พบผลลัพธ์ทั้งหมด 287 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1235/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา: ศาลมีอำนาจพิจารณาความยากจนของผู้ขอได้ แม้เคยมีทรัพย์สิน
จำเลยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยสามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ มิได้ยากจนจริง ยกคำร้อง จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น แต่ยื่นคำร้องขออนุญาตให้จำเลยนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าเป็นคนยากจนปรากฏว่าคำร้องดังกล่าวมิได้กล่าวอ้างว่าพยานหลักฐานที่จะแสดงเพิ่มเติมนั้นเหตุใดจึงมิได้ระบุหรืออ้างไว้ในการไต่สวนครั้งแรกและพยานหลักฐานที่จะแสดงเพิ่มเติมมีความสำคัญที่จะหักล้างข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังไว้อย่างไร เพียงแต่แนบบัญชีระบุพยานซึ่งระบุรายชื่อพยานบุคคลซึ่งส่วนใหญ่ได้อ้างไว้ในการไต่สวนครั้งแรกและอ้างเพิ่มบางคนเท่านั้น ดังนี้ ทำให้เห็นว่าจำเลยไม่น่าจะมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมพอที่จะแสดงว่าฐานะของจำเลยแตกต่างไปจากที่เคยวินิจฉัยไว้แล้ว ศาลชอบที่จะยกคำร้องของจำเลยเสียได้ โดยไม่ต้องไต่สวนคำร้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งคดีโดยคนอนาถาต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการสาบานตัวตามกฎหมาย หากไม่ปฏิบัติตาม กระบวนการพิจารณาคดีเป็นโมฆะ
จำเลยยื่นคำร้องขอฟ้องแย้งอย่างคนอนาถา โดยไม่ได้สาบานตัวเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การ เป็นไปด้วยความยุติธรรม กระบวนพิจารณานับแต่ยื่นคำร้องไม่ว่า จะดำเนินโดยศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์ ตลอดจนคำสั่งในเรื่องนี้ เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามไปด้วย ศาลฎีกา ให้ศาลชั้นต้น ดำเนินการเสียใหม่ให้ถูกต้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินการฟ้องแย้งอย่างคนอนาถาต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการสาบานตัวตามกฎหมาย หากไม่ปฏิบัติตาม กระบวนการพิจารณาเป็นโมฆะ
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอฟ้องแย้งอย่างคนอนาถา แต่จำเลยทั้งสองไม่ได้สาบานตัวให้คำชี้แจงว่าตนไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล เป็นเรื่องที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 บัญญัติไว้ ดังนั้น กระบวนพิจารณาที่ศาลได้ดำเนินมาในเรื่องการขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถานับแต่ยื่นคำร้องไม่ว่าจะดำเนินโดยศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ตลอดจนคำสั่งในเรื่องนี้ย่อมเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามไปด้วย ศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) ประกอบด้วยมาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมศาล และผลกระทบต่อสิทธิในการอุทธรณ์และฎีกา
จำเลยยื่นอุทธรณ์พร้อมกับคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องและสั่งให้จำเลยเสียค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ภายใน 15 วัน การที่จำเลยขอขยายระยะเวลาดังกล่าว เป็นการขอขยายระยะเวลาที่ศาลกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 ซึ่งจะต้องกระทำก่อนระยะเวลาดังกล่าวสิ้นสุดลง เว้นแต่ในกรณีมีเหตุสุดวิสัย จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยมิได้ชำระเงินค่าธรรมเนียมและนำค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการมิชอบและถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาตามมาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6349/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตดำเนินคดีอย่างคนอนาถา และอำนาจศาลในการกำหนดเวลาชำระค่าธรรมเนียม
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอฟ้องคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถา เมื่อได้ไต่สวนพยานหลักฐานที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 นำมาแสดงเพิ่มเติมแล้วนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 156 วรรคสี่ มิได้บัญญัติว่าให้เป็นที่สุด จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ได้ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามป.วิ.พ. มาตรา 156 วรรคห้า การขอขยายระยะเวลาชำระค่าธรรมเนียมนั้น แม้จะล่วงเลยกำหนดเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลตามคำสั่งศาลชั้นต้นมาแล้วก็ตามถ้าหากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แต่เฉพาะบางส่วน หรือมีคำสั่งให้ยกคำขอเสียทีเดียว ศาลอุทธรณ์มีอำนาจกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระได้เพราะเป็นอำนาจศาลทั่วไปที่มีอยู่ในการดำเนินการพิจารณา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6276/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการไต่สวนเหตุสุดวิสัย ศาลไม่ต้องไต่สวนหากไม่ได้อ้างเหตุสุดวิสัย
การที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาจะไม่มาศาลตามกำหนดนัดเพราะรถที่จำเลยที่ 1 ใช้เป็นพาหนะเดินทางมาศาลเกิดอุบัติเหตุอันเป็นเหตุสุดวิสัยมิอาจก้าวล่วงเสียได้ การที่ศาลว่าไม่มีเหตุสมควรจะไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1จึงไม่เห็นชอบด้วย เพราะตาม ป.วิ.พ.นั้น เหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลจะต้องไต่สวนและหากได้ความว่าจำเลยที่ 1 ไม่จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาคดีใหม่ ถือได้ว่าเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วว่า กรณีที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 นั้น มิใช่เพราะกรณีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยากจนแต่เป็นเพราะจำเลยที่ 1 ไม่มาตามกำหนดนัดอันเป็นการขาดนัดพิจารณา ซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องไต่สวนฟังข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า จำเลยที่ 1 ไม่จงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ หากเป็นความจริงก็ต้องดำเนินการพิจารณาคดีใหม่
ศาลชั้นต้นยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 โดยมิได้ระบุว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งมีฐานะเป็นโจทก์ตามฟ้องอุทธรณ์ขาดนัดพิจารณาและให้จำหน่ายคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 ออกเสียจากสารบบความ จึงมิใช่คำสั่งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 201แต่เป็นการสั่งสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ไม่มาศาลตามกำหนดนัด จึงเท่ากับศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยากจนตามคำร้องขอ เป็นการยกคำร้องขอตามมาตรา 156 วรรคสาม ซึ่งจำเลยที่ 1 มีสิทธิดำเนินการต่อไปได้แต่เฉพาะที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 156 วรรคสี่หรือวรรคห้าเท่านั้น หรือหากเห็นว่าคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประการใดก็ย่อมอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 223 ประกอบด้วยมาตรา 229 จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ไม่ ทั้งไม่ใช่กรณีขาดนัดตามมาตรา 202 ซึ่งจะขอพิจารณาคดีใหม่ได้ตามมาตรา 207 ประกอบมาตรา 209
ศาลชั้นต้นยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 โดยมิได้ระบุว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งมีฐานะเป็นโจทก์ตามฟ้องอุทธรณ์ขาดนัดพิจารณาและให้จำหน่ายคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 ออกเสียจากสารบบความ จึงมิใช่คำสั่งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 201แต่เป็นการสั่งสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ไม่มาศาลตามกำหนดนัด จึงเท่ากับศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยากจนตามคำร้องขอ เป็นการยกคำร้องขอตามมาตรา 156 วรรคสาม ซึ่งจำเลยที่ 1 มีสิทธิดำเนินการต่อไปได้แต่เฉพาะที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 156 วรรคสี่หรือวรรคห้าเท่านั้น หรือหากเห็นว่าคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประการใดก็ย่อมอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 223 ประกอบด้วยมาตรา 229 จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ไม่ ทั้งไม่ใช่กรณีขาดนัดตามมาตรา 202 ซึ่งจะขอพิจารณาคดีใหม่ได้ตามมาตรา 207 ประกอบมาตรา 209
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6276/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดี และการไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลต้องไต่สวนเหตุผลที่ไม่มาศาลก่อน
การที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาจะไม่มาศาลตามกำหนดนัดเพราะรถที่จำเลยที่ 1 ใช้เป็นพาหนะเดินทางมาศาลเกิดอุบัติเหตุอันเป็นเหตุสุดวิสัยมิอาจก้าวล่วงเสียได้ การที่ศาลว่าไม่มีเหตุสมควรจะไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่เห็นชอบด้วย เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น เหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลจะต้องไต่สวนและหากได้ความว่าจำเลยที่ 1ไม่จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาคดีใหม่ ถือได้ว่าเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วว่า กรณีที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 นั้น มิใช่เพราะกรณีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยากจนแต่เป็นเพราะจำเลยที่ 1ไม่มาตามกำหนดนัดอันเป็นการขาดนัดพิจารณา ซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องไต่สวนฟังข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า จำเลยที่ 1 ไม่จงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ หากเป็นความจริงก็ต้องดำเนินการพิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1โดยมิได้ระบุว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งมีฐานะเป็นโจทก์ตามฟ้องอุทธรณ์ขาดนัดพิจารณาและให้จำหน่ายคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 ออกเสียจากสารบบความ จึงมิใช่คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 แต่เป็นการสั่งสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ไม่มาศาลตามกำหนดนัด จึงเท่ากับศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยากจนตามคำร้องขอ เป็นการยกคำร้องขอตามมาตรา 156 วรรคสาม ซึ่งจำเลยที่ 1 มีสิทธิดำเนินการต่อไปได้แต่เฉพาะที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 156 วรรคสี่หรือวรรคห้าเท่านั้น หรือหากเห็นว่าคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประการใดก็ย่อมอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 223 ประกอบด้วยมาตรา 229 จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ไม่ ทั้งไม่ใช่กรณีขาดนัดตามมาตรา 202 ซึ่งจะขอพิจารณาคดีใหม่ได้ตามมาตรา 207 ประกอบมาตรา 209
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5585/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดจำเลยที่ไม่เดินทางทันเวลานัดศาล ทำให้ศาลยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาได้ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นเลื่อนการไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยไปตามคำร้องขอของจำเลย จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องคำนวณระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางและออกเดินทางเสียแต่เนิ่น ๆเพื่อให้ทันเวลานัดของศาล เมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้องไม่ปรากฏว่ารถยนต์โดยสารที่จำเลยเดินทางมานั้น ใช้เวลาเดินทางมากกว่าปกติเกินกว่าที่คาดคิดแต่อย่างใดจึงเห็นได้ว่าการที่จำเลยมาศาลไม่ทันเวลานัด เป็นเพราะความผิดของจำเลยที่ไม่ออกเดินทางมาก่อนหน้านั้น ดังนั้น แม้จะฟังเป็นความจริงดังที่จำเลยอ้างในคำร้องก็ไม่มีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นจะเพิกถอนคำสั่งที่ให้ยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยได้ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ทำการไต่สวนเสียก่อนจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5585/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดจำเลยไม่ออกเดินทางแต่เนิ่นๆ ทำให้ไม่ทันนัดไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชอบธรรมที่ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเลื่อนการไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยไปตามคำร้องขอของจำเลย จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องคำนวณระยะเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางและออกเดินทางเสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ทันเวลานัดของศาล เมื่อข้อเท็จจริงตามคำร้องไม่ปรากฏว่ารถยนต์โดยสารที่จำเลยเดินทางมานั้น ใช้เวลาเดินทางมากกว่าปกติเกินกว่าที่คาดคิดแต่อย่างใดจึงเห็นได้ว่าการที่จำเลยมาศาลไม่ทันเวลานัด เป็นเพราะความผิดของจำเลยที่ไม่ออกเดินทางมาก่อนหน้านั้น ดังนั้น แม้จะฟังเป็นความจริงดังที่จำเลยอ้างในคำร้อง ก็ไม่มีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นจะเพิกถอนคำสั่งที่ให้ยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยได้ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยโดยไม่ทำการไต่สวนเสียก่อนจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3722/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลเกี่ยวกับการดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ต้องอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกา หากเป็นคำสั่งในชั้นฎีกา
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคห้าในกรณีที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้แต่เฉพาะบางส่วนหรือมีคำสั่งให้ยกคำขอเสียทีเดียวถ้าเป็นการขอฟ้องหรือต่อสู้คดีในศาลชั้นต้น ผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ได้ภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันมีคำสั่ง ถ้าเป็นการขอฟ้องหรือต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาแล้วแต่กรณี คดีนี้โจทก์ขอฟ้องคดีในชั้นฎีกา เป็นเรื่องอยู่ในกระบวนพิจารณาของศาลฎีกา และในชั้นแรกศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์โดยเห็นว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ โจทก์ยื่นคำร้องอ้างว่าประสบอุบัติเหตุรถยนต์คว่ำมาศาลช้ากว่ากำหนดเพราะเหตุสุดวิสัย ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งและให้ไต่สวนพยานโจทก์ต่อไป เท่ากับโจทก์ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของตนใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ เมื่อศาลชั้นต้นสั่งว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้องแม้คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องเช่นนี้ไม่มีกฎหมายกำหนดว่าให้เป็นที่สุด แต่เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับไม่รับฎีกาของศาลชั้นต้น ซึ่งทำแทนศาลฎีกาเป็นอำนาจของศาลฎีกาโดยเฉพาะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคห้า โจทก์จึงชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังศาลฎีกา ที่โจทก์กลับอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์เป็นการไม่ถูกต้อง ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว.