พบผลลัพธ์ทั้งหมด 888 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อไฟฟ้า/น้ำประปา, การผิดสัญญา, ละเมิด, การกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย, สิทธิของคู่สัญญา
จำเลยที่ 1 เป็นเทศบาลได้รับสัมปทานจากรัฐบาลให้ตั้งโรงไฟฟ้ามีหน้าที่จำหน่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลผู้ร้องขอใช้ไฟฟ้าภายในเขตสัมปทานโจทก์เป็นราษฎรฟ้องหาว่าจำเลยทำผิดข้อสัญญากับโจทก์ในการจำหน่ายกระแสไฟมิได้ฟ้องโดยอาศัยสิทธิตามข้อกำหนดในสัมปทานประกอบกับบทบัญญัติมาตรา 374 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉะนั้นปัญหาที่ว่าโจทก์จะได้สิทธิตามสัมปทานโดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 นี้หรือไม่ จึงไม่เกิดขึ้น
สัญญาซื้อกระแสไฟฟ้าไม่ปรากฏว่ามีกำหนดระยะเวลา อาจมีการเลิกกันเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้ซื้อไม่ชำระค่ากระแสไฟ ผู้ขายก็ตัดสายไฟ ดังนี้ ผู้ซื้อจะมาฟ้องขอให้บังคับผู้ขายให้ต่อสายไฟและจ่ายกระแสไฟให้ต่อไป
สภาพย่อมไม่เปิดช่องให้บังคับได้ตามขอ
เมื่อเทศบาลซึ่งเป็นคู่สัญญากับโจทก์ ผิดสัญญาจะต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่ฟ้องโจทก์ไม่เรียกค่าเสียหายจากเทศบาลซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 เป็นแต่เรียกจากจำเลยอื่นๆ ซึ่งเป็นคนงานและตัวแทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ดังนี้ ก็ไม่มีทางให้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้
เทศบาลทำน้ำประปาโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือได้รับสัมปทานตาม พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขของสาธารณะชนแล้ว การที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับห้ามมิให้เทศบาลเรียกเก็บค่าน้ำประปานั้น ศาลจะบังคับให้ไม่ได้เพราะเป็นการรับรองให้โจทก์ได้รับผลจากการกระทำอันไม่ถูกต้องกับกฎหมาย
สัญญาซื้อกระแสไฟฟ้าไม่ปรากฏว่ามีกำหนดระยะเวลา อาจมีการเลิกกันเมื่อใดก็ได้ เมื่อผู้ซื้อไม่ชำระค่ากระแสไฟ ผู้ขายก็ตัดสายไฟ ดังนี้ ผู้ซื้อจะมาฟ้องขอให้บังคับผู้ขายให้ต่อสายไฟและจ่ายกระแสไฟให้ต่อไป
สภาพย่อมไม่เปิดช่องให้บังคับได้ตามขอ
เมื่อเทศบาลซึ่งเป็นคู่สัญญากับโจทก์ ผิดสัญญาจะต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่ฟ้องโจทก์ไม่เรียกค่าเสียหายจากเทศบาลซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 เป็นแต่เรียกจากจำเลยอื่นๆ ซึ่งเป็นคนงานและตัวแทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ดังนี้ ก็ไม่มีทางให้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้
เทศบาลทำน้ำประปาโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือได้รับสัมปทานตาม พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขของสาธารณะชนแล้ว การที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับห้ามมิให้เทศบาลเรียกเก็บค่าน้ำประปานั้น ศาลจะบังคับให้ไม่ได้เพราะเป็นการรับรองให้โจทก์ได้รับผลจากการกระทำอันไม่ถูกต้องกับกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าเคหะเพื่อค้าและการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า: การพิจารณาว่าการเช่าตกอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายหรือไม่
ในสัญญาเช่าเคหะ จำเลยจะต้องชำระเงินค่ากินเปล่างวดที่ 3 ในวันที่ 1 สิงหาคม 2488 ซึ่งเป็นเวลาที่พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน (ฉะบับที่ 2) 2488 ใช้บังคับอยู่ ต้องพิจารณาว่า จำเลยได้ใช้เคหะเป็นที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่หรือไม่ ถ้าจำเลยมิไ้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน (ฉบับที่ 2) 2488 ก็มิควบคุมถึง
ถ้าหากในเวลาถึงกำหนดชำระเงินกินเปล่างวดที่ 3 การเช่ามิได้ตกอยู่ในควบคุมแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน (ฉบับที่ 2) 2488 และจำเลยกระทำผิดสัญญาจนโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว จำเลยก็ไม่อยู่ในฐานะผู้เช่าต่อไป ดังนี้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน พ.ศ. 2489 ซึ่งออกมาภายหลังย่อมไม่มีผลย้อนหลังไปใช้บังคับแก่กรณีระหว่างโจทก์จำเลย ซึ่งไม่มีการเช่ากันนั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าเคหะ เพื่อการค้า และผิดสัญญาไม่ชำระเงินกินเปล่า จำเลยให้การรับว่า ได้ทำสัญญากับโจท์จริง แต่ต่อสู้ว่ามิได้ผิดสัญญาในเรื่องชำระเงินกินเปล่า ดังนี้ จำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบว่าได้ใช้เคหะเป็นที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่
ถ้าหากในเวลาถึงกำหนดชำระเงินกินเปล่างวดที่ 3 การเช่ามิได้ตกอยู่ในควบคุมแห่ง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน (ฉบับที่ 2) 2488 และจำเลยกระทำผิดสัญญาจนโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว จำเลยก็ไม่อยู่ในฐานะผู้เช่าต่อไป ดังนี้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน พ.ศ. 2489 ซึ่งออกมาภายหลังย่อมไม่มีผลย้อนหลังไปใช้บังคับแก่กรณีระหว่างโจทก์จำเลย ซึ่งไม่มีการเช่ากันนั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าเคหะ เพื่อการค้า และผิดสัญญาไม่ชำระเงินกินเปล่า จำเลยให้การรับว่า ได้ทำสัญญากับโจท์จริง แต่ต่อสู้ว่ามิได้ผิดสัญญาในเรื่องชำระเงินกินเปล่า ดังนี้ จำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบว่าได้ใช้เคหะเป็นที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าเคหะเพื่อการค้าและการควบคุมค่าเช่า: การพิจารณาว่าการเช่าอยู่ภายใต้บังคับกฎหมายควบคุมค่าเช่าหรือไม่
ในสัญญาเช่าเคหะ จำเลยจะต้องชำระเงินค่ากินเปล่างวดที่ 3 ใน วันที่ 1 สิงหาคม 2488 ซึ่งเป็นเวลาที่ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน (ฉบับที่ 2)2488 ใช้บังคับอยู่ ต้องพิจารณาว่า จำเลยได้ใช้เคหะเป็นที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่หรือไม่ หากจำเลยมิได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน (ฉบับที่2)2488ก็มิควบคุมถึง
ถ้าหากในเวลาถึงกำหนดชำระเงินกินเปล่างวดที่ 3 การเช่ามิได้ตกอยู่ในควบคุมแห่ง พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน (ฉบับที่ 2)2488และจำเลยกระทำผิดสัญญาจนโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว จำเลยก็ไม่อยู่ในฐานะผู้เช่าต่อไป ดังนี้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน พ.ศ.2489 ซึ่งออกมาภายหลังย่อมไม่มีผลย้อนหลังไปใช้บังคับแก่กรณีระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งไม่มีการเช่ากันนั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาเช่าเคหะ เพื่อการค้าและผิดสัญญาไม่ชำระเงินกินเปล่า จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญากับโจทก์จริง แต่ต่อสู้ว่ามิได้ผิดสัญญาในเรื่องชำระเงินกินเปล่า ดังนี้จำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบว่าได้ใช้เคหะเป็นที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่
ถ้าหากในเวลาถึงกำหนดชำระเงินกินเปล่างวดที่ 3 การเช่ามิได้ตกอยู่ในควบคุมแห่ง พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน (ฉบับที่ 2)2488และจำเลยกระทำผิดสัญญาจนโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว จำเลยก็ไม่อยู่ในฐานะผู้เช่าต่อไป ดังนี้ พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน พ.ศ.2489 ซึ่งออกมาภายหลังย่อมไม่มีผลย้อนหลังไปใช้บังคับแก่กรณีระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งไม่มีการเช่ากันนั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาเช่าเคหะ เพื่อการค้าและผิดสัญญาไม่ชำระเงินกินเปล่า จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญากับโจทก์จริง แต่ต่อสู้ว่ามิได้ผิดสัญญาในเรื่องชำระเงินกินเปล่า ดังนี้จำเลยไม่มีประเด็นที่จะนำสืบว่าได้ใช้เคหะเป็นที่อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 341/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงื่อนไขสัญญาซื้อขายที่ดิน: การบอกเลิกสัญญาเมื่อผู้ขายแพ้คดีขับไล่ผู้เช่า
สัญญาจะซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มีข้อหนึ่งว่า'ผู้ซื้อกับผู้ขายตกลงจะโอนซื้อขายกันเด็ดขาด ณ หอทะเบียนที่ดิน ในเมื่อผู้ขายได้ฟ้องขับไล่นางเลื่อนผู้เช่าจนคดีถึงที่สุด' ดังนี้ โจทก์ก็ย่อมสืบอธิบายสัญญาได้ว่าที่มีข้อความเช่นนี้ ก็เพราะผู้ซื้อประสงค์จะเข้าอยู่เองฉะนั้นถ้าผู้ขายฟ้องขับไล่ผู้เช่าคดีถึงที่สุดแล้ว แต่ผู้ขายเป็นฝ่ายแพ้คดีผู้เช่าก็คงยังได้อยู่ในที่ดินบ้านเรือนนี้ได้ต่อไป ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและขอรับเงินมัดจำในการซื้อขายคืนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2490 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่า: สิทธิของผู้เช่าเมื่อเจ้าของบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนด
ทำหนังสือสัญญาเช่าสวนกัน 3 ปี นับแต่วันที่ระบุไว้ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 10 เดือนข้างหน้า ดังนี้ เมื่อก่อนถึงกำหนดวันดังระบุไว้ ผู้ให้เช่าไม่มีสิทธิ์บอกเลิกสัญญา ถ้าผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาก่อนถึงกำหนดวันเช่าที่ระบุไว้ ผู้เช่าฟ้องเรียกค่าเสียหายได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2490
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่า: สิทธิของผู้เช่าเมื่อถูกบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนด
ทำหนังสือสัญญาเช่าสวนกัน 3 ปี นับแต่วันที่ระบุไว้ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 10 เดือนข้างหน้า ดังนี้ เมื่อก่อนถึงกำหนดวันดังระบุไว้ ผู้ให้เช่าไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา ถ้าผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาก่อนถึงกำหนดวันเช่าที่ระบุไว้ ผู้เช่าฟ้องเรียกค่าเสียหายได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 874/2490 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน การเพิกถอนการโอน และค่าเสียหายที่เพิ่มขึ้น
ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันไว้แล้ว ต่อมาตกลงกันให้ผู้อื่นเป็นผู้ซื้อดังนี้ถือว่าเลิกสัญญาเดิม และเกิดสัญญาขึ้นใหม่ตามที่ตกลงกันนั้น
ปรากฎว่าเจ้าพนักงานที่ดินไม่ทำการโอนที่ดินให้ อีกฝ่ายหนึ่งยังร้องเรียนต่อไปเพื่อทำการโอนดังนี้ยังไม่ถือว่าการชำระหนี้เป็นการพ้นวิสัยอันจะทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นตาม มาตรา 219
ในเรื่องฟ้องขอให้บังคับผู้ขายทำการโอนที่ดินและปรากฎว่าผู้ขายโอนให้แก่ผู้อื่นแล้วนั้น ถ้าหากว่าเพิกถอนการโอนนั้นได้ ก็ถือว่าสภาพแห่งหนี้เปิดช่องให้บังคับตามมาตรา 213 ถ้าเพิกถอนไม่ได้สภาพแห่งหนี้ก็ไม่เปิดช่องในบังคับตามาตรา 213
ตาม ม. 1336 และรัฐธรรมนูญ นั้น เจ้าของย่อมมีสิทธิจำหน่ายทรัพย์สินของตน เว้นแต่จะมีกฎหมายห้าม
เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจที่จะไม่ยอมทำการโอนที่ดินตามสัญญาซื้อขายในเมื่อเขาร้องขอทำการโอน ตามความพอใจของตน นอกจากเป็นการไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน ม. 41(ข)
ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินไว้กับตน แล้วเอาไปโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 - 3 ดังนี้ ไม่ถือว่า เป็นการฟ้องว่าจำเลยโอนกันโดยการฉ้อฉล เป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบตาม ม. 237
ผู้ที่ฟ้องขอให้เพิกถอนตาม ม. 1300 จะต้องแสดงว่าตนอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ตามมาตรานี้ เพียงแต่ได้ความว่า ได้ทำสัญญาจะซื้อขายและวางมัดจำไว้ ไม่เรียกว่าอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ตกมาตรา 1300
เอาที่ดินซึ่งทำสัญญาจะซื้อขายให้คนหนึ่งไปโอนให้อีกคนหนึ่ง ผู้โอนย่อมได้ชื่อว่าผิดสัญญาต่อผู้ซื้อคนแรก ซึ่งจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายฐานผิดสัญญา
รับโอนที่ดินซึ่งผู้ขายทำสัญญาจะขายกับเขาไว้แล้ว แล้วผิดสัญญากับเขามาโอนให้แก่ตน ถ้าหากผู้ซื้อคนแรกฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนไม่ได้แล้ว ผู้ซื้อคนหลังไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของผู้ซื้อคนแรก
ทำสัญญาขายที่ดินกับเขาไว้แล้วผิดสัญญาไปโอนขายให้ผู้อื่น ศาลบังคับให้ผู้ขายใช้ค่าเสียหายได้เท่าจำนวนเงินที่ไปขายได้เงินสูงขึ้น
ปรากฎว่าเจ้าพนักงานที่ดินไม่ทำการโอนที่ดินให้ อีกฝ่ายหนึ่งยังร้องเรียนต่อไปเพื่อทำการโอนดังนี้ยังไม่ถือว่าการชำระหนี้เป็นการพ้นวิสัยอันจะทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นตาม มาตรา 219
ในเรื่องฟ้องขอให้บังคับผู้ขายทำการโอนที่ดินและปรากฎว่าผู้ขายโอนให้แก่ผู้อื่นแล้วนั้น ถ้าหากว่าเพิกถอนการโอนนั้นได้ ก็ถือว่าสภาพแห่งหนี้เปิดช่องให้บังคับตามมาตรา 213 ถ้าเพิกถอนไม่ได้สภาพแห่งหนี้ก็ไม่เปิดช่องในบังคับตามาตรา 213
ตาม ม. 1336 และรัฐธรรมนูญ นั้น เจ้าของย่อมมีสิทธิจำหน่ายทรัพย์สินของตน เว้นแต่จะมีกฎหมายห้าม
เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจที่จะไม่ยอมทำการโอนที่ดินตามสัญญาซื้อขายในเมื่อเขาร้องขอทำการโอน ตามความพอใจของตน นอกจากเป็นการไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน ม. 41(ข)
ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินไว้กับตน แล้วเอาไปโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 - 3 ดังนี้ ไม่ถือว่า เป็นการฟ้องว่าจำเลยโอนกันโดยการฉ้อฉล เป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบตาม ม. 237
ผู้ที่ฟ้องขอให้เพิกถอนตาม ม. 1300 จะต้องแสดงว่าตนอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ตามมาตรานี้ เพียงแต่ได้ความว่า ได้ทำสัญญาจะซื้อขายและวางมัดจำไว้ ไม่เรียกว่าอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ตกมาตรา 1300
เอาที่ดินซึ่งทำสัญญาจะซื้อขายให้คนหนึ่งไปโอนให้อีกคนหนึ่ง ผู้โอนย่อมได้ชื่อว่าผิดสัญญาต่อผู้ซื้อคนแรก ซึ่งจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายฐานผิดสัญญา
รับโอนที่ดินซึ่งผู้ขายทำสัญญาจะขายกับเขาไว้แล้ว แล้วผิดสัญญากับเขามาโอนให้แก่ตน ถ้าหากผู้ซื้อคนแรกฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนไม่ได้แล้ว ผู้ซื้อคนหลังไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของผู้ซื้อคนแรก
ทำสัญญาขายที่ดินกับเขาไว้แล้วผิดสัญญาไปโอนขายให้ผู้อื่น ศาลบังคับให้ผู้ขายใช้ค่าเสียหายได้เท่าจำนวนเงินที่ไปขายได้เงินสูงขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 874/2490
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขาย, การผิดสัญญา, และการเพิกถอนการโอนที่ดิน: ศาลฎีกาวินิจฉัยสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันไว้แล้วต่อมาตกลงกันให้ผู้อื่นเป็นผู้ซื้อดังนี้ ถือว่าเลิกสัญญาเดิม และเกิดสัญญาขึ้นใหม่ตามที่ตกลงกันนั้น
ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินไม่ทำการโอนที่ดินให้ อีกฝ่ายหนึ่งยังร้องเรียนต่อไปเพื่อทำการโอน ดังนี้ ยังไม่ถือว่าการชำระหนี้เป็นการพ้นวิสัยอันจะทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นตาม มาตรา 219
ในเรื่องฟ้องขอให้บังคับผู้ขายทำการโอนที่ดินและปรากฏว่าผู้ขายโอนให้แก่ผู้อื่นแล้วนั้น ถ้าหากว่าเพิกถอนการโอนนั้นได้ ก็ถือว่าสภาพแห่งหนี้เปิดช่องให้บังคับตาม มาตรา 213 ถ้าเพิกถอนไม่ได้สภาพแห่งหนี้ก็ไม่เปิดช่องให้บังคับตาม มาตรา 213
ตามมาตรา 1336 และรัฐธรรมนูญนั้น เจ้าของย่อมมีสิทธิจำหน่ายทรัพย์สินของตน เว้นแต่จะมีกฎหมายห้าม
เจ้าพนักงานที่ดินไม่มีอำนาจที่จะไม่ยอมทำการโอนที่ดินตามสัญญาซื้อขายในเมื่อเขาร้องขอทำการโอนตามความพอใจของตนนอกจากเป็นการไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน มาตรา 41(ข)
ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินไว้กับตนแล้วเอาไปโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2-3 ดังนี้ไม่ถือว่า เป็นการฟ้องว่าจำเลยโอนกันโดยการฉ้อฉล เป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบตาม มาตรา 237
ผู้ที่ฟ้องขอให้เพิกถอนตาม มาตรา 1300 จะต้องแสดงว่าตนอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ตามมาตรานี้ เพียงแต่ได้ความว่า ได้ทำสัญญาจะซื้อขายและวางมัดจำไว้ ไม่เรียกว่าอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ตาม มาตรา 1300
เอาที่ดินซึ่งทำสัญญาจะซื้อขายให้คนหนึ่งไปโอนให้อีกคนหนึ่งผู้โอนย่อมได้ชื่อว่าผิดสัญญาต่อผู้ซื้อคนแรก ซึ่งจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายฐานผิดสัญญา
รับโอนที่ดินซึ่งผู้ขายทำสัญญาจะขายกับเขาไว้แล้ว แล้วผิดสัญญากับเขามาโอนให้แก่ตน ถ้าหากผู้ซื้อคนแรกฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนไม่ได้แล้ว ผู้ซื้อคนหลังไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของผู้ซื้อคนแรก
ทำสัญญาขายที่ดินกับเขาไว้แล้วผิดสัญญาไปโอนขายให้ผู้อื่นศาลบังคับให้ผู้ขายใช้ค่าเสียหายได้เท่าจำนวนเงินที่ไปขายได้เงินสูงขึ้น
ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินไม่ทำการโอนที่ดินให้ อีกฝ่ายหนึ่งยังร้องเรียนต่อไปเพื่อทำการโอน ดังนี้ ยังไม่ถือว่าการชำระหนี้เป็นการพ้นวิสัยอันจะทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นตาม มาตรา 219
ในเรื่องฟ้องขอให้บังคับผู้ขายทำการโอนที่ดินและปรากฏว่าผู้ขายโอนให้แก่ผู้อื่นแล้วนั้น ถ้าหากว่าเพิกถอนการโอนนั้นได้ ก็ถือว่าสภาพแห่งหนี้เปิดช่องให้บังคับตาม มาตรา 213 ถ้าเพิกถอนไม่ได้สภาพแห่งหนี้ก็ไม่เปิดช่องให้บังคับตาม มาตรา 213
ตามมาตรา 1336 และรัฐธรรมนูญนั้น เจ้าของย่อมมีสิทธิจำหน่ายทรัพย์สินของตน เว้นแต่จะมีกฎหมายห้าม
เจ้าพนักงานที่ดินไม่มีอำนาจที่จะไม่ยอมทำการโอนที่ดินตามสัญญาซื้อขายในเมื่อเขาร้องขอทำการโอนตามความพอใจของตนนอกจากเป็นการไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน มาตรา 41(ข)
ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินไว้กับตนแล้วเอาไปโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2-3 ดังนี้ไม่ถือว่า เป็นการฟ้องว่าจำเลยโอนกันโดยการฉ้อฉล เป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบตาม มาตรา 237
ผู้ที่ฟ้องขอให้เพิกถอนตาม มาตรา 1300 จะต้องแสดงว่าตนอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ตามมาตรานี้ เพียงแต่ได้ความว่า ได้ทำสัญญาจะซื้อขายและวางมัดจำไว้ ไม่เรียกว่าอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ตาม มาตรา 1300
เอาที่ดินซึ่งทำสัญญาจะซื้อขายให้คนหนึ่งไปโอนให้อีกคนหนึ่งผู้โอนย่อมได้ชื่อว่าผิดสัญญาต่อผู้ซื้อคนแรก ซึ่งจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายฐานผิดสัญญา
รับโอนที่ดินซึ่งผู้ขายทำสัญญาจะขายกับเขาไว้แล้ว แล้วผิดสัญญากับเขามาโอนให้แก่ตน ถ้าหากผู้ซื้อคนแรกฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนไม่ได้แล้ว ผู้ซื้อคนหลังไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของผู้ซื้อคนแรก
ทำสัญญาขายที่ดินกับเขาไว้แล้วผิดสัญญาไปโอนขายให้ผู้อื่นศาลบังคับให้ผู้ขายใช้ค่าเสียหายได้เท่าจำนวนเงินที่ไปขายได้เงินสูงขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 814/2490 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เลิกสัญญาสัญญาซื้อขายที่ดิน: สิทธิเรียกร้องเงินค่าที่ดินคืน
พฤตติการณ์ที่แสดงว่าคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญากันแล้วโจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยโอนที่ดิน ถ้าบังคับไม่ได้ก็ขอให้คืนเงินที่โจทก์ชำระไปแล้วกับค่าเสียหายอีกด้วยโดยอ้างว่าจำเลยกระทำผิดสัญญา ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์จำเลยได้ยินยอมเลิกสัญญากันแล้วดังนี้ ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระไว้แล้ว ตามมาตรา 319 ได้ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
สัญญาซื้อขายที่ดิน มีข้อตกลงว่าชำระราคาค่าที่ดินครบถ้วนแล้วจะไปทำโอนกันนั้น มีผลเป็นสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น.
สัญญาซื้อขายที่ดิน มีข้อตกลงว่าชำระราคาค่าที่ดินครบถ้วนแล้วจะไปทำโอนกันนั้น มีผลเป็นสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 814/2490
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาก่อนฟ้องคดี และสิทธิในการเรียกร้องเงินที่ชำระไปแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 319
พฤติการณ์ที่แสดงว่าคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญากันแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยโอนที่ดิน ถ้าบังคับไม่ได้ก็ขอให้คืนเงินที่โจทก์ชำระไปแล้วกับค่าเสียหายอีกด้วยโดยอ้างว่าจำเลยกระทำผิดสัญญา ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์จำเลยได้ยินยอมเลิกสัญญากันแล้วดังนี้ ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระไว้แล้วตามมาตรา 319 ได้ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
สัญญาซื้อขายที่ดิน มีข้อตกลงว่าชำระราคาค่าที่ดินครบถ้วนแล้วจะไปทำโอนกันนั้น มีผลเป็นสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยโอนที่ดิน ถ้าบังคับไม่ได้ก็ขอให้คืนเงินที่โจทก์ชำระไปแล้วกับค่าเสียหายอีกด้วยโดยอ้างว่าจำเลยกระทำผิดสัญญา ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์จำเลยได้ยินยอมเลิกสัญญากันแล้วดังนี้ ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ชำระไว้แล้วตามมาตรา 319 ได้ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
สัญญาซื้อขายที่ดิน มีข้อตกลงว่าชำระราคาค่าที่ดินครบถ้วนแล้วจะไปทำโอนกันนั้น มีผลเป็นสัญญาจะซื้อขายเท่านั้น