คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วุฒิ คราวุฒิ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 718 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7290/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขึ้นทะเบียนโบราณสถาน: การแจ้งเจ้าของที่ดินไม่จำเป็นต้องเป็นลายลักษณ์อักษร การประชาสัมพันธ์ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย
พระราชบัญญัติโบราณสถานโบราณวัตถุศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพ.ศ.2504มาตรา7วรรคสองมีความมุ่งหมายเพียงให้อธิบดีกรมศิลปากรแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองโบราณสถานทราบถึงการขึ้นทะเบียนโบราณสถานเท่านั้นมิใช่เป็นการขออนุญาตดังนั้นเมื่อมีการประกาศกำหนดเขตที่ดินใดเป็นเขตโบราณสถานแล้วแม้กรมศิลปากรจำเลยไม่ได้แจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ผู้อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวทราบเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนประกาศก็ถือได้ว่าเป็นการประกาศขึ้นทะเบียนที่ดินเป็นโบราณสถานโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7231/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายอายุความเมื่อศาลสั่งไม่รับฟ้องคดีเนื่องจากไม่มีอำนาจศาล
คำสั่งของศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ไม่รับฟ้องของโจทก์เนื่องจากจำเลยทั้งสองมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล มีความหมายเช่นเดียวกับการที่ศาลยกคดีเสียเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาล ตาม ป.พ.พ. มาตรา 176 เดิมซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะยื่นฟ้องคดีนี้ ดังนั้น เมื่อกำหนดอายุความสิ้นสุดลงในวันเดียวกันกับที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการสั่งไม่รับฟ้อง อายุความจึงต้องขยายออกไปหกเดือนภายหลังคำสั่งนั้นถึงที่สุด โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อยังไม่ครบกำหนดหกเดือนของอายุความที่ขยายออกไป คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7227/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขาดประโยชน์จากรถราชการเสียหาย: จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์จนกว่าจะมีการชดใช้
จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของโจทก์จนเพลิงลุกไหม้เสียหายหมดทั้งคัน รถโจทก์เป็นรถที่ใช้ในราชการประจำอยู่โรงพยาบาล หลังจากจำเลยก่อเหตุละเมิดแล้วไม่ยอมใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ย่อมทำให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการมิได้ใช้รถซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการละเมิด ดังนั้นนอกจากจำเลยจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายของรถยนต์และอุปกรณ์การแพทย์ให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยยังต้องรับผิดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการที่โจทก์มิได้ใช้รถยนต์อันเป็นผลโดยตรงจากการละเมิดในระหว่างที่จำเลยไม่ยอมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7071/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิออกเสียงในหุ้นพิพาท: คำร้องคุ้มครองชั่วคราวไม่เกี่ยวกับการพิพาททรัพย์สิน
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองคืนหุ้นที่ซื้อไปแก่โจทก์ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าจำเลยทั้งสองจะต้องคืนหุ้นพิพาทที่ซื้อไปให้แก่โจทก์หรือไม่ที่โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวในระหว่างพิจารณาขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสองใช้สิทธิออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นพิพาทคำร้องโจทก์จึงไม่เกี่ยวกับการพิพาทด้วยทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์ตามประเด็นแห่งคดีที่จะได้รับความคุ้มครอง โจทก์จึงขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองใช้สิทธิในหุ้นพิพาทออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7071/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวไม่เกี่ยวกับการพิพาทสิทธิในหุ้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองคืนหุ้นที่ซื้อไปแก่โจทก์ประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าจำเลยทั้งสองจะต้องคืนหุ้นพิพาทที่ซื้อไปให้แก่โจทก์หรือไม่ที่โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวในระหว่างพิจารณาขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสองใช้สิทธิออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นพิพาทคำร้องโจทก์จึงไม่เกี่ยวกับการพิพาทด้วยทรัพย์สินสิทธิหรือประโยชน์ตามประเด็นแห่งคดีที่จะได้รับความคุ้มครองโจทก์จึงขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองใช้สิทธิในหุ้นพิพาทออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6745/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน: โจทก์ผิดสัญญาเนื่องจากไม่มีเงินชำระ ทำให้จำเลยไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์
ตามคำฟ้องมิได้อ้างเหตุที่ดินพิพาทไม่มีทางออกทำให้ธนาคารไม่ยอมอาวัลตั๋วเป็นเหตุขัดข้องในการรับโอนที่ดิน จึงไม่มีประเด็นว่าที่ดินพิพาทที่จะขายจะต้องเป็นที่ดินมีทางออกหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6745/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการรับโอนที่ดิน: เหตุทางออกที่ดินไม่ใช่ประเด็นหากไม่ได้กล่าวอ้างในฟ้อง
ตามคำฟ้องมิได้อ้างเหตุที่ดินพิพาทไม่มีทางออก ทำให้ธนาคารไม่ยอมอาวัลตั๋วเป็นเหตุขัดข้องในการรับโอนที่ดิน จึงไม่มีประเด็นว่าที่ดินพิพาทที่จะขายจะต้องเป็นที่ดินมีทางออกหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6727/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีประกันภัยทางอากาศ, ฟ้องเคลือบคลุม, และความรับผิดของผู้ขนส่งสินค้าหลายทอด
วัตถุประสงค์ที่โจทก์ได้จดทะเบียนไว้ตามหนังสือรับรองระบุว่า "(1) เพื่อประกอบกิจการประกันภัยทุกชนิดเช่น ประกันอัคคีภัย ประกันภัยทางน้ำ ประกันภัยทางอุบัติเหตุประกันภัยทางชีวิต ประกันภัยสงคราม และประกันภัยวินาศกรรมอื่น ๆ" ดังนี้ แม้หนังสือรับรองดังกล่าวจะมิได้กล่าวถึงการประกันภัยทางอากาศไว้ แต่ประกันภัยทางอากาศย่อมรวมอยู่ในวัตถุประสงค์ที่กล่าวว่า "เพื่อประกอบกิจการประกันภัยทุกชนิด" เพราะการประกันภัยทางอากาศเป็นการประกันภัยชนิดหนึ่ง ดังนั้น โจทก์จึงมีวัตถุประสงค์ในการประกันภัยทางอากาศและมีอำนาจฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ตลอดจนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาดังกล่าวตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าสินค้าสูญหายไปเมื่อใด และจำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลสินค้าอย่างไร โจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ไม่จำต้องบรรยายในฟ้อง คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม จำเลยเป็นผู้รับขนส่งของเพื่อบำเหน็จเป็นทางค้าปกติของจำเลย จำเลยได้มอบสินค้าที่รับขนส่งให้บริษัทการบินไทยจำกัด เก็บไว้ในคลังสินค้าเพื่อรอส่งขึ้นเครื่องบินไปยังต่างประเทศอันเป็นจุดหมายปลายทางต่อไป ดังนี้ จึงเป็นกรณีที่สินค้าได้ส่งไปโดยมีผู้ขนส่งหลายคนหลายทอดจำเลยผู้ขนส่งจึงต้องรับผิดในการที่สินค้านั้นสูญหายอันเกิดแต่ความผิดของผู้ขนส่งคนอื่นหรือบุคคลอื่น ซึ่งจำเลยได้มอบหมายสินค้านั้นไปอีกทอดหนึ่งและต้องรับผิดร่วมกันกับผู้ขนส่งรายอื่นด้วย ทั้งนี้ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 617 และ 618 คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าเสียหายจำนวน 238,433.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องดังนี้ คดีจึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเท่ากับจำนวนทุนทรัพย์ตามคำฟ้องคือ 238,433.30 บาท ซึ่งจำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 5,960 บาท แต่ศาลชั้นต้นคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาโดยรวมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยยื่นฎีกาเข้าเป็นทุนทรัพย์จำนวน298,531.50 บาท ด้วย และให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเป็นเงิน 7,462.50 บาท จำเลยจึงเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเกินมาจำนวน 1,502.50 บาท ศาลฎีกาชอบที่จะสั่งให้คืนเงิน ค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่ชำระเกินมาแก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6727/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วัตถุประสงค์การประกอบกิจการประกันภัยครอบคลุมประกันภัยทุกชนิด ผู้รับขนส่งมีหน้าที่รับผิดชอบความเสียหายจากการขนส่ง
วัตถุประสงค์ที่โจทก์ได้จดทะเบียนไว้ตามหนังสือรับรองระบุว่า"(1) เพื่อประกอบกิจการประกันภัยทุกชนิด เช่น ประกันอัคคีภัย ประกันภัยทางน้ำประกันภัยทางอุบัติเหตุ ประกันภัยทางชีวิต ประกันภัยสงคราม และประกันภัยวินาศกรรมอื่น ๆ" ดังนี้ แม้หนังสือรับรองดังกล่าวจะมิได้กล่าวถึงการประกันภัยทางอากาศไว้แต่ประกันภัยทางอากาศย่อมรวมอยู่ในวัตถุประสงค์ที่กล่าวว่า "เพื่อประกอบกิจการประกันภัยทุกชนิด" เพราะการประกันภัยทางอากาศเป็นการประกันภัยชนิดหนึ่ง ดังนั้นโจทก์จึงมีวัตถุประสงค์ในการประกันภัยทางอากาศและมีอำนาจฟ้องคดีนี้
โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ตลอดจนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาดังกล่าวตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง แล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าสินค้าสูญหายไปเมื่อใด และจำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลสินค้าอย่างไร โจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ไม่จำต้องบรรยายในฟ้อง คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยเป็นผู้รับขนส่งของเพื่อบำเหน็จเป็นทางค้าปกติของจำเลยจำเลยได้มอบสินค้าที่รับขนส่งให้บริษัทการบินไทย จำกัด เก็บไว้ในคลังสินค้าเพื่อรอส่งขึ้นเครื่องบินไปยังต่างประเทศอันเป็นจุดหมายปลายทางต่อไป ดังนี้ จึงเป็นกรณีที่สินค้าได้ส่งไปโดยมีผู้ขนส่งหลายคนหลายทอด จำเลยผู้ขนส่งจึงต้องรับผิดในการที่สินค้านั้นสูญหายอันเกิดแต่ความผิดของผู้ขนส่งคนอื่นหรือบุคคลอื่นซึ่งจำเลยได้มอบหมายสินค้านั้นไปอีกทอดหนึ่งและต้องรับผิดร่วมกันกับผู้ขนส่งรายอื่นด้วย ทั้งนี้ตามบทบัญญัติของป.พ.พ.มาตรา 617 และ 618
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าเสียหายจำนวน238,433.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง ดังนี้ คดีจึงมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเท่ากับจำนวนทุนทรัพย์ตามคำฟ้องคือ 238,433.30 บาทซึ่งจำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 5,960 บาท แต่ศาลชั้นต้นคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาโดยรวมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยยื่นฎีกาเข้าเป็นทุนทรัพย์จำนวน 298,531.50 บาท ด้วย และให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเป็นเงิน7,462.50 บาท จำเลยจึงเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเกินมาจำนวน 1,502.50 บาทศาลฎีกาชอบที่จะสั่งให้คืนเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่ชำระเกินมาแก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6614/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยเช็คต้องเรียกเก็บเงินได้ การนำสืบการชำระหนี้ต้องมีหลักฐานตามกฎหมาย
การชำระหนี้ด้วยเช็คนั้นจะสมบูรณ์ต่อเมื่อเช็คนั้นเรียกเก็บเงินได้แล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา 321 วรรคท้าย เมื่อเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินไม่ได้หนี้ตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในเช็คจึงยังไม่ระงับ การที่จำเลยทั้งสองจะนำสืบว่าได้มีการชำระหนี้ตามจำนวนดังกล่าวแล้วโดยไม่มีหลักฐานการใช้เงินเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือได้เวนคืนเอกสารแห่งการกู้หรือแทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคสอง
จำเลยมิได้ให้การไว้ว่า โจทก์ได้หักเงินจำนวน 48,000 บาทจากการขายฝากเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการชำระหนี้เงินกู้ยืมเลย จำเลยทั้งสองจึงนำสืบการหักเงินจำนวนดังกล่าวไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องนอกประเด็นที่ให้การไว้
of 72