พบผลลัพธ์ทั้งหมด 352 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8663/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดตาม พรบ.จราจรฯ มาตรา 78 กรณีรถหยุดอยู่ ไม่ใช่ขับเคลื่อน
แม้พระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 78 บัญญัติว่า ผู้ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินจะต้องหยุดรถให้ความช่วยเหลือพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันทีไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือไม่ก็ตามนั้น หมายถึงว่าผู้ขับรถต้องเป็นผู้ควบคุมรถที่กำลังแล่นอยู่และมีความเสียหายเกิดขึ้น หาใช่กรณีผู้ขับรถที่จอดอยู่หรือหยุดอยู่ไม่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยหยุดรถในช่องเดินรถด้านซ้ายอยู่แล้ว โดยมีผู้โดยสารกำลังขึ้นรถ มิใช่ขับมาแล้วหยุดกระทันหัน การที่ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์มาด้วยความประมาทเฉี่ยวชนท้ายรถแท็กซี่ที่จำเลยขับ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ก่อความเสียหายอันจะต้องหยุดรถให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯ มาตรา 78,160 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8533/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายก่อนจดทะเบียนนิติบุคคล และเจตนาลวง: สัญญาเป็นโมฆะ
จำเลยที่ 1 เจ้าของที่ดินพิพาท ทำสัญญาเข้าหุ้นส่วนกับ พ. ตกลงจัดสรรขายที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 1 โดยให้จัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดขึ้นดำเนินการ ต่อมาวันที่ 9 ตุลาคม 2536 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทระบุตกลงขายให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ลงนามในฐานะผู้จะขาย และจำเลยที่ 1 กับ ว. ภริยาจำเลยที่ 1 ลงนามร่วมกันในฐานะตัวแทนโจทก์ผู้จะซื้อ ส่วนโจทก์จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2536 การตกลงทำสัญญาดังกล่าว จึงอยู่ในช่วงระยะเวลาก่อนจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลของโจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทและมีอำนาจลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายในฐานะผู้จะขาย แต่ขณะนั้นโจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 และ ว. ภริยาจำเลยที่ 1 ซึ่งลงนามในสัญญาดังกล่าวในช่องผู้จะซื้อย่อมไม่มีฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ แสดงให้เห็นได้ว่า การที่จำเลยที่ 1ลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายในฐานะผู้จะขายและจำเลยที่ 1 ลงนามร่วมกับ ว. ภริยาของตนในฐานะผู้จะซื้อ เป็นการแสดงเจตนาลวงเพื่อให้พ. หุ้นส่วนนำไปแสดงเพื่อขอกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน แต่ไม่สามารถหาแหล่งเงินกู้ยืมได้ สัญญาดังกล่าวไม่มีผลผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เพราะเป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่งโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ต่อมาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8366/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอาญาที่มิชอบ ศาลต้องดำเนินการใหม่เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาฐานผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 65 วรรคสอง ซึ่งมีโทษสถานเดียวคือประหารชีวิต ในวันนัดสอบคำให้การจำเลย ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลยเรื่องทนายความ จำเลยแถลงไม่ต้องการทนายความไม่ขอต่อสู้คดี โดยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาไว้และเลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลย โดยไม่ได้ตั้งทนายความให้แก่จำเลย เมื่อถึงวันนัด ศาลชั้นต้นได้สืบพยานโจทก์ไปสองปาก โดยจำเลยไม่มีทนายความต่อมาศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ดำเนินมาแล้วทั้งหมดและมีหนังสือตั้งทนายความให้แก่จำเลย กับเลื่อนคดีไปนัดสืบพยานโจทก์ใหม่ ในวันนัดสืบพยานโจทก์ใหม่ ศาลชั้นต้นไม่ได้ให้พยานโจทก์ทั้งสองปากที่เบิกความตอบโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนเพราะเป็นการผิดระเบียบไปแล้ว เข้าเบิกความตอบคำซักถามของโจทก์ใหม่ เพียงแต่ให้ทนายจำเลยถามค้านพยานโจทก์ทั้งสองปากนี้ต่อไปเลยเท่านั้น ดังนี้ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น เป็นการไม่ชอบและการที่ศาลล่างทั้งสองดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาในคดีนี้ต่อมาจึงเป็นการไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นว่ากล่าวและเห็นควรแก้ไขโดยย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่ให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8158/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยเจตนา, กระทำทารุณ, ปล้นทรัพย์, สนับสนุน, ตัวการร่วม, ฎีกาห้าม
จำเลยต้องการวางแผนการกระทำผิดมิให้มีผู้อื่นมาขัดขวาง หลังเกิดเหตุจำเลยก็หลบหนีไป เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยได้หลังเกิดเหตุเพียง 6 วัน พร้อมของกลางที่ยึดคืนมาได้หลายรายการที่เป็นหลักฐานชี้ชัดว่าจำเลยได้กระทำผิดแม้จำเลยไม่ให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาของศาล จำเลยก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธให้เห็นเป็นอย่างอื่นได้ จำเลยจึงรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน
จำเลยกับพวกวางแผนจับ ณ. และ ป. ผู้ตายทั้งสองเพื่อบังคับให้ออกเช็ค เมื่อผู้ตายทั้งสองออกเช็คแล้วก็ยังฆ่า ผู้ตายอีก ส่อแสดงถึงเจตนาร้ายมาแต่ต้น การฆ่าโดยใช้ค้อนปอนด์ซึ่งใช้ทุบพื้นซีเมนต์ทุบตีที่บริเวณต้นคอด้านหลังขณะที่ ณ. ถูกขึงพื่าดนอนคว่ำหน้าบนเตียงนอนและใช้เชือกไนล่อนรัดคอผู้ตายทั้งสองซ้ำในสภาพที่ผู้ตายถูกมัดมือ มัดเท้าเป็นวิธีการฆ่าที่ดุร้ายยิ่งกว่าการทำให้ตายตามปกติธรรมดาส่อแสดงว่าจำเลยกับพวกมีจิตใจโหดร้ายอำมหิตผิดมนุษย์ทั่วไป ถือได้ว่าเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้าย
โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ว่าร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับใบอนุญาต หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ ปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยมีหรือใช้อาวุธปืน ฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน และกระทำทารุณโหดร้ายเพื่อจะเอาไว้ซึ่งทรัพย์สินอันเกิดแต่การปล้นทรัพย์ ปกปิดความผิดอื่นของตนและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ซ้อนเร้นหรือทำลายศพ ปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอม ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคท้าย กับฐานอื่นดังกล่าวทุกฐานความผิด และลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำผิด ดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 3 ลงโทษเฉพาะฐานใช้ตั๋วเงินปลอม แสดงว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1ฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยมีหรือใช้อาวุธปืน และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ฐานเป็นตัวการร่วมกระทำผิด กับจำเลยที่ 1 ฐานทุกความผิดแล้วที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์และ โจทก์ร่วมนำสืบฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยมีหรือใช้อาวุธปืน ตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 340 ตรี จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ทุกฐานความผิดจึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220
จำเลยกับพวกวางแผนจับ ณ. และ ป. ผู้ตายทั้งสองเพื่อบังคับให้ออกเช็ค เมื่อผู้ตายทั้งสองออกเช็คแล้วก็ยังฆ่า ผู้ตายอีก ส่อแสดงถึงเจตนาร้ายมาแต่ต้น การฆ่าโดยใช้ค้อนปอนด์ซึ่งใช้ทุบพื้นซีเมนต์ทุบตีที่บริเวณต้นคอด้านหลังขณะที่ ณ. ถูกขึงพื่าดนอนคว่ำหน้าบนเตียงนอนและใช้เชือกไนล่อนรัดคอผู้ตายทั้งสองซ้ำในสภาพที่ผู้ตายถูกมัดมือ มัดเท้าเป็นวิธีการฆ่าที่ดุร้ายยิ่งกว่าการทำให้ตายตามปกติธรรมดาส่อแสดงว่าจำเลยกับพวกมีจิตใจโหดร้ายอำมหิตผิดมนุษย์ทั่วไป ถือได้ว่าเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยกระทำทารุณโหดร้าย
โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ว่าร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับใบอนุญาต หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ ปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยมีหรือใช้อาวุธปืน ฆ่าผู้อื่นโดยทรมาน และกระทำทารุณโหดร้ายเพื่อจะเอาไว้ซึ่งทรัพย์สินอันเกิดแต่การปล้นทรัพย์ ปกปิดความผิดอื่นของตนและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ซ้อนเร้นหรือทำลายศพ ปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอม ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคท้าย กับฐานอื่นดังกล่าวทุกฐานความผิด และลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำผิด ดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 3 ลงโทษเฉพาะฐานใช้ตั๋วเงินปลอม แสดงว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1ฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยมีหรือใช้อาวุธปืน และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ฐานเป็นตัวการร่วมกระทำผิด กับจำเลยที่ 1 ฐานทุกความผิดแล้วที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์และ โจทก์ร่วมนำสืบฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยมีหรือใช้อาวุธปืน ตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 340 ตรี จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ทุกฐานความผิดจึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7548/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกเฉยไม่ชำระค่าธรรมเนียมส่งสำเนาอุทธรณ์ ทำให้ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ในชั้นตรวจอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์และให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายใน 15 วัน แต่จำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นที่ตั้งทำการของศาลชั้นต้น แม้จะได้ความว่าตามทางปฏิบัติศาลชั้นต้นจะมีหนังสือแจ้งให้ศาลจังหวัดชลบุรีที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแทนดังที่โจทก์ฎีกาก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวโจทก์ก็มีหน้าที่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาอุทธรณ์ไปชำระแก่เจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคสอง แม้โจทก์จะได้วางเงินไว้ในขณะยื่นคำฟ้องจำนวน 5,000 บาท แต่ก็เป็นเงินที่โจทก์ต้องวางเป็นประกันค่าใช้จ่ายไว้ต่อศาลตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 11 จึงมิใช่เงินที่โจทก์ได้วางไว้เป็นการชำระค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาอุทธรณ์ล่วงหน้า หากโจทก์ประสงค์จะให้หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อันเป็นค่าธรรมเนียมในคดีจากเงินประกันดังกล่าว ก็ชอบที่โจทก์จะแถลงให้ศาลชั้นต้นทราบและได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นก่อนเช่นดังที่โจทก์เคยปฏิบัติมาแต่ในชั้นดำเนินการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยขณะยื่นฟ้องคดี ดังนั้น ข้อที่โจทก์อ้างว่าได้แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายนำหมายของศาลชั้นต้นว่า ได้วางเงินประกันค่าใช้จ่ายไว้ต่อศาลแล้ว และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าจะดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลย โดยจะหักเงินค่าธรรมเนียมในการส่งจากเงินประกันดังกล่าว แม้เป็นความจริงดังที่โจทก์อ้าง แต่ก็เป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบ ไม่อาจยกขึ้นอ้างเพื่อโจทก์ไม่ต้องวางเงินค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาอุทธรณ์ตามคำสั่งศาลชั้นต้นได้ เมื่อโจทก์มิได้ชำระเงินค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาอุทธรณ์แก่เจ้าหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลย เป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) และมาตรา 246 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลายฯ มาตรา 14
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7548/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกเฉยไม่ชำระค่าธรรมเนียมส่งสำเนาอุทธรณ์ ส่งผลให้ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบ
ในชั้นตรวจอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ และให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายใน 15 วัน แต่จำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลชั้นต้น แม้ตามทางปฏิบัติจะมีหนังสือแจ้งให้ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแทนก็ตาม แต่โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาอุทธรณ์ไปชำระแก่เจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 70 วรรคสอง ส่วนเงินที่โจทก์ได้วางไว้ในขณะยื่นคำฟ้องเป็นประกันค่าใช้จ่ายต่อศาลตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 11 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. ล้มละลาย (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2542 มาตรา 6 มิใช่เงินที่โจทก์ได้วางไว้เป็นการชำระค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาอุทธรณ์ล่วงหน้า หากโจทก์ประสงค์จะให้หักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อันเป็นค่าธรรมเนียมในคดีจากเงินประกันดังกล่าว ก็ชอบที่โจทก์จะแถลงให้ศาลชั้นต้นทราบและได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นก่อน ข้อที่โจทก์อ้างว่าได้แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายนำหมายของศาลชั้นต้นว่าได้วางเงินประกันค่าใช้จ่ายไว้ต่อศาลแล้ว และเจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าจะดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยโดยหักเงินค่าธรรมเนียมในการส่งจากเงินประกันดังกล่าว แม้เป็นความจริงก็เป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบ เมื่อโจทก์มิได้ชำระเงิน ค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาอุทธรณ์แก่เจ้าหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลย เป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) และมาตรา 246 ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. 2542 มาตรา 14
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7413/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทนายความละเมิดอำนาจศาล: การว่าความโดยไม่ได้รับอนุญาตและขัดต่อสถานะการถูกลงโทษทางอาญา
ผู้ถูกกล่าวหายกข้อเท็จจริงขึ้นมาในชั้นฎีกาว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไม่ถือว่าเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล และขอให้ศาลฎีกาพิพากษาปล่อยผู้ถูกกล่าวหาให้พ้นผิดไปนั้น เป็นที่เข้าใจได้ว่าผู้ถูกกล่าวหากลับให้การปฏิเสธในชั้นฎีกา ข้ออ้างตามฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวจึงขัดกับคำให้การรับสารภาพและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ผู้ถูกกล่าวหาถูกลงโทษผิดมรรยาททนายความตามพระราชบัญญัติทนายความฯ มาตรา 52(2) ที่ห้ามทำการเป็นทนายความภายในกำหนดเวลา ฉะนั้น การที่ผู้ถูกกล่าวหาทำคำให้การให้จำเลย 1 ครั้งและว่าความในฐานะทนายความจำเลยอีก 3 ครั้งในการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นสำหรับคดีนี้ จึงเป็นการกระทำที่ปราศจากอำนาจพึงกระทำได้เพราะผู้ถูกกล่าวหายังไม่พ้นกำหนดห้ามทำการเป็นทนายความดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเสร็จเด็ดขาดในแต่ละครั้งที่ผู้ถูกกล่าวหากระทำ กรณีเป็นการกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหลายกรรมต่างกัน มิใช่เป็นการกระทำต่อเนื่องกันซึ่งต้องลงโทษผู้ถูกกล่าวหาทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91และเมื่อความปรากฏต่อศาลว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเช่นเดียวกันนี้อีกหลายคดี ศาลจึงมีอำนาจให้นับโทษของผู้ถูกกล่าวหาต่อจากคดีอื่นได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 วรรคหนึ่ง
ผู้ถูกกล่าวหาถูกลงโทษผิดมรรยาททนายความตามพระราชบัญญัติทนายความฯ มาตรา 52(2) ที่ห้ามทำการเป็นทนายความภายในกำหนดเวลา ฉะนั้น การที่ผู้ถูกกล่าวหาทำคำให้การให้จำเลย 1 ครั้งและว่าความในฐานะทนายความจำเลยอีก 3 ครั้งในการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นสำหรับคดีนี้ จึงเป็นการกระทำที่ปราศจากอำนาจพึงกระทำได้เพราะผู้ถูกกล่าวหายังไม่พ้นกำหนดห้ามทำการเป็นทนายความดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเสร็จเด็ดขาดในแต่ละครั้งที่ผู้ถูกกล่าวหากระทำ กรณีเป็นการกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหลายกรรมต่างกัน มิใช่เป็นการกระทำต่อเนื่องกันซึ่งต้องลงโทษผู้ถูกกล่าวหาทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91และเมื่อความปรากฏต่อศาลว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเช่นเดียวกันนี้อีกหลายคดี ศาลจึงมีอำนาจให้นับโทษของผู้ถูกกล่าวหาต่อจากคดีอื่นได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7259/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย แม้เป็นเพียงผู้รับจ้างส่งของ ก็ถือว่ามีความผิดสำเร็จ
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาเพียงอย่างเดียว แต่ฎีกาของจำเลยพอแปลได้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดอันเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ จำเลยก็ยกขึ้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
จำเลยซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีน 8,200 เม็ด แบ่งบรรจุในถุงพลาสติกมีฝาเปิดปิดใส่อยู่ในผ้าอนามัยไว้บริเวณสายรัดเสื้อชั้นในด้านข้างจำนวนข้างละ 1 ชิ้น และเป้ากางเกงชั้นในอีก 1 ชิ้น เป็นการยึดถือเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้ แม้จำเลยจะรับจ้างนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งมอบให้แก่ผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ก็ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองเมทแอมเฟตามีน
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสองเป็นข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมทแอมเฟตามีน8,200 เม็ด น้ำหนัก 712.93 กรัม ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 158.615 กรัม ถือได้ว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว และแม้จำเลยจะเป็นผู้รับจ้างนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งที่กรุงเทพมหานคร แต่จำเลยถูกจับที่จังหวัดเชียงรายเสียก่อน ก็ไม่เป็นการพยายามกระทำความผิดเพราะการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายย่อมเป็นความผิดสำเร็จตลอดเวลาที่จำเลยครอบครอง
จำเลยซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีน 8,200 เม็ด แบ่งบรรจุในถุงพลาสติกมีฝาเปิดปิดใส่อยู่ในผ้าอนามัยไว้บริเวณสายรัดเสื้อชั้นในด้านข้างจำนวนข้างละ 1 ชิ้น และเป้ากางเกงชั้นในอีก 1 ชิ้น เป็นการยึดถือเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้ แม้จำเลยจะรับจ้างนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งมอบให้แก่ผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ก็ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองเมทแอมเฟตามีน
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสองเป็นข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมทแอมเฟตามีน8,200 เม็ด น้ำหนัก 712.93 กรัม ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 158.615 กรัม ถือได้ว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว และแม้จำเลยจะเป็นผู้รับจ้างนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งที่กรุงเทพมหานคร แต่จำเลยถูกจับที่จังหวัดเชียงรายเสียก่อน ก็ไม่เป็นการพยายามกระทำความผิดเพราะการมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายย่อมเป็นความผิดสำเร็จตลอดเวลาที่จำเลยครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7259/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย แม้เป็นเพียงผู้รับจ้างขนส่ง ถือเป็นความผิดสำเร็จตาม พ.ร.บ. ยาเสพติด
โจทก์ฟ้องจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง , 102 ประกอบ ป.อ. มาตรา 83 จำคุกจำเลย 25 ปี แม้จำเลยจะอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาเพียงอย่างเดียว และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ฎีกาของจำเลยแปลว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามฟ้องอันเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ จำเลยก็ยกขึ้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
การที่จำเลยซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในตัวจำเลยย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยเจตนายึดถือ เมทแอมเฟตามีนดังกล่าว แม้จำเลยจะรับจ้างนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งมอบให้แก่ผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ก็ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้ว
พ.ร.บ. บัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือ มีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไปให้ถือว่า ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย บทบัญญัติดังกล่าวเป็นข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาด เมื่อเมทแอมเฟ-ตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 8,200 เม็ด น้ำหนัก 712.93 กรัม ที่จำเลยมีไว้ในครอบครอง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 158.615 กรัม ถือได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว
การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นความผิดสำเร็จตลอดเวลาที่มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง แม้จำเลยจะเป็นผู้รับจ้างนำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่งที่จุดหมายปลายทาง แต่จำเลยถูกจับเสียก่อน ก็ต้องถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้วหาใช่เป็นเพียงการพยายามกระทำความผิดไม่
พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง มีอัตราโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วางโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 25 ปี เป็นการลงโทษขั้นต่ำตามกฎหมายแล้ว
การที่จำเลยซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในตัวจำเลยย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยเจตนายึดถือ เมทแอมเฟตามีนดังกล่าว แม้จำเลยจะรับจ้างนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งมอบให้แก่ผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ก็ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางแล้ว
พ.ร.บ. บัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือ มีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไปให้ถือว่า ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย บทบัญญัติดังกล่าวเป็นข้อสันนิษฐานโดยเด็ดขาด เมื่อเมทแอมเฟ-ตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 8,200 เม็ด น้ำหนัก 712.93 กรัม ที่จำเลยมีไว้ในครอบครอง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 158.615 กรัม ถือได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแล้ว
การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นความผิดสำเร็จตลอดเวลาที่มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง แม้จำเลยจะเป็นผู้รับจ้างนำเมทแอมเฟตามีนของกลางไปส่งที่จุดหมายปลายทาง แต่จำเลยถูกจับเสียก่อน ก็ต้องถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้วหาใช่เป็นเพียงการพยายามกระทำความผิดไม่
พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง มีอัตราโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วางโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 25 ปี เป็นการลงโทษขั้นต่ำตามกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7151/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกกล่าวบังคับจำนอง: แม้เลขโฉนดผิดพลาด แต่หากจำเลยไม่โต้แย้งถือว่าเป็นการบอกกล่าวที่ชอบแล้ว
การบอกกล่าวบังคับจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 728 กฎหมายมิได้บัญญัติบังคับว่าหนังสือบอกกล่าวจะต้องมีรายการอะไรบ้าง เพียงแต่บัญญัติไว้กว้าง ๆ ว่า เมื่อจะบังคับจำนองผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าว หนังสือบอกกล่าวบังคับจำนอง เพียงมีข้อความให้ผู้จำนองเข้าใจได้ว่าถูกบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว ย่อมมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยจำนองที่ดินโฉนดรวม 8 โฉนด พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้เงินกู้ และโจทก์ฟ้องหนี้เงินกู้รายนี้กับขอให้บังคับจำนองที่ดินรวม 8 โฉนด พร้อมแนบสำเนาหนังสือจำนอง และสำเนาหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองท้ายฟ้องด้วย สำเนาหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองท้ายฟ้องนั้นตรงกับสำเนาหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองเอกสารหมาย จ.11 ระบุเลขโฉนดที่ดินจำนองผิดไป คงบอกถูกเพียงฉบับเดียวคือ โฉนดเลขที่ 27641 เท่านั้น แต่อ้างถึงสัญญากู้ที่จำเลยกู้ไปถูกต้อง ชั้นให้การต่อสู้คดีจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การให้เป็นประเด็นแต่ประการใดเลยว่า โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบเพราะเหตุที่ว่ามิได้บอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินที่จำนองไว้อีก 7 แปลง คงสู้แต่เหตุอื่นคือ ผู้ลงนามในหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนอง ไม่มีอำนาจลงนามแทนโจทก์ เพราะไม่ได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากโจทก์ให้มีอำนาจทำหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองตามกฎหมายแทนโจทก์ ถือว่าโจทก์ยังมิได้มีการบังคับจำนอง แสดงว่าจำเลยเข้าใจได้ดีว่าโจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินโฉนดที่จำนองไว้ หนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองจึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ถือว่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินแปลงอื่นอีก 7 แปลง ที่จำนองไว้ รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 27641 โจทก์ย่อมบังคับจำนองเอากับที่ดินที่จำนองไว้อีก 7 แปลงได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยจำนองที่ดินโฉนดรวม 8 โฉนด พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้เงินกู้ และโจทก์ฟ้องหนี้เงินกู้รายนี้กับขอให้บังคับจำนองที่ดินรวม 8 โฉนด พร้อมแนบสำเนาหนังสือจำนอง และสำเนาหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองท้ายฟ้องด้วย สำเนาหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองท้ายฟ้องนั้นตรงกับสำเนาหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองเอกสารหมาย จ.11 ระบุเลขโฉนดที่ดินจำนองผิดไป คงบอกถูกเพียงฉบับเดียวคือ โฉนดเลขที่ 27641 เท่านั้น แต่อ้างถึงสัญญากู้ที่จำเลยกู้ไปถูกต้อง ชั้นให้การต่อสู้คดีจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การให้เป็นประเด็นแต่ประการใดเลยว่า โจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบเพราะเหตุที่ว่ามิได้บอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินที่จำนองไว้อีก 7 แปลง คงสู้แต่เหตุอื่นคือ ผู้ลงนามในหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนอง ไม่มีอำนาจลงนามแทนโจทก์ เพราะไม่ได้รับมอบอำนาจเป็นหนังสือจากโจทก์ให้มีอำนาจทำหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองตามกฎหมายแทนโจทก์ ถือว่าโจทก์ยังมิได้มีการบังคับจำนอง แสดงว่าจำเลยเข้าใจได้ดีว่าโจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินโฉนดที่จำนองไว้ หนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองจึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย ถือว่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินแปลงอื่นอีก 7 แปลง ที่จำนองไว้ รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 27641 โจทก์ย่อมบังคับจำนองเอากับที่ดินที่จำนองไว้อีก 7 แปลงได้