คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วุฒิ คราวุฒิ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 718 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 684/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมายและการกระทำที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายในกรณีป้องกันทรัพย์สิน
คนร้ายเคยเจาะกำแพงอิฐบล็อกโรงงานของจำเลยแล้วลักเอาสิ่งของจากโรงงานไปคนงานของจำเลยจึงคิดวิธีป้องกันไว้ล่วงหน้าก่อนที่ภยันตรายจะถึงโดยขึงเส้นลวดไว้ที่ไม้สี่เหลี่ยมตั้งอยู่ที่พื้นปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้ากับเส้นลวดวันเกิดเหตุกำแพงอิฐบล๊อกโรงงานจำเลยถูกเจาะที่เดิมอีกผู้ตายเป็นผู้เจาะกำแพงอิฐบล๊อกแล้วมุดเข้าไปในโรงงานเพื่อลักทรัพย์ของจำเลยแต่ผู้ตายเหยียบแผ่นไม้สี่เหลี่ยมที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านเส้นลวดจนถูกช็อตจนถึงแก่ความตายถือว่าจำเลยได้กระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยย่อมได้รับนิรโทษกรรมไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา449วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโต้แย้งสิทธิการครอบครองทำประโยชน์ที่ดิน แม้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ ไม่ตัดสิทธิฟ้อง
ที่พิพาทมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดินโจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทเมื่อโจทก์ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เจ้าหน้าที่ได้ออกไปทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนแล้วมีความเห็นควรออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ได้การที่จำเลยที่1ซึ่งเป็นกำนันและจำเลยที่2ซึ่งเป็นนายอำเภอไปคัดค้านอ้างว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินและจำเลยที่2ไม่ยอมออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55แล้ว แม้โจทก์จะมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่2ที่ให้โจทก์ฟ้องคดีภายใน60วันนับแต่วันทราบคำสั่งก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่2จะปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายให้อำนาจสั่งการไว้หาเป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ไม่โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 575/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิทำประโยชน์ในที่ดิน - การโต้แย้งสิทธิ - อำนาจฟ้อง - เจ้าหน้าที่ปฏิเสธออกหนังสือรับรอง
ที่พิพาทมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท เมื่อโจทก์ยื่นคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เจ้าหน้าที่ได้ออกไปทำการรังวัดพิสูจน์สอบสวนแล้วมีความเห็นควรออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ได้ การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกำนัน และจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นนายอำเภอไปคัดค้านอ้างว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และจำเลยที่ 2ไม่ยอมออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ตามป.วิ.พ. มาตรา 55 แล้ว
แม้โจทก์จะมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ที่ให้โจทก์ฟ้องคดีภายใน 60 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 จะปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายให้อำนาจสั่งการไว้ หาเป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 547/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เครื่องหมายการค้า 'MITA' บนสินค้าทดแทน ไม่ถือเป็นการละเมิด หากไม่ทำให้ประชาชนสับสน
แม้ที่กล่องบรรจุสินค้าผงหมึกและฉลากปิดข้างขวดบรรจุสินค้าผงเหล็กที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาจำหน่ายจะมีคำว่า MITA ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 ที่ได้จดทะเบียนไว้ในประเทศไทยสำหรับสินค้าเครื่องถ่ายเอกสารแต่จำเลยทั้งห้ามิได้นำคำดังกล่าวมาใช้อย่างเครื่องหมายการค้า กล่าวคือ สินค้าผงหมึกและผงเหล็กที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายมิได้ระบุว่าเป็นผงหมึกและผงเหล็กภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า mita ของโจทก์ที่ 1สินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ไม่มีเครื่องหมายการค้าระบุหรือติดไว้ที่กล่องหรือขวดบรรจุสินค้า สิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์ที่ 1 เป็นสิทธิแต่ผู้เดียวเพื่อใช้เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้าจำพวกที่ได้จดทะเบียนไว้เพื่อระบุว่าสินค้านั้นเป็นของโจทก์ที่ 1 และแยกแยะให้เห็นว่าสินค้าของโจทก์ที่ 1 แตกต่างจากสินค้าของผู้ผลิตอื่นเท่านั้น หาได้รวมไปถึงสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะผลิตสินค้า ขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้าที่ผลิตขึ้นนั้นอันเป็นสิทธิของผู้ทรงสิทธิบัตรการประดิษฐ์ไม่ ประกอบกับกล่องและขวดบรรจุผงหมึกและผงเหล็กที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาจำหน่ายก็มิได้เขียนคำว่า MITA ให้มีลักษณะบ่งเฉพาะว่า mita เช่นเดียวกับของโจทก์ที่ 1 แต่เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ว่า MITA และคำว่า TONER กับ DEVELOPER ก็เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เช่นเดียวกัน รวมทั้งข้อความว่า FOR USE IN ซึ่งหมายความว่า ใช้กับหรือใช้สำหรับ ก็เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เห็นได้ชัดเจน แม้กล่องและขวดบรรจุสินค้าดังกล่าวจะมิได้ระบุชื่อบริษัท ผู้ผลิต แต่ก็มิได้ระบุชื่อบริษัทโจทก์ที่ 1 ว่าเป็นผู้ผลิตผงหมึกและผงเหล็กที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาจำหน่าย ส่วนกล่องบรรจุผงหมึกของโจทก์ที่ 1คำว่า TONER เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เฉพาะอักษร T เพียงตัวเดียว ตัวอักษรนอกนั้นเขียนด้วยตัวพิมพ์เล็ก โดยเขียนว่า Toner มีเครื่องหมายการค้าคำว่า mitaเขียนเรียงกันตามแนวนอน 6 แนว แถวละ 8 คำ อยู่ส่วนบนของกล่อง มีคำว่าmita เขียนด้วยตัวอักษรสีขาวบนพื้นกรอบสี่เหลี่ยมสีแดงเห็นได้เด่นชัดทั้งหกด้านของกล่องสีดำและมีชื่อบริษัทโจทก์ที่ 1 อยู่ด้วย แต่ไม่มีข้อความว่า FOR USE INส่วนที่ฉลากปิดข้างขวดบรรจุสินค้าผงหมึกของโจทก์ที่ 1 ก็เป็นฉลากสีฟ้า มีคำว่าmita เป็นตัวอักษรสีขาวเห็นเด่นชัด คำว่า TONER เป็นตัวอักษรเล็กกว่าคำว่าmita มาก และฝาขวดเป็นสีน้ำเงิน แต่ฉลากปิดข้างขวดบรรจุสินค้าผงหมึกของจำเลยที่ 1 เป็นสีน้ำตาลเข้ม มีคำว่า TONER FOR USE IN MITA เห็นได้เด่นชัดและฝาขวดเป็นสีน้ำตาลเข้ม กล่องและขวดสินค้าผงหมึกที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาจำหน่ายกับของโจทก์ที่ 1 จึงแตกต่างอย่างชัดเจน สำหรับขวดบรรจุสินค้าผงเหล็กที่จำเลยที่ 1 นำเข้ามาจำหน่ายและของโจทก์ที่ 1 ก็แตกต่างกันชัดเจนเช่นกัน ดังนี้ จากข้อความที่ระบุข้างกล่องและขวดบรรจุสินค้าที่จำเลยที่ 1จำหน่ายอย่างชัดเจนว่า FOR USE IN MITA ซึ่งหมายถึงสินค้าที่ใช้กับเครื่อง-ถ่ายเอกสารมิต้า ประชาชนผู้ต้องใช้สินค้าผงหมึกและผงเหล็กดังกล่าวย่อมทราบดีว่าสินค้าที่จำเลยทั้งห้าจำหน่ายมิใช่สินค้าของโจทก์ที่ 1 เพียงแต่เป็นสินค้าที่อาจใช้แทนกันได้เท่านั้น ประชาชนจึงไม่สับสนหรือหลงผิดว่าสินค้าที่จำเลยทั้งห้าจำหน่ายเป็นสินค้าของโจทก์ที่ 1 แต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ได้นำผงหมึกและผงเหล็กเข้ามาจำหน่ายและเสนอจำหน่ายในประเทศไทยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่า จำเลยทั้งห้าได้จำหน่ายหรือเสนอจำหน่ายสินค้าโดยใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่ 1 และข้อความในการประกอบการค้าของโจทก์ทั้งสองเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือการค้าของโจทก์ที่ 1การกระทำของจำเลยทั้งห้าจึงยังไม่เป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า mita ของโจทก์ที่ 1 โจทก์ทั้งสองจึงไม่อาจขอให้ห้ามจำเลยทั้งห้านำเข้ามาในราชอาณาจักร จำหน่าย หรือเสนอจำหน่ายสินค้าผงหมึกและผงเหล็กที่นำเข้าดังกล่าวและเรียกให้จำเลยทั้งห้าชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 547/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เครื่องหมายการค้า 'mita' บนผงหมึก/ผงเหล็ก ไม่ถือเป็นการละเมิด หากไม่ได้ระบุเป็นสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าโดยเฉพาะ
แม้ที่กล่องบรรจุสินค้าผงหมึกและฉลากปิดข้างขวดบรรจุสินค้าผงเหล็กที่จำเลยที่1นำเข้ามาจำหน่ายจะมีคำว่า MITA ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่1ที่ได้จดทะเบียนไว้ในประเทศไทยสำหรับสินค้าเครื่องถ่ายเอกสารแต่จำเลยทั้งห้ามิได้นำคำดังกล่าวมาใช้อย่างเครื่องหมายการค้ากล่าวคือสินค้าผงหมึกและผงเหล็กที่จำเลยที่1นำเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายมิได้ระบุว่าเป็นผงหมึกและผงเหล็กภายใต้เครื่องหมายการค้าคำว่า mita ของโจทก์ที่1สินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ไม่มีเครื่องหมายการค้าระบุหรือติดไว้ที่กล่องหรือขวดบรรจุสินค้าสิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของโจทก์ที่1เป็นสิทธิแต่ผู้เดียวเพื่อใช้เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้าจำพวกที่ได้จดทะเบียนไว้เพื่อระบุว่าสินค้านั้นเป็นของโจทก์ที่1และแยกแยะให้เห็นว่าสินค้าของโจทก์ที่1แตกต่างจากสินค้าของผู้ผลิตอื่นเท่านั้นหาได้รวมไปถึงสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะผลิตสินค้าขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้าที่ผลิตขึ้นนั้นอันเป็นสิทธิของผู้ทรงสิทธิบัตรการประดิษฐ์ไม่ประกอบกับกล่องและขวดบรรจุผงหมึกและผงเหล็กที่จำเลยที่1นำเข้ามาจำหน่ายก็มิได้เขียนคำว่า MITA ให้มีลักษณะบ่งเฉพาะว่า mita เช่นเดียวกับของโจทก์ที่1แต่เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ว่า MITA และคำว่า TONEกับDEELOPER ก็เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เช่นเดียวกันรวมทั้งข้อความว่า FORUSEIN ซึ่งหมายความว่าใช้กับหรือใช้สำหรับก็เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เห็นได้ชัดเจนแม้กล่องและขวดบรรจุสินค้าดังกล่าวจะมิได้ระบุชื่อบริษัทผู้ผลิตแต่ก็มิได้ระบุชื่อบริษัทโจทก์ที่1ว่าเป็นผู้ผลิตผงหมึกและผงเหล็กที่จำเลยที่1นำเข้ามาจำหน่ายส่วนกล่องบรรจุผงหมึกของโจทก์ที่1คำว่า TONER เขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เฉพาะอักษร T เพียงตัวเดียวตัวอักษรนอกนั้นเขียนด้วยตัวพิมพ์เล็กโดยเขียนว่า Toner มีเครื่องหมายการค้าคำว่า mita เขียนเรียงกันตามแนวนอน6แนวแถวละ8คำอยู่ส่วนบนของกล่องมีคำว่า mitaเขียนด้วยตัวอักษรสีขาวบนพื้นกรอบสี่เหลี่ยมสีแดงเห็นได้เด่นชัดทั้งหกด้านของกล่องสีดำและมีชื่อโจทก์ที่1อยู่ด้วยแต่ไม่มีข้อความว่าFORUSEINส่วนที่ฉลากปิดข้างขวดบรรจุสินค้าผงหมึกของโจทก์ที่1ก็เป็นฉลากสีฟ้ามีคำว่า mita เป็นตัวอักษรสีขาวเห็นเด่นชัดคำว่า toner เป็นตัวอักษรเล็กกว่าคำว่า mita มากและฝาขวดเป็นสีน้ำเงินแต่ฉลากปิดข้างขวดบรรจุสินค้าผงหมึกของจำเลยที่1เป็นสีน้ำตาลเข้มมีคำว่า TONERFORUSEINMITAเห็นได้เด่นชัดและฝาขวดเป็นสีน้ำตาลเข้มกล่องและขวดสินค้าผงหมึกที่จำเลยที่1นำเข้ามาจำหน่ายกับของโจทก์ที่1จึงแตกต่างอย่างชัดเจนสำหรับขวดบรรจุสินค้าผงเหล็กที่จำเลยที่1นำเข้ามาจำหน่ายและของโจทก์ที่1ก็แตกต่างกันชัดเจนเช่นกันดังนี้จากข้อความที่ระบุข้างกล่องและขวดบรรจุสินค้าที่จำเลยที่1จำหน่ายอย่างชัดเจนว่า FORUSEINMITA ซึ่งหมายถึงสินค้าที่ใช้กับเครื่องถ่ายเอกสาร มิต้า ประชาชนผู้ต้องใช้สินค้าผงหมึกและผงเหล็กดังกล่าวย่อมทราบดีว่าสินค้าที่จำเลยทั้งห้าจำหน่ายมิใช่สินค้าของโจทก์ที่1เพียงแต่เป็นสินค้าที่อาจใช้แทนกันได้เท่านั้นประชาชนจึงไม่สับสนหรือหลงผิดว่าสินค้าที่จำเลยทั้งห้าจำหน่ายเป็นสินค้าของโจทก์ที่1แต่อย่างใดการที่จำเลยที่1โดยจำเลยที่2ที่3ที่4และที่5ได้นำผงหมึกและผงเหล็กเข้ามาจำหน่ายและเสนอจำหน่ายในประเทศไทยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งห้าได้จำหน่ายหรือเสนอจำหน่ายสินค้าโดยใช้เครื่องหมายการค้าของโจทก์ที่1และข้อความในการประกอบการค้าของโจทก์ทั้งสองเพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นสินค้าหรือการค้าของโจทก์ที่1การกระทำของจำเลยทั้งห้าจึงยังไม่เป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า mita ของโจทก์ที่1โจทก์ทั้งสองจึงไม่อาจขอให้ห้ามจำเลยทั้งห้านำเข้ามาในราชอาณาจักรจำหน่ายหรือเสนอจำหน่ายสินค้าผงหมึกและผงเหล็กที่นำเข้าดังกล่าวและเรียกให้จำเลยทั้งห้าชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 481/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากละเมิดทางเรือ: เจ้าของเรือและผู้ครอบครองไม่ต้องรับผิดหากไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของเรือยนต์ที่ไปทำละเมิด จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองเรือยนต์ที่ก่อเหตุละเมิด แต่ ป.พ.พ. มาตรา425 และมาตรา 437 วรรคแรก มิได้บัญญัติให้เจ้าของเรือยนต์ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย จึงขอบังคับให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายด้วยไม่ได้ ส่วนความรับผิดของจำเลยที่ 2 นั้น ตามคำฟ้องโจทก์เพียงแต่บรรยายว่า ลูกจ้างที่ยังไม่ทราบชื่อของจำเลยที่ 2 ได้ขับเรือแล่นไปชนเรือของโจทก์โดยมิได้บรรยายให้เห็นว่า ผู้ที่ขับเรือไปชนนั้นกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ทั้งข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มิได้อยู่ในเรือที่ก่อเหตุด้วย แม้จะได้บันทึกประจำวันว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองก็ไม่ทำให้ต้องรับผิดในฐานะเป็นผู้ครอบครองจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 481/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากละเมิดทางเรือ: เจ้าของเรือไม่ต้องรับผิดหากมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง และผู้ขับเรือไม่ได้กระทำการในทางการจ้าง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่1เป็นเจ้าของเรือยนต์ที่ไปทำละเมิดจำเลยที่2เป็นผู้ครอบครองเรือยนต์ที่ก่อเหตุละเมิดแต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา425และมาตรา437วรรคแรกมิได้บัญญัติให้เจ้าของเรือยนต์ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดนั้นด้วยจึงขอบังคับให้จำเลยที่1ชดใช้ค่าเสียหายด้วยไม่ได้ส่วนความรับผิดของจำเลยที่2นั้นตามคำฟ้องโจทก์เพียงแต่บรรยายว่าลูกจ้างที่ยังไม่ทราบชื่อของจำเลยที่2ได้ขับเรือแล่นไปชนเรือของโจทก์โดยมิได้บรรยายให้เห็นว่าผู้ที่ขับเรือไปชนนั้นกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่2ทั้งข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่1และจำเลยที่2มิได้อยู่ในเรือที่ก่อเหตุด้วยแม้จะได้บันทึกประจำวันว่าจำเลยที่2เป็นผู้ครอบครองก็ไม่ทำให้ต้องรับผิดในฐานะเป็นผู้ครอบครองจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 276/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากความประมาทเลินเล่อในการจดทะเบียนที่ดิน ทำให้เกิดความเสียหายจากการซื้อฝาก
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับผิด เนื่องจากประมาทเลินเล่อไม่ปฎิบัติตามระเบียบของทางราชการในการตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ในขณะที่ ว.จดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทโดยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมเป็นเหตุให้ ว.นำที่ดินพิพาทมาขายฝากให้โจทก์ทั้งสี่ ต่อมาเจ้าของที่ดินพิพาทได้ฟ้องว. โจทก์ที่ 2 และที่ 4 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ขอให้เพิกถอนการขายฝาก และศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝาก ทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย เป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดฐานละเมิด มิได้ฟ้องจำเลยทั้งสี่เกี่ยวกับเรื่องนิติกรรมหรือสัญญา แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 3 จะมิได้มีชื่อเป็นผู้รับซื้อฝากในสารบัญจดทะเบียน โจทก์ที่ 1 และที่ 3 ก็มีอำนาจฟ้อง
แม้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ในคดีที่เจ้าของที่ดินพิพาทฟ้องขอให้เพิกถอนการขายฝากหรือจำเลยที่ 4 และที่ 3 ในคดีนี้ได้ฎีกาขอให้ตนเองไม่ต้องรับผิดเสียค่าฤชาธรรมเนียม ซึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3ในคดีดังกล่าวหรือโจทก์ที่ 2 และที่ 4 ในคดีนี้ก็ได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ด้วย เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด จึงยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาแล้วคดีจึงยุติฟังได้ว่าบุคคลใดบ้างมีส่วนกระทำละเมิดและต้องรับผิดต่อโจทก์ คดีจึงเริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งเป็นวันที่โจทก์รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ผู้แทนของจำเลยที่ 4 ปฏิบัติราชการในหน้าที่และความรับผิดชอบของจำเลยที่ 4 โดยประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่ จำเลยที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 276/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ในการจดทะเบียนสิทธิในที่ดิน กรณีตรวจสอบลายมือชื่อผู้มอบอำนาจไม่รอบคอบ
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับผิดเนื่องจากประมาทเลินเล่อไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการในการตรวจสอบหลักฐานต่างๆให้ถูกต้องในขณะที่ ว. จดทะเบียนรับโอนที่ดินพิพาทโดยใช้หนังสือมอบอำนาจปลอมเป็นเหตุให้ ว. นำที่ดินพิพาทมาขายฝากให้โจทก์ทั้งสี่ต่อมาเจ้าของที่ดินพิพาทได้ฟ้อง ว.โจทก์ที่2และที่4กับจำเลยที่3และที่4ขอให้เพิกถอนการขายฝากและศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหายเป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสี่รับผิดฐานละเมิดมิได้ฟ้องจำเลยทั้งสี่เกี่ยวกับเรื่องนิติกรรมหรือสัญญาแม้โจทก์ที่1และที่3จะมิได้มีชื่อเป็นผู้รับซื้อฝากในสารบัญจดทะเบียนโจทก์ที่1และที่3ก็มีอำนาจฟ้อง แม้จำเลยที่4และที่5ในคดีที่เจ้าของที่ดินพิพาทฟ้องขอให้เพิกถอนการขายฝากหรือจำเลยที่4และที่3ในคดีนี้ได้ฎีกาขอให้ตนเองไม่ต้องรับผิดเสียค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้แต่จำเลยที่2และที่3ในคดีดังกล่าวหรือโจทก์ที่2และที่4ในคดีนี้ก็ได้ยื่นฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ด้วยเมื่อคดียังไม่ถึงที่สุดจึงยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์เมื่อศาลฎีกาพิพากษาคดีแล้วซึ่งฟังได้ว่าบุคคลใดบ้างมีส่วนกระทำละเมิดและต้องรับผิดต่อโจทก์คดีจึงเริ่มนับอายุความ จำเลยที่1ถึงที่3เป็นข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ผู้แทนของจำเลยที่4ปฏิบัติราชการในหน้าที่โดยฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่4โดยมิได้ตรวจบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจและถ่ายภาพบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจเก็บไว้ขณะจดทะเบียนนิติกรรมเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่จำเลยทั้งสี่จึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 263/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษประหารชีวิตในคดีจำหน่ายยาเสพติดปริมาณมาก ศาลฎีกาเห็นชอบกับโทษจำคุกตลอดชีวิต
แม้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา52(2)บัญญัติว่าถ้าจะลดโทษประหารชีวิตลง กึ่งหนึ่งให้ลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่ยี่สิบห้าปีถึงห้าสิบปีศาลอาจลงโทษเป็นจำคุกตั้งแต่ยี่สิบห้าปีถึงห้าสิบปีได้แต่เมื่อเฮโรอีนของกลางมีน้ำหนักคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ถึง7,521กรัมซึ่งเป็นปริมาณสูงมากนับเป็นภัยต่อสังคมและประเทศชาติอย่างร้ายแรงที่ศาลใช้ ดุลพินิจลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วกำหนดโทษเป็น จำคุกตลอดชีวิตนั้นเหมาะสมกับ พฤติการณ์และ ความร้ายแรงแห่งการกระทำผิดแล้ว
of 72