พบผลลัพธ์ทั้งหมด 222 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2819/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจร ศาลฎีกายกฟ้องข้อหาที่ยุติแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานลักทรัพย์ จึงถือได้ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ข้อหาฐานรับของโจร เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ต้องถือว่าข้อหาความผิดฐานรับของโจรได้ยุติไปแล้วจำเลยอุทธรณ์ขอให้พิพากษายกฟ้องข้อหาฐานลักทรัพย์ ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะวินิจฉัยก็คือ จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์จึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานรับของโจร และพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานรับของโจรซึ่งยุติไปแล้วนั้น จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยทั้งสองมีสิทธิฎีกาขอให้ยกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจรได้ และศาลฎีกาไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาใหม่ เพราะศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาฐานลักทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจรเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2819/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกายกฟ้องฐานรับของโจร แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ เนื่องจากข้อหาดังกล่าวสิ้นสุดแล้วหลังศาลชั้นต้นพิพากษาเฉพาะความผิดฐานลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ข้อหาฐานรับของโจร เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ ต้องถือว่าข้อหาความผิดฐานรับของโจรได้ยุติไปแล้ว จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องข้อหาฐานลักทรัพย์ ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะวินิจฉัยคือ จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์จึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีความผิดฐานรับของโจร และลงโทษจำเลยฐานรับของโจรซึ่งยุติไปแล้วนั้นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยมีสิทธิฎีกา ขอให้ยกฟ้องข้อหาฐานรับของโจรได้ และศาลฎีกาไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาใหม่ เพราะศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ยกฟ้องจำเลยในข้อหาฐานลักทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจรได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2415/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จเรื่องทรัพย์สิน: โจทก์เป็นผู้เสียหายโดยตรง แม้ความผิดต่อเจ้าพนักงาน
จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ลักทรัพย์จำเลยอันเป็นความเท็จทำให้โจทก์ถูกดำเนินคดีอาญา โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงในข้อหาฐานแจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามป.อ. มาตรา 137 แม้ว่าบทบัญญัติดังกล่าวจะเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานซึ่งปกติรัฐเป็นผู้เสียหายโดยตรงก็ตาม ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเนื่องจากเห็นว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ แต่จำเลยได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์โต้แย้งว่าทรัพย์ของกลางเป็นของจำเลย การที่ศาลอุทธรณ์ด่วนฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าทรัพย์ของกลางเป็นของโจทก์ โดยไม่วินิจฉัยในประเด็นนี้ จึงเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่ไม่ชอบ และไม่ได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา แต่เมื่อปรากฏพยานหลักฐานในสำนวนแล้วศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 72/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเป็นโจทก์ร่วม: การพิจารณาความชัดเจนของข้อเท็จจริงเรื่องการทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันก่อนวินิจฉัยสิทธิ
ระหว่างสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์ร่วมได้ความเพียงว่า โจทก์ร่วมถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยในมูลคดีเดียวกันกับคดีนี้ว่าทำร้ายร่างกายจำเลยทั้งสองในคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษโจทก์ร่วมแล้ว คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมยอมรับว่าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันกับจำเลยในคดีนี้ เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว และศาลอุทธรณ์ในคดีที่โจทก์ร่วมถูกฟ้องก็ยังมิได้ชี้ขาดว่าเป็นเรื่องวิวาททำร้ายร่างกายกันจริงหรือไม่และคดียังไม่ถึงที่สุดประกอบกับในคดีนี้โจทก์ก็บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายคือโจทก์ร่วมเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงยังไม่เป็นที่ยุติว่าโจทก์ร่วมวิวาททำร้ายร่างกายกับจำเลย เมื่อไม่ได้ความชัดเช่นนี้ จึงยังไม่สมควรด่วนวินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายไม่มีสิทธิขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นนี้เสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 72/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเป็นโจทก์ร่วม: การพิจารณาความเสียหายและการพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนก่อนวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมแถลงรับว่าเคยถูกโจทก์ฟ้องเป็นจำเลยในมูลคดีเกี่ยวกับคดีนี้ว่าทำร้ายร่างกายจำเลยทั้งสองคดีนี้และศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษโจทก์ร่วม คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คดีนี้วินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย ไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ดังนี้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมยอมรับว่าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันกับจำเลยในคดีนี้เมื่อยังไม่ได้ความว่าโจทก์ร่วมวิวาททำร้ายร่างกายกับจำเลย ประกอบกับคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด จึงยังไม่สมควรด่วนวินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมมิใช่ผู้เสียหาย ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นนี้ เสียก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายในคดีอาญา และการพิจารณาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิด
โจทก์อุทธรณ์โต้เถียง ว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนและวินิจฉัยข้อกฎหมายไม่ถูกต้อง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย การอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาในคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196นั้น ไม่จำต้องโต้แย้งไว้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แม้โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ก่อนก็มีสิทธิอุทธรณ์ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงและให้ใช้ราคาทรัพย์จำเลยให้การปฏิเสธ การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สืบตัวโจทก์จบคำซักถามทนายโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายในคดีส่วนอาญาและไม่เสื่อมสิทธิเรียกร้องที่มีต่อธนาคาร จึงไม่มีอำนาจฟ้องทั้งในคดีส่วนอาญาและส่วนแพ่ง ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมายังไม่อาจรับฟังได้เป็นยุติ เช่นนี้ ชอบที่ศาลสูงจะย้อนสำนวนกลับไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3144/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของอิหม่าม-บิหลั่น และความผิดฐานหมิ่นประมาทจากการใส่ความต่อหน้าสาธารณชน
ปัญหาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานก่อความวุ่นวายในการกระทำพิธีกรรมตามศาสนาหรือไม่นั้น การที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองเป็นอิหม่ามและบิหลั่นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองดำรงตำแหน่งดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย จนกระทั่งถึงขณะเกิดเหตุ โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 2 ประกาศทางเครื่องขยายเสียงต่อหน้าสัปปุรุษทั้งหลายในมัสยิดโดยใส่ความโจทก์ว่าเป็นอิหม่ามและบิหลั่นเถื่อนได้หลอกลวงสัปปุรุษมานานแล้ว เป็นการทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ทั้งมิใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตาม ป.อ. มาตรา 329 จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตาม มาตรา328.
จำเลยที่ 2 ประกาศทางเครื่องขยายเสียงต่อหน้าสัปปุรุษทั้งหลายในมัสยิดโดยใส่ความโจทก์ว่าเป็นอิหม่ามและบิหลั่นเถื่อนได้หลอกลวงสัปปุรุษมานานแล้ว เป็นการทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ทั้งมิใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตาม ป.อ. มาตรา 329 จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตาม มาตรา328.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3144/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของอิหม่าม-บิหลั่น และความผิดฐานหมิ่นประมาทจากการกล่าวหาเท็จต่อหน้าสาธารณชน
ปัญหาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานก่อความวุ่นวายในการกระทำพิธี กรรมตามศาสนาหรือไม่นั้น การที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองเป็นอิหม่าม และบิหลั่นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เมื่อฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองดำรง ตำแหน่งดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย จนกระทั่งถึงขณะเกิดเหตุ โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 2 ประกาศทางเครื่องขยายเสียงต่อหน้าสัปบรุษ ทั้งหลายในมัสยิดโดยใส่ความโจทก์ว่าเป็นอิหม่าม และบิหลั่นเถื่อน ได้หลอกลวงสัปบรุษ มานานแล้ว เป็นการทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ทั้งมิใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามป.อ. มาตรา 329 จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตาม มาตรา 328.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1953/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคำร้องทุกข์ในคดีความผิดทางเพศและการพิจารณาอำนาจฟ้องของศาล
ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนตามกันมาให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร กระทำอนาจาร ข่มขืนใจผู้อื่น และหน่วงเหนี่ยวกักขัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278,281,284,309และ 310 กับฐานมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7,8 ทวิ,72 และ 72 ทวิ รวม 3 กระทงเรียงกระทงลงโทษ กระทงละไม่เกิน 5 ปี โดยเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278,281,284,309,310 เป็นความผิดกรรมเดียวต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 284 ซึ่งเป็นบทหนัก คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยอุทธรณ์และอ้างว่า ผู้เสียหายยื่นคำแถลงขอถอนคำร้องทุกข์สำหรับความผิดต่อส่วนตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 แล้ว ซึ่งถ้าเป็นความจริง โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดดังกล่าว แต่โจทก์มิได้รับรองว่าเป็นคำแถลงขอถอนคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายที่แท้จริง ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์มิได้สั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสอบถามผู้เสียหายเพื่อให้ยืนยันคำแถลงดังกล่าว จึงเป็นการมิชอบ.
จำเลยอุทธรณ์และอ้างว่า ผู้เสียหายยื่นคำแถลงขอถอนคำร้องทุกข์สำหรับความผิดต่อส่วนตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 แล้ว ซึ่งถ้าเป็นความจริง โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดดังกล่าว แต่โจทก์มิได้รับรองว่าเป็นคำแถลงขอถอนคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายที่แท้จริง ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์มิได้สั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสอบถามผู้เสียหายเพื่อให้ยืนยันคำแถลงดังกล่าว จึงเป็นการมิชอบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1953/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายมีผลต่ออำนาจฟ้องคดีอาญาหรือไม่ ศาลต้องสอบถามความจริงก่อนพิพากษา
ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนตามกันมาให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร กระทำอนาจาร ข่มขืนใจผู้อื่น และหน่วงเหนี่ยวกักขัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 281, 284, 309และ 310 กับฐานมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72 และ 72 ทวิ รวม 3 กระทง เรียงกระทงลงโทษ กระทงละไม่เกิน 5 ปี โดยเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 281, 284, 309, 310 เป็นความผิดกรรมเดียวต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 284 ซึ่งเป็นบทหนัก คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยอุทธรณ์และอ้างว่า ผู้เสียหายยื่นคำแถลงขอถอนคำร้องทุกข์สำหรับความผิดต่อส่วนตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 แล้ว ซึ่งถ้าเป็นความจริง โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดดังกล่าว แต่โจทก์มิได้รับรองว่าเป็นคำแถลงขอถอนคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายที่แท้จริง ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์มิได้สั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสอบถามผู้เสียหายเพื่อให้ยืนยันคำแถลงดังกล่าว จึงเป็นการมิชอบ
จำเลยอุทธรณ์และอ้างว่า ผู้เสียหายยื่นคำแถลงขอถอนคำร้องทุกข์สำหรับความผิดต่อส่วนตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 แล้ว ซึ่งถ้าเป็นความจริง โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดดังกล่าว แต่โจทก์มิได้รับรองว่าเป็นคำแถลงขอถอนคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายที่แท้จริง ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์มิได้สั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสอบถามผู้เสียหายเพื่อให้ยืนยันคำแถลงดังกล่าว จึงเป็นการมิชอบ