พบผลลัพธ์ทั้งหมด 718 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1747/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาลฟ้องคดีสัญญาประกันภัย: สถานที่เกิดเหตุเป็นเกณฑ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้รับประกันภัยรถยนต์โดยสารประจำทางหมายเลขทะเบียน 10 - 2549 ขอนแก่น จากโจทก์ โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยจะชดใช้และให้ความคุ้มครองจากการประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวแก่โจทก์ต่อมารถยนต์คันดังกล่าวไปเกิดอุบัติเหตุชนรถจักรยานยนต์ที่จังหวัดขอนแก่น ทำให้ฝ่ายรถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝ่ายรถจักรยานยนต์ แล้วเรียกให้จำเลยชำระเงินตามจำนวนที่โจทก์ได้ชดใช้ไป แต่จำเลยไม่ชำระให้ จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์เมื่อปรากฏว่ารถยนต์ที่โจทก์เอาประกันภัยไว้อยู่ที่จังหวัดขอนแก่น จำเลยมีตัวแทนและสาขาสำนักงานอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น ดังนี้ แสดงว่ามูลเหตุที่ทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยใช้ค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลยเกิดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดขอนแก่น ถือได้ว่ามูลคดีจากการทำสัญญาประกันภัยรายนี้เกิดขึ้นในเขตอำนาจศาลจังหวัดขอนแก่นโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ที่ศาลจังหวัดขอนแก่นได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1747/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาลฟ้องคดีประกันภัย: มูลคดีเกิดขึ้นที่ใด?
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้รับประกันภัยรถยนต์โดยสารประจำทางหมายเลขทะเบียน10-2549ขอนแก่นจากโจทก์โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยจะต้องชดใช้และให้ความคุ้มครองจากการประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวแก่โจทก์ต่อมารถยนต์คันดังกล่าวไปเกิดอุบัติเหตุชนรถจักรยานยนต์ที่จังหวัดขอนแก่นทำให้ฝ่ายรถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหายโจทก์จึงได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝ่ายรถจักรยานยนต์แล้วเรียกให้จำเลยชำระเงินตามจำนวนที่โจทก์ได้ชดใช้ไปแต่จำเลยไม่ชำระให้จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์เมื่อปรากฏว่ารถยนต์ที่โจทก์เอาประกันภัยไว้อยู่ที่จังหวัดขอนแก่นจำเลยมีตัวแทนและสาขาสำนักงานอยู่ที่จังหวัดขอนแก่นดังนี้แสดงว่ามูลเหตุที่ทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยใช้ค่าเสียหายซึ่งเป็นค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยไว้กับจำเลยเกิดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่นซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดขอนแก่นถือได้ว่ามูลคดีจากการทำสัญญาประกันภัยรายนี้เกิดขึ้นในเขตอำนาจศาลจังหวัดขอนแก่นโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดขอนแก่นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1724/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รวมคดีปล้นทรัพย์หลายกรรม, โทษจำคุกรวมตาม ป.อ. มาตรา 91
คดีทั้งสามสำนวนนี้เกิดเหตุในคืนเดียวกัน โดยจำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ทั้งสามคดีติดต่อกัน และจำเลยทั้งสามก็ถูกจับในวันเดียวกันทั้งสามสำนวน คดีทั้งสามสำนวนจึงเกี่ยวพันกันพอที่จะฟ้องรวมกันหรือพิจารณาพิพากษารวมกันได้ แม้โจทก์จะแยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นสามสำนวนก็ตาม แต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน และศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปเช่นนี้โทษจำคุกที่ลงทุกกระทงเมื่อรวมทั้งสิ้นแล้วต้องไม่เกินกำหนดตาม ป.อ.มาตรา 91
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1724/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำคุกหลายกระทงต้องไม่เกิน 50 ปี แม้คดีเกี่ยวพันกัน ศาลต้องปรับแก้หมายจำคุกให้ถูกต้องตามกฎหมาย
คดีทั้งสามสำนวนนี้เกิดเหตุในคืนเดียวกัน โดยจำเลย ทั้งสามกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ทั้งสามคดีติดต่อกันและจำเลยทั้งสามก็ถูกจับในวันเดียวกันทั้งสามสำนวนคดีทั้งสามสำนวนจึงเกี่ยวพันกันพอที่จะฟ้องรวมกันหรือพิจารณาพิพากษารวมกันได้ แม้โจทก์จะแยกฟ้องจำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นสามสำนวนก็ตาม แต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน และศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปเช่นนี้โทษจำคุกที่ลงทุกกระทงเมื่อรวมทั้งสิ้นแล้วต้องไม่เกินกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1678/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเฉลี่ยทรัพย์: ศาลพิจารณาจากมูลค่าทรัพย์ที่ยึดและหนี้สิน เพื่อตัดสินสิทธิในการเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้อง
ผู้ร้องได้นำยึดที่ดินของจำเลยซึ่งติดจำนองก. เป็นประกันเงินกู้ที่จำเลยได้ขอกู้เพื่อซื้อที่ดินเป็นเงิน500,000บาทมียอดหนี้จำนองถึงวันที่30มิถุนายน2534เป็นเงิน410,000บาทและต่อมามียอดหนี้ค้างเมื่อวันที่2ธันวาคม2537เพียง247,000บาทเท่านั้นแสดงว่าราคาที่แท้จริงของที่ดินแปลงนี้น่าจะมากกว่า500,000บาทตามที่ได้จดทะเบียนจำนองกับก.ไว้และหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยต้องชำระให้ผู้ร้องนับถึงวันที่ศาลมีคำสั่งคำร้องของผู้ร้องคดีนี้คิดเป็นเงินประมาณ257,760บาทจึงยังถือไม่ได้ว่าทรัพย์ที่ผู้ร้องยึดไว้ไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษาแม้ทรัพย์ที่ยึดมีการร้องขัดทรัพย์แต่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของจำเลยที่1ทรัพย์ที่ยึดจึงยังเป็นของจำเลยที่1กรณีจึงยังไม่ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา290วรรคสองที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1678/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเฉลี่ยทรัพย์: ศาลพิจารณาความเพียงพอของทรัพย์สินจำเลยในการชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องได้นำยึดที่ดินของจำเลยซึ่งติดจำนอง ก. เป็นประกันเงินกู้ที่จำเลยได้ขอกู้เพื่อซื้อที่ดินเป็นเงิน 500,000 บาทมียอดหนี้จำนองถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2534 เป็นเงิน 410,000 บาทและต่อมามียอดหนี้ค้างเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2537 เพียง 247,000บาท เท่านั้น แสดงว่าราคาที่แท้จริงของที่ดินแปลงนี้น่าจะมากกว่า500,000 บาท ตามที่ได้จดทะเบียนจำนองกับ ก.ไว้ และหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยต้องชำระให้ผู้ร้องนับถึงวันที่ศาลมีคำสั่งคำร้องของผู้ร้องคดีนี้คิดเป็นเงินประมาณ 257,760 บาท จึงยังถือไม่ได้ว่าทรัพย์ที่ผู้ร้องยึดไว้ไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษาแม้ทรัพย์ที่ยึดมีการร้องขัดทรัพย์ แต่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 ทรัพย์ที่ยึดจึงยังเป็นของจำเลยที่ 1 กรณีจึงยังไม่ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 วรรคสอง ที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1678/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์ติดจำนอง: ศาลพิจารณาว่าทรัพย์ที่ยึดยังมีมูลค่าพอชำระหนี้ แม้มีการร้องขัดทรัพย์และยอดหนี้ลดลง
ผู้ร้องได้นำยึดที่ดินของจำเลยซึ่งติดจำนอง ก.เป็นประกันเงินกู้ที่จำเลยได้ขอกู้เพื่อซื้อที่ดินเป็นเงิน 500,000 บาท มียอดหนี้จำนองถึงวันที่ 30มิถุนายน 2534 เป็นเงิน 410,000 บาท และต่อมามียอดหนี้ค้างเมื่อวันที่ 2ธันวาคม 2537 เพียง 247,000 บาท เท่านั้น แสดงว่าราคาที่แท้จริงของที่ดินแปลงนี้น่าจะมากกว่า 500,000 บาท ตามที่ได้จดทะเบียนจำนองกับ ก.ไว้ และหนี้ตามคำพิพากษาที่จำเลยต้องชำระให้ผู้ร้องนับถึงวันที่ศาลมีคำสั่งคำร้องของผู้ร้องคดีนี้คิดเป็นเงินประมาณ 257,760 บาท จึงยังถือไม่ได้ว่าทรัพย์ที่ผู้ร้องยึดไว้ไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษา แม้ทรัพย์ที่ยึดมีการร้องขัดทรัพย์ แต่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 ทรัพย์ที่ยึดจึงยังเป็นของจำเลยที่ 1กรณีจึงยังไม่ต้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 290 วรรคสอง ที่ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของกองทุนป้องกันปราบปรามยาเสพติดเหนือทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และผลกระทบต่อการบังคับคดี
บัตรกำนัล มีดอกเบี้ย ที่พิพาทเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 16(4) และมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มีคำสั่งให้ยึดและอายัดไว้ และคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีความเห็นว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดยังต้องเก็บรักษาบัตรกำนัล ดังกล่าวไว้จนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามคำร้องของพนักงานอัยการที่ขอให้ศาลริบทรัพย์สินให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด แต่เมื่อคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด จึงยังไม่มีการริบ ดังนี้ แม้บัตรกำนัล ดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยอยู่ก็ตาม แต่ถ้าศาลสั่งริบบัตรกำนัลย่อมตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดการที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยขอให้ส่งบัตรกำนัลดังกล่าวต่อศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ย่อมเป็นการขัดสิทธิของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่มีอยู่เหนือบัตรกำนัล ดังกล่าวนี้ กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีสิทธิชนิดหนึ่งอันเข้าลักษณะเป็นสิทธิอื่น ๆ ตามมาตรา 287 โจทก์จะขอให้ยึดหรือส่งบัตรกำนัล ดังกล่าวเสียทีเดียวไม่ได้ได้แต่เพียงอายัดไว้ในกรณีที่บัตรกำนัลดังกล่าวจะต้องคืนแก่จำเลยเท่านั้นหากศาลในคดีอาญาสั่งไม่ริบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเหนือทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับคดียาเสพติด: ลำดับความสำคัญระหว่างเจ้าหนี้และกองทุนปราบปรามยาเสพติด
บัตรกำนัลมีดอกเบี้ยที่พิพาทเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 16 (4) และ มาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มีคำสั่งให้ยึดและอายัดไว้ และคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีความเห็นว่า สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดยังต้องเก็บรักษาบัตรกำนัลดังกล่าวไว้จนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามคำร้องของพนักงานอัยการที่ขอให้ศาลริบทรัพย์สินให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด แต่เมื่อคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด จึงยังไม่มีการริบ ดังนี้ แม้บัตรกำนัลดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยอยู่ก็ตาม แต่ถ้าศาลสั่งริบ บัตรกำนัลย่อมตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยขอให้ส่งบัตรกำนัลดังกล่าวต่อศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ย่อมเป็นการขัดสิทธิของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่มีอยู่เหนือบัตรกำนัลดังกล่าวนี้ กรณีต้องด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 287 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีสิทธิชนิดหนึ่งอันเข้าลักษณะเป็นสิทธิอื่น ๆ ตามมาตรา 287 โจทก์จะขอให้ยึดหรือส่งบัตรกำนัลดังกล่าวเสียทีเดียวไม่ได้ ได้แต่เพียงอายัดไว้ในกรณีที่บัตรกำนัลดังกล่าวจะต้องคืนแก่จำเลยเท่านั้นหากศาลในคดีอาญาสั่งไม่ริบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเหนือทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด: ลำดับความสำคัญระหว่างเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและกองทุนป้องกันปราบปรามยาเสพติด
บัตรกำนัลมีดอกเบี้ยที่พิพาทเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินได้อาศัยอำนาจตามมาตรา16(4)และมาตรา22แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดพ.ศ.2534มีคำสั่งให้ยึดและอายัดไว้และคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีความเห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดยังต้องเก็บรักษาบัตรกำนัลดังกล่าวไว้จนกว่าศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามคำร้องของพนักงานอัยการที่ขอให้ศาลริบทรัพย์สินให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแต่เมื่อคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุดจึงยังไม่มีการริบดังนี้แม้บัตรกำนัลดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยอยู่ก็ตามแต่ถ้าศาลสั่งริบบัตรกำนัลย่อมตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดการที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยขอให้ส่งบัตรกำนัลดังกล่าวต่อศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ย่อมเป็นการขัดสิทธิของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่มีอยู่เหนือบัตรกำนัลดังกล่าวนี้กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา287ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีสิทธิชนิดหนึ่งอันเข้าลักษณะเป็นสิทธิอื่นๆตามมาตรา287โจทก์จะขอให้ยึดหรือส่งบัตรกำนัลดังกล่าวเสียทีเดียวไม่ได้ได้แต่เพียงอายัดไว้ในกรณีที่บัตรกำนัลดังกล่าวจะต้องคืนแก่จำเลยเท่านั้นหากศาลในคดีอาญาสั่งไม่ริบ