คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 208

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 222 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1520/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลื่อนการพิจารณาคดีอาญาเนื่องจากทนายจำเลยติดว่าความคดีอื่น ศาลต้องอนุญาตหากมีเหตุสมควร
ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณาโดยอ้างว่าในวันนัดนั้นทนายจำเลยติดว่าความที่ศาลอื่น ข้ออ้างของทนายจำเลยเป็นความจริงทั้งเป็นกรณีที่มีเหตุอันสมควร ชอบที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้เลื่อนการพิจารณาสืบพยานโจทก์ไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 179 วรรคสอง แต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและทำการพิจารณาพิพากษาไปเลย จึงเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาศาลฎีกาจึงให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 202/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญาเมื่อจำเลยยอมรับสารภาพและศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ถูกต้อง
วันนัดสืบพยานจำเลย ตัวจำเลยมาศาล แต่พยานอื่นไม่มาจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนจำเลยจึงอ้างตนเองเข้าสืบได้ 1 ปากแล้วยอมให้ศาลตัดพยานจำเลยไปตามที่จำเลยเคยแถลงไว้แล้วศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและ จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์หรือขอให้โอกาสจำเลยสืบพยานได้อีกดังนี้ เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาคดีไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นหากศาลอุทธรณ์เห็นควรฟังคำพยานจำเลยต่อไปอีก ก็ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะเรียกพยานมาสืบเองหรือส่งสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 202/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญาเมื่อจำเลยเปลี่ยนคำให้การและยอมรับสารภาพ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ทันที
วันนัดสืบพยานจำเลย ตัวจำเลยมาศาล แต่พยานอื่นไม่มา จำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ศาลไม่อนุญาตให้เลื่อน จำเลยจึงอ้างตนเองเข้าสืบได้ 1 ปากแล้วยอมให้ศาลตัดพยานจำเลยไปตามที่จำเลยเคยแถลงไว้ แล้วศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย และจำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์หรือขอให้โอกาสจำเลยสืบพยานได้อีก ดังนี้ เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาคดีไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น หากศาลอุทธรณ์เห็นควรฟังคำพยานจำเลยต่อไปอีก ก็ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะเรียกพยานมาสืบเอง หรือส่งสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยเพิ่มเติม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 202/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีอาญาเมื่อจำเลยเปลี่ยนคำให้การ ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และการพิจารณาพิพากษาใหม่
วันนัดสืบพยานจำเลย ตัวจำเลยมาศาล. แต่พยานอื่นไม่มา. จำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี. ศาลไม่อนุญาตให้เลื่อน.จำเลยจึงอ้างตนเองเข้าสืบได้ 1 ปากแล้วยอมให้ศาลตัดพยานจำเลยไปตามที่จำเลยเคยแถลงไว้. แล้วศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย. และ จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์หรือขอให้โอกาสจำเลยสืบพยานได้อีก. ดังนี้ เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาคดีไปได้เลย. ไม่จำเป็นต้องยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น. หากศาลอุทธรณ์เห็นควรฟังคำพยานจำเลยต่อไปอีก ก็ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะเรียกพยานมาสืบเอง. หรือส่งสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยเพิ่มเติม. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(1).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1228/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คชำระหนี้จากการกู้เงิน แม้ไม่มีสัญญากู้ก็อาจเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็คได้ ศาลต้องสืบพยานจำเลย
จำเลยกู้ยืมเงินจากผู้เสียหาย โดยจำเลยออกเช็คให้ แม้จำเลยจะไม่ได้ทำหนังสือสัญญากู้ แต่ได้ออกเช็คให้แทนโดยมีมูลหนี้จากการกู้เงิน จึงย่อมมีความผูกพันกันในเบื้องต้นอันอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 ได้
คดีที่ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการโจทก์ ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง พนักงานอัยการโจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกา แต่โจทก์ร่วมได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ เมื่อพยานโจทก์ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบเป็นพยานของพนักงานอัยการโจทก์ แต่พนักงานอัยการโจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกา และโจทก์ร่วมแถลงไม่สืบพยาน ดังนี้ ศาลฎีกาย่อมสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเฉพาะพยานจำเลยเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1228/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คชำระหนี้จากการกู้ยืม แม้ไม่มีสัญญากู้เป็นลายลักษณ์อักษร ก็อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คได้
จำเลยกู้ยืมเงินจากผู้เสียหาย โดยจำเลยออกเช็คให้ แม้จำเลยจะไม่ได้ทำหนังสือสัญญากู้ แต่ได้ออกเช็คให้แทนโดยมีมูลหนี้จากการกู้เงิน จึงย่อมมีความผูกพันกันในเบื้องต้นอันอาจเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 ได้
คดีที่ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการโจทก์ ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง พนักงานอัยการโจทก์ไม่อุทธรณ์ ฎีกา แต่โจทก์ร่วมได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ เมื่อพยานโจทก์ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบเป็นพยานของพนักงานอัยการโจทก์แต่พนักงานอัยการโจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกา และโจทก์ร่วมแถลงไม่สืบพยาน ดังนี้ ศาลฎีกาย่อมสั่งให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเฉพาะพยานจำเลยเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลสูงมีอำนาจกำหนดโทษกระทงเบาได้ แม้กระทงหนักถูกยกฟ้อง
กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจร ตามมาตรา 357 และพกพาอาวุธไปในที่ชุมชนตามมาตรา 371 แต่ให้ลงโทษกระทงหนักตามมาตรา 357 และจำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์เฉพาะข้อฐานรับของโจร นั้น ความผิดของจำเลยฐานพกพาอาวุธไปในที่ชุมนุมชนตามมาตรา 371 ที่ยุติแล้ว ก็ยังคงมีอยู่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลสูง(ศาลอุทธรณ์)พิพากษายกฟ้องฐานรับของโจรอันเป็นกระทงหนัก ศาลสูง(ศาลอุทธรณ์)ก็มีอำนาจกำหนดโทษในความผิดกระทงเบาฐานพกพาอาวุธไปในที่ชุมชนที่ยังมีอยู่นั้นได้ ไม่เป็นการนอกเหนือกฎหมาย ตามนัยฎีกาที่ 1196/2502 และเมื่อศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดโทษ ศาลฎีกาก็กำหนดโทษไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์กำหนดได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลสูงในการกำหนดโทษกระทงเบาหลังยกฟ้องกระทงหนัก และการยุติของความผิดที่ยังคงมีอยู่
กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรตามมาตรา 357 และพกพาอาวุธไปในที่ชุมชนตามมาตรา 371แต่ให้ลงโทษกระทงหนักตามมาตรา 357 และจำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์เฉพาะข้อหาฐานรับของโจร นั้น ความผิดของจำเลยฐานพกพาอาวุธไปในที่ชุมนุมชนตามมาตรา 371 ที่ยุติแล้ว ก็ยังคงมีอยู่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลสูง(ศาลอุทธรณ์) พิพากษายกฟ้องฐานรับของโจรอันเป็นกระทงหนัก ศาลสูง (ศาลอุทธรณ์) ก็มีอำนาจกำหนดโทษในความผิดกระทงเบาฐานพกพาอาวุธไปในที่ชุมชนที่ยังมีอยู่นั้นได้ ไม่เป็นการนอกเหนือกฎหมาย ตามนัยฎีกาที่ 1196/2502 และเมื่อศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดโทษ ศาลฎีกาก็กำหนดโทษไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์กำหนดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 711/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองอาวุธปืนและการมีไว้เพื่อการค้า: การพิจารณาเจตนาและลักษณะการครอบครอง
ศาลชั้นต้นลงโทษฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7, 72 โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ฎีกาว่าจำเลยมีใบอนุญาตจำหน่ายอาวุธปืน มีปืนไว้ในตู้แสดงสินค้าหน้าร้านโดยมิได้รับอนุญาต ก็มีผิดฐานมีอาวุธปืนสำหรับการค้าตามมาตรา 24 ด้วย ดังนี้ เบื้องต้นต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่า จำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนหรือไม่ แม้จำเลยไม่อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยข้อกฎหมายนี้ได้เฉพาะข้อหาฐานมีอาวุธปืนยังไม่ยุติ และการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาก็ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ฟังข้อเท็จจริงในการมีอาวุธปืนไว้อย่างใด จำเลยได้นำสืบไว้แล้ว ฉะนั้น ข้อเท็จจริงเท่าที่ศาลชั้นต้นฟังมาไม่พอที่จะวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าเป็นการมีอาวุธปืนตามความหมายแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือไม่ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบไว้แล้วเสียเอง โดยมิต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่
คำว่า มีอาวุธปืน ตามความหมายของพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 4(6) หมายความว่า มีกรรมสิทธิ์ หรือมีไว้ในครอบครอง คำว่า ครอบครอง หาได้บัญญัติให้มีความหมายเป็นพิเศษอย่างใดไม่ ต้องถือว่ามีความหมายตามกฎหมายทั่วไป การถือปืนอยู่ชั่วขณะแล้วต้องส่งคืน เป็นการยึดถือปืน แต่มิได้มีเจตนายึดถือเพื่อตน หาเป็นการครอบครองไม่ (อ้างฎีกาที่ 1824/2499 และที่ 1578/2495) กรณีนี้ร้านค้าปืนผู้เป็นเจ้าของปืนได้มอบปืนมาให้ลูกค้าดูแล้วต้องส่งคืน แม้จะวางปืนไว้ในร้านชั่วระยะเวลา ก็หาทำให้ผู้ถือปืนมาให้ดูเป็นผู้ครอบครองปืนนั้นไม่ การที่ปืนมาตกอยู่ในร้านจำเลยเพราะเหตุนี้ ไม่ถือว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครอง
ซองกระสุนปืนและกระสุนปืนขนาดต่าง ๆ ที่ตรวจพบในลิ้นชักโต๊ะในร้านปืนซึ่งจำเลยเป็นผู้รับอนุญาตจำหน่ายอาวุธปืน จำเลยมิได้นำสืบแก้ให้เห็นว่าได้รับอนุญาตแล้ว และในบัญชีอาวุธปืนประจำร้านไม่มีอาวุธปืนและกระสุนปืนเหลืออยู่เลย ไม่มีเหตุที่จะแสดงว่าจำเลยมิได้ครอบครอง ต้องถือว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองเพราะอยู่ในร้านค้าปืนของจำเลย แต่พิเคราะห์จำนวน ลักษณะ เห็นว่า ไม่ใช่สำหรับการค้า เพราะมีชนิดละเล็กน้อย และเฉพาะกระสุนขนาด 28 จำนวน 25 นัด ก็เป็นกระสุนสำหรับปืนที่ไม่มีสั่งเข้ามานานแล้ว ทั้งเก็บอยู่ในลิ้นชัก มิได้แสดงว่าจะจำหน่าย เพียงแต่มีอาวุธปืนหรือกระสุนปืนอยู่ในร้านค้าปืน หามีความผิดตามมาตรา 24 ไม่ (อ้างฎีกาที่ 1376/2493).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 711/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองอาวุธปืนและการมีอาวุธปืนเพื่อการค้า: ข้อเท็จจริงสำคัญในการพิจารณาความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน
ศาลชั้นต้นลงโทษฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 7,72 โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ฎีกาว่าจำเลยมีใบอนุญาตจำหน่ายอาวุธปืน มีปืนไว้ในตู้แสดงสินค้าหน้าร้านโดยมิได้รับอนุญาต ก็มีผิดฐานมีอาวุธปืนสำหรับการค้าตามมาตรา 24 ด้วย ดังนี้ เบื้องต้นต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่า จำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนหรือไม่แม้จำเลยไม่อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยข้อกฎหมายนี้ได้เพราะข้อหาฐานมีอาวุธปืนยังไม่ยุติ และการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาก็ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้ฟังข้อเท็จจริงในการมีอาวุธปืนไว้อย่างใด จำเลยได้นำสืบไว้แล้วฉะนั้น ข้อเท็จจริงเท่าที่ศาลชั้นต้นฟังมาไม่พอที่จะวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าเป็นการมีอาวุธปืนตามความหมายแห่งพระราชบัญญัตินี้หรือไม่ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบไว้แล้วเสียเอง โดยมิต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่
คำว่า มีอาวุธปืน ตามความหมายของพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 4(6)หมายความว่า มีกรรมสิทธิ์ หรือมีไว้ในครอบครองคำว่า ครอบครองหาได้บัญญัติให้มีความหมายเป็นพิเศษอย่างใดไม่ ต้องถือว่ามีความหมายตามกฎหมายทั่วไปการถือปืนอยู่ชั่วขณะแล้วต้องส่งคืน เป็นการยึดถือปืนแต่มิได้มีเจตนายึดถือเพื่อตน หาเป็นการครอบครองไม่(อ้างฎีกาที่ 1824/2499 และที่ 1578/2495) กรณีนี้ร้านค้าปืนผู้เป็นเจ้าของปืนได้มอบปืนมาให้ลูกค้าดูแล้วต้องส่งคืน แม้จะวางปืนไว้ในร้านชั่วระยะเวลา ก็หาทำให้ผู้ถือปืนมาให้ดูเป็นผู้ครอบครองปืนนั้นไม่การที่ปืนมาตกอยู่ในร้านจำเลยเพราะเหตุนี้ ไม่ถือว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครอง
ซองกระสุนปืนและกระสุนปืนขนาดต่างๆ ที่ตรวจพบในลิ้นชักโต๊ะในร้านปืนซึ่งจำเลยเป็นผู้รับอนุญาตจำหน่ายอาวุธปืนจำเลยมิได้นำสืบแก้ให้เห็นว่าได้รับอนุญาตแล้วและในบัญชีอาวุธปืนประจำร้านไม่มีอาวุธปืนและกระสุนปืนเหลืออยู่เลย ไม่มีเหตุที่จะแสดงว่าจำเลยมิได้ครอบครอง ต้องถือว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองเพราะอยู่ในร้านค้าปืนของจำเลยแต่พิเคราะห์จำนวน ลักษณะเห็นว่าไม่ใช่สำหรับการค้าเพราะมีชนิดละเล็กน้อยและเฉพาะกระสุนขนาด 28 จำนวน 25 นัด ก็เป็นกระสุนสำหรับปืนที่ไม่มีสั่งเข้ามานานแล้วทั้งเก็บอยู่ในลิ้นชัก มิได้แสดงว่าจะจำหน่ายเพียงแต่มีอาวุธปืนหรือกระสุนปืนอยู่ในร้านค้าปืนหามีความผิดตามมาตรา 24 ไม่(อ้างฎีกาที่ 1376/2493)
of 23