกรียงจนจำเลยแต่ละคนต้องใช้สังกะสีมุงหลังคาและซ่อมแซมห้องเช่าเพื่อป้องกันฝนตกลงมาเปียก จึงใช้เป็นที่อยู่อาศัยต่อไปได้ ดังนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ห้องเช่าดังกล่าวถึงขนาดที่เรียกว่าห้องเช่าเกิดอัคคีภัยแล้วตามสัญญา ฉะนั้น สัญญาเช่าจึงเป็นอันระงับไปตามข้อสัญญา และเมื่อสัญญาระงับไปแล้วแม้จำเลยแต่ละคนจะซ่อมแซมห้องเช่าใช้เป็นที่อยู่อาศัยต่อมาอีก ก็หาทำให้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยแต่ละคนกลับมีผลบังคับต่อไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1536/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าและสถานีบริการ: สิทธิเลิกสัญญา, ข้อตกลงพิเศษ, และการลดเบี้ยปรับ
สัญญาเช่าที่ดินจดทะเบียนกำหนด 15 ปี แต่ระบุไว้ว่าผู้เช่าเลิกสัญญาได้โดยบอกกล่าวล่วงหน้า 30 วัน ผู้เช่าบอกเลิกก่อน 15 ปีได้
สัญญาดำเนินการสถานีบริการระบุว่าผู้ดำเนินการต้องเก็บและใช้สินค้าน้ำมันที่ซื้อจากบริษัทโดยตรงเท่านั้น ถ้าฝ่าฝืนบริษัทบอกเลิกสัญญาได้ ดังนี้ ผู้ดำเนินการซื้อน้ำมันจากผู้อื่น แม้เป็นน้ำมันของบริษัทบริษัทก็บอกเลิกสัญญาได้
เบี้ยปรับกำหนดไว้วันละ 2,000 บาท ศาลลดลงให้เสียเพียงวันละ 100 บาทได้
สัญญาดำเนินการสถานีบริการระบุว่าผู้ดำเนินการต้องเก็บและใช้สินค้าน้ำมันที่ซื้อจากบริษัทโดยตรงเท่านั้น ถ้าฝ่าฝืนบริษัทบอกเลิกสัญญาได้ ดังนี้ ผู้ดำเนินการซื้อน้ำมันจากผู้อื่น แม้เป็นน้ำมันของบริษัทบริษัทก็บอกเลิกสัญญาได้
เบี้ยปรับกำหนดไว้วันละ 2,000 บาท ศาลลดลงให้เสียเพียงวันละ 100 บาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1202/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยรับมอบงานชำรุดแล้วไม่จ่ายค่าจ้าง โจทก์ไม่ต้องรับผิดแม้จะมีการจ้างช่วง และจำเลยเพิกเฉยต่อการจ้างช่วงนั้น
โจทก์รับจ้างทำของให้แก่จำเลย เมื่อจำเลยรับมอบงานที่ทำทั้ง ๆ ที่ทราบข้อชำรุดบกพร่องอยู่ก่อนแล้ว จำเลยก็ต้องรับผิดชำระค่าจ้างแก่โจทก์ การที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ต้องรับผิดเพื่อการนี้เพราะจำเลยได้โต้แย้งท้วงติงในความชำรุดบกพร่องดังกล่าวภายในกำหนด 1 ปีแล้วนั้น ก็เป็นเรื่องความรับผิดในข้อชำรุดบกพร่องเป็นคนละเรื่องกับการที่จำเลยรับมอบงานแล้วไม่จ่ายค่าจ้าง
การที่โจทก์เอางานบางส่วนไปให้ผู้อื่นรับจ้างช่วงโดยมิได้รับอนุญาตจากจำเลย แม้จะเป็นการผิดสัญญา แต่เมื่อจำเลยเพิกเฉยไม่เคยยกเหตุนี้ขึ้นว่ากล่าวแก่โจทก์และไม่เคยขอเลิกสัญญากับโจทก์เพราะเหตุนี้ กรณีจึงไม่มีค่าเสียหายที่โจทก์จะต้องรับผิดอันจำเลยจะอ้างอำนาจตามข้อสัญญามายึดและหักเงินค่าจ้างที่ค้างชำระไว้เพื่อเป็นค่าทดแทน
การที่โจทก์เอางานบางส่วนไปให้ผู้อื่นรับจ้างช่วงโดยมิได้รับอนุญาตจากจำเลย แม้จะเป็นการผิดสัญญา แต่เมื่อจำเลยเพิกเฉยไม่เคยยกเหตุนี้ขึ้นว่ากล่าวแก่โจทก์และไม่เคยขอเลิกสัญญากับโจทก์เพราะเหตุนี้ กรณีจึงไม่มีค่าเสียหายที่โจทก์จะต้องรับผิดอันจำเลยจะอ้างอำนาจตามข้อสัญญามายึดและหักเงินค่าจ้างที่ค้างชำระไว้เพื่อเป็นค่าทดแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1202/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมอบงานที่มีข้อชำรุด และการจ้างช่วงโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่เป็นเหตุให้งดจ่ายค่าจ้าง
โจทก์รับจ้างทำของให้แก่จำเลย เมื่อจำเลยรับมอบงานที่ทำทั้ง ๆ ที่ทราบข้อชำรุดบกพร่องอยู่ก่อนแล้ว จำเลยก็ต้องรับผิดชำระค่าจ้างแก่โจทก์ การที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ต้องรับผิดเพื่อการนี้เพราะจำเลยได้โต้แย้งท้วงติงในความชำรุดบกพร่องดังกล่าวภายในกำหนด 1 ปีแล้วนั้น ก็เป็นเรื่องความรับผิดในข้อชำรุดบกพร่องเป็นคนละเรื่องกับการที่จำเลยรับมอบงานแล้วไม่จ่ายค่าจ้าง
การที่โจทก์เอางานบางส่วนไปให้ผู้อื่นรับจ้างช่วงโดยมิได้รับอนุญาตจากจำเลย แม้จะเป็นการผิดสัญญา แต่เมื่อจำเลยเพิกเฉยไม่เคยยกเหตุนี้ขึ้นว่ากล่าวแก่โจทก์และไม่เคยขอเลิกสัญญากับโจทก์เพราะเหตุนี้ กรณีจึงไม่มีค่าเสียหายที่โจทก์จะต้องรับผิดอันจำเลยจะอ้างอำนาจตามข้อสัญญามายึดและหักเงินค่าจ้างที่ค้างชำระไว้เพื่อเป็นค่าทดแทน
การที่โจทก์เอางานบางส่วนไปให้ผู้อื่นรับจ้างช่วงโดยมิได้รับอนุญาตจากจำเลย แม้จะเป็นการผิดสัญญา แต่เมื่อจำเลยเพิกเฉยไม่เคยยกเหตุนี้ขึ้นว่ากล่าวแก่โจทก์และไม่เคยขอเลิกสัญญากับโจทก์เพราะเหตุนี้ กรณีจึงไม่มีค่าเสียหายที่โจทก์จะต้องรับผิดอันจำเลยจะอ้างอำนาจตามข้อสัญญามายึดและหักเงินค่าจ้างที่ค้างชำระไว้เพื่อเป็นค่าทดแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3005-3006/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างเหมา การบอกเลิกสัญญา ความรับผิดในค่าเสียหาย และสิทธิในการริบของ
กรมราชทัณฑ์จำเลยจ้างเหมาโจทก์ให้ก่อสร้างตึกโรงพิมพ์ แม้จะปรากฏว่าในการก่อสร้างรายนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งแต่งตั้งให้ข้าราชการของกรมโยธาเทศบาลเข้าร่วมเป็นกรรมการอำนวยการสร้าง กรรมการเปิดซองประกวดราคา และกรรมการอื่นอีกหลายคณะ แต่ก็เป็นกรรมการเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งแต่งตั้งของผู้บังคับบัญชา เพื่อให้งานก่อสร้างของทางราชการดำเนินไปโดยเรียบร้อย หาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยมอบหมายหรือแต่งตั้งให้ข้าราชการกรมโยธาเทศบาลหรือกรมโยธาเทศบาลเป็นตัวแทนของจำเลย หรือเป็นคู่สัญญาแทนจำเลยไม่การที่คณะกรรมการเปิดซองประกวดราคา โดย ธ. หัวหน้ากองก่อสร้างกรมโยธาเทศบาลขอให้โจทก์ลดเวลาก่อสร้างลง ซึ่งโจทก์ยินยอมโดยขอให้กองก่อสร้างอำนวยความสะดวกในการจัดซื้อวัสดุในการก่อสร้างบางอย่างให้นั้น จึงหาใช่เงื่อนไขอันหนึ่งซึ่งเสมือนสัญญาที่จะผูกพันให้จำเลยต้องปฏิบัติตามไม่
โจทก์ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญา และจำเลยได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ตามสัญญาให้อำนาจจำเลยริบการงานที่ทำไว้แล้วได้รวมทั้งจัดให้ผู้อื่นเข้าทำการงานนั้นต่อไป โดยผู้รับจ้างเหมายอมใช้ค่าเสียหายให้ทั้งสิ้น ดังนั้นบรรดาสัมภาระและวัสดุที่เหลืออยู่ในที่ก่อสร้างเป็นส่วนหนึ่งของการงานที่โจทก์ทำค้างไว้ จำเลยจึงมีสิทธิที่จะริบได้ ส่วนเครื่องผสมคอนกรีตมิใช่การงานที่ได้ทำไว้ แต่เป็นเครื่องใช้หรือเครื่องมือในการประกอบการงานของโจทก์เท่านั้น จำเลยหาอาจริบได้ไม่
โจทก์ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญา และจำเลยได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ตามสัญญาให้อำนาจจำเลยริบการงานที่ทำไว้แล้วได้รวมทั้งจัดให้ผู้อื่นเข้าทำการงานนั้นต่อไป โดยผู้รับจ้างเหมายอมใช้ค่าเสียหายให้ทั้งสิ้น ดังนั้นบรรดาสัมภาระและวัสดุที่เหลืออยู่ในที่ก่อสร้างเป็นส่วนหนึ่งของการงานที่โจทก์ทำค้างไว้ จำเลยจึงมีสิทธิที่จะริบได้ ส่วนเครื่องผสมคอนกรีตมิใช่การงานที่ได้ทำไว้ แต่เป็นเครื่องใช้หรือเครื่องมือในการประกอบการงานของโจทก์เท่านั้น จำเลยหาอาจริบได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3005-3006/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างเหมา: สิทธิและหน้าที่ของผู้รับจ้าง ผู้ว่าจ้าง การเลิกสัญญา ค่าปรับ และค่าเสียหาย
กรมราชทัณฑ์จำเลยจ้างเหมาโจทก์ให้ก่อสร้างตึกโรงพิมพ์แม้จะปรากฏว่าในการก่อสร้างรายนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งแต่งตั้งให้ข้าราชการของกรมโยธาเทศบาลเข้าร่วมเป็นกรรมการอำนวยการสร้าง กรรมการเปิดซองประกวดราคา และกรรมการอื่นอีกหลายคณะ แต่ก็เป็นกรรมการเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งแต่งตั้งของผู้บังคับบัญชา เพื่อให้งานก่อสร้างของทางราชการดำเนินไปโดยเรียบร้อยหาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยมอบหมายหรือแต่งตั้งให้ข้าราชการกรมโยธาเทศบาลหรือกรมโยธาเทศบาลเป็นตัวแทนของจำเลย หรือเป็นคู่สัญญาแทนจำเลยไม่การที่คณะกรรมการเปิดซองประกวดราคา โดย ธ. หัวหน้ากองก่อสร้างกรมโยธาเทศบาลขอให้โจทก์ลดเวลาก่อสร้างลง ซึ่งโจทก์ยินยอมโดยขอให้กองก่อสร้างอำนวยความสะดวกในการจัดซื้อวัสดุในการก่อสร้างบางอย่างให้นั้น จึงหาใช่เงื่อนไขอันหนึ่งซึ่งเสมือนสัญญาที่จะผูกพันให้จำเลยต้องปฏิบัติตามไม่
โจทก์ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญา และจำเลยได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ตามสัญญาให้อำนาจจำเลยริบการงานที่ทำไว้แล้วได้รวมทั้งจัดให้ผู้อื่นเข้าทำการงานนั้นต่อไป โดยผู้รับจ้างเหมายอมใช้ค่าเสียหายให้ทั้งสิ้น ดังนั้นบรรดาสัมภาระและวัสดุที่เหลืออยู่ในที่ก่อสร้างเป็นส่วนหนึ่งของการงานที่โจทก์ทำค้างไว้ จำเลยจึงมีสิทธิที่จะริบได้ ส่วนเครื่องผสมคอนกรีตมิใช่การงานที่ได้ทำไว้ แต่เป็นเครื่องใช้หรือเครื่องมือในการประกอบการงานของโจทก์เท่านั้น จำเลยหาอาจริบได้ไม่
โจทก์ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญา และจำเลยได้บอกเลิกสัญญาแล้ว ตามสัญญาให้อำนาจจำเลยริบการงานที่ทำไว้แล้วได้รวมทั้งจัดให้ผู้อื่นเข้าทำการงานนั้นต่อไป โดยผู้รับจ้างเหมายอมใช้ค่าเสียหายให้ทั้งสิ้น ดังนั้นบรรดาสัมภาระและวัสดุที่เหลืออยู่ในที่ก่อสร้างเป็นส่วนหนึ่งของการงานที่โจทก์ทำค้างไว้ จำเลยจึงมีสิทธิที่จะริบได้ ส่วนเครื่องผสมคอนกรีตมิใช่การงานที่ได้ทำไว้ แต่เป็นเครื่องใช้หรือเครื่องมือในการประกอบการงานของโจทก์เท่านั้น จำเลยหาอาจริบได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2614/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่า: การตีความสัญญา การสร้างอาคารไม่ครบตามสัญญา และสิทธิของผู้เช่า
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยค้างชำระค่าเช่า 17 เดือน จำเลยให้การว่าจำเลยชำระตลอดมา คงไม่ชำระเพียง 6 เดือนเพราะโจทก์ไม่ยอมรับดังนี้ การที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์ยืมเงินจำเลย และยอมให้หักเงินยืมนั้นกับค่าเช่าที่ยังไม่ได้ชำระ 11 เดือน จำเลยจึงยังไม่ได้ชำระค่าเช่าอีกเพียง 6 เดือน ดังนี้ เป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่าจำเลยชำระค่าเช่าให้โจทก์แล้ว คงยังไม่ได้ชำระอีก 6 เดือนตามคำให้การของจำเลย มิใช่เป็นการนำสืบนอกประเด็น
ตามสัญญาเช่าที่ดินกำหนดว่า "หากอายุการเช่าครบ 3 ปีแล้ว ผู้เช่ายังไม่ทำการถมดินและก่อสร้างอาคารร้านค้าอย่างน้อย10 ห้อง และครบ 7 ปี ตั้งแต่วันทำสัญญาต้องสร้างให้เสร็จครบ อย่างน้อย 20 ห้อง ผู้เช่ายอมให้ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาได้ทันที"ดังนี้ กรณีมีข้อสงสัยว่าเมื่อครบ 3 ปีแล้ว ผู้เช่าถมดินและก่อสร้างร้านค้าเกินกว่า 10 ห้อง แต่ก่อสร้างเสร็จน้อยกว่า 10 ห้อง ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้หรือไม่ จึงต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้เช่าซึ่งเป็นคู่กรณีฝ่ายซึ่งจะต้องเสียในมูลหนี้นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 ว่าจะบอกเลิกสัญญายังไม่ได้จนกว่าจะล่วงพ้น 7 ปีนับตั้งแต่วันทำสัญญาเช่า
ตามสัญญาเช่าที่ดินกำหนดว่า "หากอายุการเช่าครบ 3 ปีแล้ว ผู้เช่ายังไม่ทำการถมดินและก่อสร้างอาคารร้านค้าอย่างน้อย10 ห้อง และครบ 7 ปี ตั้งแต่วันทำสัญญาต้องสร้างให้เสร็จครบ อย่างน้อย 20 ห้อง ผู้เช่ายอมให้ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาได้ทันที"ดังนี้ กรณีมีข้อสงสัยว่าเมื่อครบ 3 ปีแล้ว ผู้เช่าถมดินและก่อสร้างร้านค้าเกินกว่า 10 ห้อง แต่ก่อสร้างเสร็จน้อยกว่า 10 ห้อง ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้หรือไม่ จึงต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้เช่าซึ่งเป็นคู่กรณีฝ่ายซึ่งจะต้องเสียในมูลหนี้นั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 ว่าจะบอกเลิกสัญญายังไม่ได้จนกว่าจะล่วงพ้น 7 ปีนับตั้งแต่วันทำสัญญาเช่า