คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 232

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 105 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3215-3218/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องเรียกคืนภาษีการค้า: การชำระภาษีโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ไม่ถือเป็นการรับชำระหนี้โดยไม่มีมูล อายุความ 10 ปี
กรมสรรพากรจำเลยที่ 5 ฎีกาและยื่นคำร้องว่า กำลังดำเนินการโอนเงินมาเพื่อวางศาลเป็นค่าฤชาธรรมเนียม ขอผัดการวางเงินประมาณ 1 เดือนดังนี้ เป็นการขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมมีกำหนดแน่นอนเท่าที่จะทำได้ ต่อมาจำเลยที่ 5 นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลภายใน 1 เดือนตามที่ขอผัดไว้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตตามคำร้องและสั่งรับฎีกาจำเลยที่ 5 จึงชอบแล้ว
โจทก์ชำระเงินค่าภาษีอากรตามที่ฝ่ายจำเลยเรียกเก็บโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย จำเลยจะอ้างว่าโจทก์กระทำตามอำเภอใจเพื่อชำระหนี้โดยตนรู้ว่าไม่มีความผูกพันที่ต้องชำระอันเป็นลาภมิควรได้ซึ่งมีอายุความ 1 ปีหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกคืนได้ภายในอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3097/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งแก้ไขข้อผิดพลาดในอุทธรณ์ ทำให้ศาลไม่รับอุทธรณ์ และการอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ต้องทำภายในกำหนด
ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์โจทก์ และสั่งให้แก้ไขข้อผิดพลาดภายใน 7 วัน แต่โจทก์ไม่ดำเนินการภายในกำหนด จึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์โจทก์ เป็นคำสั่งปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ตามป.วิ.พ. มาตรา 232 ผู้อุทธรณ์จะต้องอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์ภายในกำหนด 10 วัน ตามมาตรา 234.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 681/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลเมื่อรับอุทธรณ์: การร้องต่อศาลอุทธรณ์โดยตรงและการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้คู่ความ
เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้สำเนาอุทธรณ์แก่โจทก์ กระบวนพิจารณาต่อจากนั้นย่อมถือว่าเป็นกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์โดยศาลชั้นต้นทำแทนฉะนั้น เมื่อคู่ความไม่พอใจคำสั่งศาลชั้นต้น ที่สั่งในฐานะดำเนินการแทนศาลอุทธรณ์ ก็ชอบที่จะร้องต่อศาลอุทธรณ์ หรือรอจนกว่าศาลชั้นต้นจะส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์แล้วไปร้องต่อศาลอุทธรณ์ก็ได้ หากศาลอุทธรณ์ไม่พอใจคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะสั่งใหม่ได้ตามอำนาจศาลอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์สั่งว่ากรณีดังกล่าวจะยื่นคำร้องโดยตรงไปยังศาลอุทธรณ์ไม่ได้ จึงมิชอบ โจทก์เป็นคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการที่จำเลยร้องคัดค้านผู้พิพากษาโดยตรง ศาลชอบที่จะมีคำสั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์แก่โจทก์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง และผลของการที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งรับอุทธรณ์
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์เพราะเห็นว่าเป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เป็นคำสั่งปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 232 จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวถึงแม้จะไม่ได้ยื่นภายในกำหนด 10 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นที่สุดตามมาตรา 236 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับอุทธรณ์ข้อเท็จจริง แม้จะเกินกำหนด แต่ศาลอุทธรณ์รับฟัง ศาลฎีกายกฎีกา
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์เพราะเห็นว่าเป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224เป็นคำสั่งปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา232จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวถึงแม้จะไม่ได้ยื่นภายในกำหนด10วันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา234ก็ตามแต่เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นที่สุดตามมาตรา236แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1707/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระค่าธรรมเนียมอุทธรณ์หลังกำหนดเวลา ศาลไม่รับฟ้องอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยหากจำเลยยังติดใจอุทธรณ์ให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน 15 วัน จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ และขอให้ศาลสั่งรอการนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระจนกว่าจะได้ไต่สวนคำร้องใหม่แล้ว ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง และกำหนดเวลาให้นำค่าธรรมเนียมมาชำระภายใน 7 วัน จำเลยอุทธรณ์ฎีกาต่อมา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน ดังนี้ เป็นการพิพากษายืนที่ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ให้พิจารณาคำขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่เท่านั้นมิใช่เห็นพ้องหรือเห็นชอบตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่กำหนดเวลาให้วางเงินค่าธรรมเนียม เพราะกำหนดเวลาให้ชำระเงินค่าธรรมเนียมเป็นอำนาจทั่วไปของศาลแต่ละชั้นศาล เมื่อศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษาโดยมิได้กำหนดเวลาชำระค่าธรรมเนียมให้ใหม่ การที่จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระเมื่อพ้นเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ ย่อมถือว่ามิได้ยื่นอุทธรณ์ให้ถูกต้องตามกฎหมายภายในกำหนดเวลา ไม่เป็นอุทธรณ์ที่จะรับไว้พิจารณา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 260/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่รับอุทธรณ์เนื่องจากทนายความไม่ได้รับอนุญาต และผลของการไม่แก้ไขอุทธรณ์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยโดยเหตุที่ว่าผู้ลงชื่อในอุทธรณ์ศาลมิได้อนุญาตให้เป็นทนายความของจำเลยนั้น เป็นการสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 232 เมื่อจำเลยมิได้ทำอุทธรณ์ให้ถูกต้องและมายื่นใหม่ภายในอายุอุทธรณ์แต่กลับร้องขอแก้ไขความบกพร่องในอุทธรณ์ที่ศาลไม่รับเสียแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นไม่อนุญาตจำเลยจึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ตามมาตรา 234 และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นแล้ว ดังนี้ คำสั่งศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 236 แม้ฎีกาของจำเลยจะมีข้อความคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ไม่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขความบกพร่องก็ดี แต่ผลที่สุดก็ขอให้สั่งอนุญาตให้จำเลยลงชื่อในอุทธรณ์ที่ศาลชั้นต้นไม่รับแล้วเท่ากับฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นนั้นเองจำเลยจะฎีกาหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2524/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการกำหนดเวลาส่งเอกสารฎีกา และขอบเขตการใช้มาตรา 174(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ส่งสำเนาคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาของโจทก์ให้จำเลยและนัดพร้อม เป็นคำสั่งก่อนรับฎีกาของโจทก์ ไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(1) เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยังมิได้นำส่ง ศาลชั้นต้นมีอำนาจกำหนดเวลา ให้นำส่งได้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(1)หมายความเฉพาะการที่โจทก์เพิกเฉยไม่ร้องขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อให้ส่งหมายเรียกให้แก้คดีแก่จำเลยในการดำเนินกระบวนพิจารณา ในศาลชั้นต้นเท่านั้น จะนำมาใช้ในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะในชั้นฎีกา ไม่มีการออกหมายเรียกให้จำเลยแก้คดี ดังที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2524/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งสำเนาฎีกาและการดำเนินการตามฐานะคนอนาถาในชั้นฎีกา ศาลมีอำนาจสั่งกำหนดเวลาให้โจทก์ดำเนินการได้
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ส่งสำเนาคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถาของโจทก์ให้จำเลยและนัดพร้อม เป็นคำสั่งก่อนรับฎีกาของโจทก์ ไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(1) เมื่อปรากฏว่าโจทก์ยังมิได้นำส่งศาลชั้นต้นมีอำนาจกำหนดเวลา ให้นำส่งได้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(1)หมายความเฉพาะการที่โจทก์เพิกเฉยไม่ร้องขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อให้ส่งหมายเรียกให้แก้คดีแก่จำเลยในการดำเนินกระบวนพิจารณา ในศาลชั้นต้นเท่านั้น จะนำมาใช้ในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะในชั้นฎีกา ไม่มีการออกหมายเรียกให้จำเลยแก้คดี ดังที่บัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1722/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากสัญญาซื้อขาย/เช่า และค่าเสียหายจากการผิดสัญญา โดยจำเลยต้องรับผิดเฉพาะการผิดสัญญาของตนเอง
จำเลยทำสัญญาซื้อที่ดินและตึกจาก ส. โดยโจทก์มิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องด้วย และจำเลยไม่เคยบอกให้โจทก์ทราบ โจทก์จึงไม่อาจคาดเห็น หรือควรจะได้คาดเห็นล่วงหน้าว่าจำเลยจะเอาเงินค่าตอบแทนการโอนสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาท ที่โจทก์จะต้องชำระให้จำเลยไปชำระให้ ส. เมื่อจำเลยถูก ส. ริบมัดจำ เพราะผิดสัญญากับ ส.เอง ไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์ และไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงจากการผิดสัญญาของโจทก์ ดังนี้ โจทก์ไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยเพราะไม่ใช่ค่าเสียหายซึ่งตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ตามมาตรา 222 และไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายตามมาตรา 215 ทั้งไม่ใช่ค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษตาม มาตรา 222 วรรคท้ายด้วย
โจทก์เสียค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ไม่ครบ เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะต้องเรียกเพิ่มเติมเสียให้ถูกต้องต่อไปไม่ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งพิพากษาไปแล้วสิ้นผลแต่ประการใด
of 11