คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 86

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 790 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3446/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันภัย: การตกลงรับประกันภัยมีผลผูกพันตั้งแต่ตกลง แม้จะยังมิได้ออกกรมธรรม์
จำเลยเป็นนิติบุคคลอ้างตัวเองเป็นพยาน โดยไม่ระบุชัดเจนว่าผู้ใดจะมาเบิกความแทนจำเลย เมื่อจำเลยนำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการประกันภัยของจำเลยเข้าเบิกความไปแล้ว จำเลยจะย้อนไปนำส. กรรมการคนหนึ่งของจำเลยเข้าเบิกความอีกโดยไม่แสดงเหตุผลและความจำเป็น ที่จำเลยต้องนำ ส. เข้าเบิกความหลังพยานอื่นหาได้ไม่ การที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีเพื่อนำ ส.เข้าเบิกความ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบแล้ว จำเลยขอเลื่อนคดีเพื่อจะนำ ว. เจ้าหน้าที่สำนักงานประกันภัยเข้าเบิกความแต่จากการที่ศาลสอบโจทก์ปรากฏว่าโจทก์เคยร้องเรียนไปยังสำนักงานประกันภัยให้สั่งจำเลยใช้เงินตามกรมธรรม์ประกันภัยแก่โจทก์ แต่สำนักงานประกันภัยแจ้งว่าสินค้าสูญหายก่อนที่จะออกกรมธรรม์ประกันภัย ไม่อาจสั่งให้จำเลยจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบ ว. พยานจำเลยจึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบแล้วเช่นเดียวกัน การที่ศาลจะให้สืบพยานหลักฐานต่อไปหรือเห็นว่าเพียงพอแล้วจะให้งดเสียหรือไม่เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาสั่งได้ตามควรแก่กรณีแห่งเรื่อง เพื่อให้คดี ดำเนิน ไปโดยรวดเร็วและยุติธรรม โจทก์กับจำเลยเคยติดต่อทำสัญญาประกันภัยกันหลายครั้งโดยผ่านส.ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยโดยส. จะไปรับสำเนาหนังสือเลตเตอร์ออฟเครดิตจากโจทก์เพื่อกรอกข้อความในกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับการประกันภัยสินค้ารายพิพาทโจทก์ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับที่เคยปฏิบัติมา โดยในวันที่ 22 สิงหาคม 2528 โจทก์แจ้งให้ ส.ไปรับสำเนาเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อทำประกันภัยสินค้ารายพิพาทเมื่อ ส. ได้รับมาแล้วได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ของจำเลยทราบว่ามีประกันภัยทางทะเลของโจทก์ 3 ราย พร้อมทั้งแจ้งรายละเอียดให้ทราบด้วย เจ้าหน้าที่ของจำเลยจะส่งคนไปรับสำเนาเลตเตอร์ออฟเครดิตแต่ในวันนั้นไม่มีผู้ใดไปรับจนกระทั่งวันที่ 26 สิงหาคม 2528เจ้าหน้าที่ของจำเลยจึงไปรับและนำกรมธรรม์ประกันภัยรายพิพาทมามอบให้ ส.ส. มอบให้โจทก์ในวันที่ 28 สิงหาคม 2528แต่ปรากฏว่าเรือบรรทุกสินค้าได้อัปปาง ลงเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม2528 พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า โจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาประกันภัยตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2528 โดยฝ่าย ส. ตัวแทนของจำเลย แม้จำเลยจะออกกรมธรรม์ประกันภัยในภายหลัง ความรับผิดของจำเลยย่อมเริ่มตั้งแต่เมื่อได้เริ่มตกลงรับประกันภัยไว้เป็นต้นไป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2583/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้มีชื่อในโฉนดต้องรับผิดชอบภาษีจากการขายที่ดิน แม้มีการร่วมลงทุน
โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน อันก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมินแต่เพียงผู้เดียว และโจทก์เป็นผู้รับเงินได้พึงประเมินจากการขายที่ดินโฉนดดังกล่าว โจทก์จึงต้องเสียภาษีเงินได้ และภาษีการค้าโดยคิดจากจำนวนเงินที่ขายที่ดินได้ทั้งหมดตาม ป.รัษฎากร มาตรา 61 และมาตรา 87(1) ที่โจทก์อ้างว่าได้ร่วมลงทุนกับ ล. โจทก์ประสงค์จะสืบพยานต่อไปก็ไม่ทำให้โจทก์พ้นจากหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้และภาษีการค้าจากการขายที่ดินทั้งหมด ดังนี้ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งตัดพยาน จึงชอบแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1070/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุไม่อนุญาตให้สืบพยานเพิ่มเติมหลังทนายจำเลยมาสาย และการฟ้องขับไล่โดยอ้างกรรมสิทธิ์
การที่ทนายจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเพราะจงใจกระทำผิดกฎหมายโดยขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย และการที่ทนายจำเลยไปถึงศาลชั้นต้นช้า กว่าเวลานัดถึง40 นาที แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ศาลชั้นต้นยังอ่านรายงานกระบวนพิจารณาไม่จบก็ตาม ก็ไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบอีกต่อไป โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากห้องแถวพิพาทซึ่งจำเลยเช่าจากเจ้าของเดิม และเจ้าของเดิม ขายให้โจทก์แล้ว เป็นการฟ้องโดยอาศัยความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องแถวพิพาท มิใช่ฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาเช่า อันจะต้องใช้สัญญาเช่าเป็นพยานหลักฐานในคดี ฉะนั้นปัญหาที่ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ปิดอากรแสตมป์เสียเอง โดยไม่ส่งไปให้เจ้าหน้าที่สรรพากรปรับ จึงไม่ใช่ปัญหาสำคัญ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1070/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุสุดวิสัย-การงดสืบพยาน และผลของการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอากรแสตมป์ในคดีขับไล่
เหตุสุดวิสัยหมายถึงเหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นหรือให้ผลพิบัติโดยไม่มีใครจะอาจป้องกันได้ แม้ทั้งผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้นจะได้จัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายได้จากบุคคลนั้นในฐานะเช่นนั้น การที่ทนายจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเพราะทนายจำเลยจงใจกระทำผิดกฎหมายโดยขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดจึงถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย คดีฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากห้องแถวพิพาทซึ่งจำเลยเช่าจากเจ้าของเดิมและเจ้าของเดิมขายให้โจทก์แล้ว เป็นการฟ้องโดยอาศัยความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องแถวพิพาท มิได้ฟ้องขอให้บังคับตามสัญญาเช่า มิใช่กรณีที่จะต้องใช้สัญญาเช่าเป็นพยานหลักฐานในคดี การที่สัญญาเช่าจะปิดอากรแสตมป์โดยไม่ชอบทำให้รับฟังไม่ได้หรือไม่จึงไม่ใช่สาระสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดีอย่างใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1028/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประวิงคดีตัดพยาน-หน้าที่นำสืบ: จำเลยอ้างพยานแต่ไม่ขอหมายเรียก-การซื้อสินค้าตัวการตัวแทน
จำเลยระบุอ้างพยานหมายไว้ในบัญชีระบุพยานของตน แต่มิได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานปากดังกล่าวมาเบิกความ ครั้นถึงวันนัดจำเลยขอเลื่อนคดีโดยรับรองต่อศาลว่าจะไม่เลื่อนคดีอีก และจะนำพยานทุกปากมาสืบพร้อมกัน ซึ่งศาลชั้นต้นได้กำชับไว้แล้วว่าจะไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีอีก ถึงวันนัดจำเลยขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุผลว่าไม่สามารถนำพยานมาศาลได้โดยจำเลยมิได้ขอให้ศาลออกหมายเรียกพยานปากดังกล่าวมาศาล เช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นการประวิงคดี ศาลตัดพยานปากนี้เสียได้
คดีมีประเด็นว่า จำเลยซื้อสินค้าไปจากโจทก์หรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบ แต่ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประเด็นดังกล่าว โจทก์ฟ้องว่าจำเลยติดต่อซื้อท่อระบายน้ำจากโจทก์ ส่วนจำเลยให้การว่า จำเลยติดต่อซื้อท่อระบายน้ำจากโจทก์แทนบริษัท น.ซึ่งเป็นตัวการ อันเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้าง ดังนี้ ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานตามหน้าที่นำสืบที่ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นคดี และการนำสืบปฏิเสธนอกคำให้การไม่อาจรับฟังได้
แม้จะให้จำเลยสืบพยานไปและได้ความตามที่จำเลยอ้าง ก็ไม่เกี่ยวกับประเด็นโดยตรงในคดีกับเป็นเพียงพยานบอกเล่าซึ่งมีน้ำหนักน้อย หากจะให้นำเข้าสืบ ก็ไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งงดสืบพยานดังกล่าวเสียได้ จำเลยให้การว่า ไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์ โจทก์สมคบกับบุคคลอื่นทำสัญญากู้เงินขึ้นและลงลายมือชื่อของจำเลย แต่กลับนำสืบว่าลายมือชื่อในช่องผู้กู้ตามสัญญากู้เงินเป็นลายมือชื่อจำเลยที่ลงไว้ในกระดาษเปล่าตอนกู้เงินจากบุคคลอื่นเป็นการนำสืบปฏิเสธนอกคำให้การ ไม่อาจรับฟังได้ ข้อที่จำเลยฎีกาว่าลายมือเขียนในสำเนาเอกสารแนบท้ายฎีกาเป็นลายมือเขียนของโจทก์แตกต่างกับลายมือเขียนในสัญญากู้เงินซึ่งโจทก์นำสืบว่าโจทก์เป็นผู้เขียนนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6297/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ที่นำไปฝากไว้กับผู้อื่น: สิทธิในการฟ้องคดีและการใช้สิทธิโดยสุจริต
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยนำยึดทรัพย์สินของโจทก์อ้างว่าเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ขอให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การว่าทรัพย์สินที่นำยึดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เช่นนี้ ข้อที่ว่าทรัพย์สินที่นำยึดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ไม่ใช่ของโจทก์ และลูกหนี้ตามคำพิพากษานำไปฝากโจทก์ไว้หรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่โต้เถียงกันอยู่ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้ความอย่างหนึ่งอย่างใดเสียก่อนแล้วจึงจะวินิจฉัยได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ไม่ควรงดสืบพยานโจทก์จำเลย
เมื่อโจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะเข้าใจว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิก็ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีได้ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6297/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สิน - การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของ - สิทธิในการฟ้องคดี - การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยนำยึดทรัพย์สินของโจทก์อ้างว่าเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ขอให้ใช้ค่าเสียหายจำเลยให้การว่าทรัพย์สินที่นำยึดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเช่นนี้ ข้อที่ว่าทรัพย์สินที่นำยึดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่ของโจทก์ และลูกหนี้ตามคำพิพากษานำไปฝากโจทก์ไว้หรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่โต้เถียงกันอยู่ ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงให้ได้ความอย่างหนึ่งอย่างใดเสียก่อนแล้วจึงจะวินิจฉัยได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ไม่ควรงดสืบพยานโจทก์จำเลย เมื่อโจทก์มีเหตุอันสมควรที่จะเข้าใจว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิก็ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีได้ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5558/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน มิฉะนั้นบังคับได้เพียง 3 ปี
จำเลยเช่าที่ดินของ ห. มีกำหนด 10 ปี โดยทำสัญญาเป็นหนังสือแต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงมีผลบังคับกันได้เพียง 3 ปี ที่จำเลยให้การว่ากำหนดเวลาเช่าที่เกินกว่า 3 ปีเป็นคำมั่นซึ่งมีผลบังคับ ห.ได้จึงมีผลบังคับพ. ผู้รับโอนที่ดินจาก ห. ด้วยนั้น ไม่มีบทกฎหมายรับรองสิทธิให้บังคับตามที่จำเลยให้การ ศาลชอบที่จะพิพากษาคดีได้โดยไม่จำต้องสืบพยาน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5558/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปีต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน หากไม่จดทะเบียน สิทธิบังคับได้เพียง 3 ปี
จำเลยเช่าที่ดินของ ห. มีกำหนด 10 ปี โดยทำสัญญาเป็นหนังสือแต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงมีผลบังคับกันได้เพียง 3 ปี ที่จำเลยให้การว่ากำหนดเวลาเช่าที่เกินกว่า 3 ปีเป็นคำมั่นซึ่งมีผลบังคับ ห. ได้ จึงมีผลบังคับ พ. ผู้รับโอนที่ดินจาก ห. ด้วยนั้น ไม่มีบทกฎหมายรับรองสิทธิให้บังคับตามที่จำเลยให้การ ศาลชอบที่จะพิพากษาคดีได้โดยไม่จำต้องสืบพยาน.
of 79