พบผลลัพธ์ทั้งหมด 17 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2440/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่นำพยานหลักฐานตามคำสั่งเจ้าพนักงานประเมิน ทำให้หมดสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ต่อศาล
โจทก์ผู้อุทธรณ์ในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่นำพยานซึ่งมีความหมายถึงพยานหลักฐานอันควรแก่เรื่องมาแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมินตามคำสั่ง ดั่งที่บัญญัติไว้ในมาตรา 32 แห่งประมวลรัษฎากรโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรโจทก์จึงหมดสิทธิที่จะอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลตามมาตรา 30 (2), 33 แห่งประมวลรัษฎากร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1050/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์รายจ่ายเพื่อหักลดหย่อนภาษี: หลักฐานการรับเงินสำคัญกว่าลายมือชื่อ
การพิสูจน์รายจ่ายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (18) นั้น เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องวินิจฉัยตามพยานหลักฐานในสำนวนว่า ผู้จ่ายพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้รับเงิน
โจทก์เป็นบริษัทประกอบกิจการรับซื้อข้าวในประเทศส่งไปขายต่างประเทศ รายจ่ายค่าซื้อข้าวจากพ่อค้าเร่ตามใบเสร็จรับเงิน จำนวน 1,506 ฉบับ เป็นเงิน 73 ล้านบาทเศษนั้น เมื่อโจทก์นำสืบฟังได้ว่าพ่อค้าเร่ขายข้าวมีอยู่จริง และโจทก์นำพยานจำนวนถึง 45 ปาก มาเบิกความรับรองว่าเป็นผู้ลงลายมือชื่อในใบเสร็จรับเงิน ทั้งปรากฏว่า ปริมาณข้าวที่มีอยู่ที่บริษัทโจทก์ถูกต้อง ดังนี้ โจทก์พิสูจน์ได้ว่าใครเป็น ผู้รับเงินตามใบเสร็จรับเงินจำนวน 1,506 ฉบับ โจทก์จึงมีสิทธินำ จำนวนเงินตามใบเสร็จรับเงินดังกล่าวมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณ กำไรสุทธิได้
โจทก์เป็นบริษัทประกอบกิจการรับซื้อข้าวในประเทศส่งไปขายต่างประเทศ รายจ่ายค่าซื้อข้าวจากพ่อค้าเร่ตามใบเสร็จรับเงิน จำนวน 1,506 ฉบับ เป็นเงิน 73 ล้านบาทเศษนั้น เมื่อโจทก์นำสืบฟังได้ว่าพ่อค้าเร่ขายข้าวมีอยู่จริง และโจทก์นำพยานจำนวนถึง 45 ปาก มาเบิกความรับรองว่าเป็นผู้ลงลายมือชื่อในใบเสร็จรับเงิน ทั้งปรากฏว่า ปริมาณข้าวที่มีอยู่ที่บริษัทโจทก์ถูกต้อง ดังนี้ โจทก์พิสูจน์ได้ว่าใครเป็น ผู้รับเงินตามใบเสร็จรับเงินจำนวน 1,506 ฉบับ โจทก์จึงมีสิทธินำ จำนวนเงินตามใบเสร็จรับเงินดังกล่าวมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณ กำไรสุทธิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3137/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักลดหย่อนรายจ่ายที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายภาษีอากร และเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี
จำนวนเงินที่โจทก์ตัดเป็นรายจ่ายในการจัดตั้งบริษัทโจทก์ฟังไม่ได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งบริษัทดังโจทก์อ้าง ถือว่าเป็นรายจ่ายที่โจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(18)
โจทก์นำค่าเช่าปี 2508 และ 2509 มาลงจ่ายในปี 2510เมื่อปรากฏว่าโจทก์สามารถลงจ่ายในปีนั้นๆ ได้ มิใช่เพิ่งพบในปี 2510 ว่ายังมิได้จ่าย รายจ่ายค่าเช่าดังกล่าวจึงเป็นรายจ่ายซึ่งควรจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีอื่น และมิใช่กรณีที่ผู้จ่ายไม่สามารถจะลงจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีอื่นได้ ต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิปี 2510 ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(9)
โจทก์ขายทรัพย์สินไปแล้วจ่ายเงินให้บริษัท ซ. ไปจำนวนหนึ่ง การจ่ายนี้เพื่อให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลน้อยลง มิใช่เป็นค่าทรัพย์สินของบริษัท ซ. ดังโจทก์นำสืบ รายจ่ายดังกล่าวจึงเป็นรายจ่ายเกี่ยวกับการขายทรัพย์สินในส่วนที่เกินปกติโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(15)
โจทก์ตัดหนี้สูญโดยมิได้ฟ้องร้องหรือตั้งอนุญาตโตตุลาการตามข้อเสนอของลูกหนี้ ทั้งส่อแสดงว่าเป็นการสมยอมกันลดกำไรสุทธิของโจทก์เพื่อให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลน้อยลง ถือว่าโจทก์ยังมิได้ปฏิบัติการโดยสมควร เพื่อให้ได้รับชำระหนี้ก่อนการตัดหนี้สูญดังกล่าวจึงไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ทวิ(9) โจทก์จึงนำหนี้สูญนั้นมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิมิได้
โจทก์ได้ตัดบัญชีทรัพย์สินถังสองใบออกไปและถือราคาถังสองใบนั้นเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิด้วยแล้ว เมื่อความจริงโจทก์ยังมิได้ขายถังสองใบไป การตัดบัญชีถังสองใบย่อมมีผลทำให้การคำนวณกำไรสุทธิลดลงตามราคาถังสองใบนั้น จึงต้องห้ามมิให้ถือราคาถังนั้นเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(17)
โจทก์นำรายการที่ต้องห้ามมิให้หักเป็นรายจ่ายมาหักเป็นรายจ่ายหลายรายการเป็นเงินจำนวนมาก บางรายการโจทก์อ้างข้อเท็จจริงที่ฝ่าฝืนความจริงขึ้นโต้แย้ง มิใช่เพียงตีความกฎหมายไม่ตรงกับเจ้าพนักงานประเมิน พฤติการณ์ส่อแสดงว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จึงไม่มีเหตุงดเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 22
โจทก์นำค่าเช่าปี 2508 และ 2509 มาลงจ่ายในปี 2510เมื่อปรากฏว่าโจทก์สามารถลงจ่ายในปีนั้นๆ ได้ มิใช่เพิ่งพบในปี 2510 ว่ายังมิได้จ่าย รายจ่ายค่าเช่าดังกล่าวจึงเป็นรายจ่ายซึ่งควรจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีอื่น และมิใช่กรณีที่ผู้จ่ายไม่สามารถจะลงจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีอื่นได้ ต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิปี 2510 ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(9)
โจทก์ขายทรัพย์สินไปแล้วจ่ายเงินให้บริษัท ซ. ไปจำนวนหนึ่ง การจ่ายนี้เพื่อให้โจทก์เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลน้อยลง มิใช่เป็นค่าทรัพย์สินของบริษัท ซ. ดังโจทก์นำสืบ รายจ่ายดังกล่าวจึงเป็นรายจ่ายเกี่ยวกับการขายทรัพย์สินในส่วนที่เกินปกติโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรต้องห้ามมิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(15)
โจทก์ตัดหนี้สูญโดยมิได้ฟ้องร้องหรือตั้งอนุญาตโตตุลาการตามข้อเสนอของลูกหนี้ ทั้งส่อแสดงว่าเป็นการสมยอมกันลดกำไรสุทธิของโจทก์เพื่อให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลน้อยลง ถือว่าโจทก์ยังมิได้ปฏิบัติการโดยสมควร เพื่อให้ได้รับชำระหนี้ก่อนการตัดหนี้สูญดังกล่าวจึงไม่เป็นไปตามเงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา 65 ทวิ(9) โจทก์จึงนำหนี้สูญนั้นมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิมิได้
โจทก์ได้ตัดบัญชีทรัพย์สินถังสองใบออกไปและถือราคาถังสองใบนั้นเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิด้วยแล้ว เมื่อความจริงโจทก์ยังมิได้ขายถังสองใบไป การตัดบัญชีถังสองใบย่อมมีผลทำให้การคำนวณกำไรสุทธิลดลงตามราคาถังสองใบนั้น จึงต้องห้ามมิให้ถือราคาถังนั้นเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี(17)
โจทก์นำรายการที่ต้องห้ามมิให้หักเป็นรายจ่ายมาหักเป็นรายจ่ายหลายรายการเป็นเงินจำนวนมาก บางรายการโจทก์อ้างข้อเท็จจริงที่ฝ่าฝืนความจริงขึ้นโต้แย้ง มิใช่เพียงตีความกฎหมายไม่ตรงกับเจ้าพนักงานประเมิน พฤติการณ์ส่อแสดงว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จึงไม่มีเหตุงดเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 22
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ทำให้หมดสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยภาษี
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ออกหมายเรียกโจทก์ผู้อุทธรณ์มาไต่สวนได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 32
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวนโจทก์รับหมายเรียกแล้วไม่ไปชี้แจงและรับการไต่สวนโดยไม่มีเหตุสมควร โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาล ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2),33
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวนโจทก์รับหมายเรียกแล้วไม่ไปชี้แจงและรับการไต่สวนโดยไม่มีเหตุสมควร โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาล ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2),33
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกไต่สวนของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ทำให้หมดสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อศาล
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ออกหมายเรียกโจทก์ผู้อุทธรณ์มาไต่สวนได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 32
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวน โจทก์รับหมายเรียกแล้วไม่ไปชี้แจงและรับการไต่สวนโดยไม่มีเหตุสมควร โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาล ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 (2), 33
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ออกหมายเรียกโจทก์มาไต่สวน โจทก์รับหมายเรียกแล้วไม่ไปชี้แจงและรับการไต่สวนโดยไม่มีเหตุสมควร โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาล ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 (2), 33