พบผลลัพธ์ทั้งหมด 790 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 946/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นธรรม การเลิกจ้างขัดต่อกฎหมายแรงงานสัมพันธ์
ประกาศของจำเลยเรื่องการลาออกเนื่องจากเกษียณอายุกำหนดให้พนักงานตั้งแต่หัวหน้าแผนกขึ้นไปที่มีอายุครบ 60 ปี เกษียณอายุในวันสิ้นรอบปีบัญชีของจำเลย เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มาตรา 10 การที่จำเลยออกระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับต่อมากำหนดให้พนักงานหญิงเกษียณเมื่ออายุครบ 45 ปี เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างหญิง และจำเลยมิได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มาตรา 13 ถึงมาตรา 19 ระเบียบและข้อบังคับฉบับหลังจึงไม่มีผลบังคับเพราะขัดกับมาตรา 20 จำเลยจะให้โจทก์ซึ่งมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกของจำเลยออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุก่อนโจทก์มีอายุครบ 60 ปีหาได้ไม่ การเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ศาลแรงงานกลางเห็นว่าเอกสารท้ายฟ้องและที่คู่ความส่งต่อศาลกับคำแถลงของคู่ความเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ จึงสั่งงดสืบพยานคู่ความ แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพิพากษายกฟ้อง เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำนวนเงินประเภทต่าง ๆ ที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางยังมิได้พิจารณาศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาใหม่ในส่วนนี้.
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ศาลแรงงานกลางเห็นว่าเอกสารท้ายฟ้องและที่คู่ความส่งต่อศาลกับคำแถลงของคู่ความเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้ จึงสั่งงดสืบพยานคู่ความ แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพิพากษายกฟ้อง เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำนวนเงินประเภทต่าง ๆ ที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางยังมิได้พิจารณาศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพิพากษาใหม่ในส่วนนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 864/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการครอบครองปรปักษ์ vs. เจ้าหนี้ที่บังคับคดี: การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยไม่จดทะเบียนและผลกระทบต่อบุคคลภายนอก
ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสองบัญญัติว่า สิทธิของผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมและยังมิได้จดทะเบียนสิทธิต้องห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว โจทก์เป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้นำยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ โจทก์จึงมิใช่ผู้ที่ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิแล้วตามความในมาตราดังกล่าว โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินซึ่งมีชื่อ จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม 23 โฉนด เพื่อบังคับตามคำพิพากษาระหว่างบังคับคดี ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ต่อมาผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ในคดีนี้อ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 23 โฉนด โดยการครอบครองปรปักษ์เช่นกัน ดังนี้มิใช่เรื่องฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 เพราะคำร้องขัดทรัพย์เป็นเรื่องผู้ร้องพิพาทกับโจทก์และมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า จะปล่อยทรัพย์ที่ยึดหรือไม่ ส่วนคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลย มิได้ฟ้องโจทก์ด้วยทั้งมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าที่ดินทั้ง 23 โฉนด เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหรือไม่ ไม่ชอบที่ศาลจะสั่งงดสืบพยานของผู้ร้องแล้วพิพากษายกคำร้องเสียสมควรฟังข้อเท็จจริงต่อไปให้สิ้นกระแสความก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกทรัพย์สินสมรสโดยเสน่หา และผลกระทบต่อสิทธิในทรัพย์สินหลังหย่า
จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้เรื่องนิติกรรมอำพรางไว้ในคำให้การ ทั้งในวันชี้สองสถานจำเลยยังแถลงรับว่าเดิม จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจาก ณ.และต่อมาได้จดทะเบียนยกให้โจทก์โดยเสน่หา หลังจากนั้นโจทก์จำเลยจึงจดทะเบียนหย่ากัน จึงรับฟังได้ว่าจำเลยยกที่ดินดังกล่าวให้โจทก์โดยเจตนาที่แท้จริง ไม่มีปัญหาเรื่องนิติกรรมอำพราง ข้อเท็จจริงที่ศาลได้จากการตรวจคำฟ้อง คำให้การ ฟ้องแย้ง และคำให้การแก้ฟ้องแย้งรวมตลอดทั้งสอบถามคู่ความในชั้นชี้สองสถานเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว ศาลชอบที่จะงดสืบพยานโจทก์เสียได้ไม่จำต้องสืบพยานให้ได้ความว่าการยกที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นนิติกรรมอำพรางหรือไม่. เมื่อจำเลยยกทรัพย์สินซึ่งเป็นสินสมรสส่วนของตนทั้งหมดให้แก่โจทก์และโจทก์ได้รับทรัพย์สินมาในระหว่างสมรส ดังนี้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1471(3) ให้ถือว่าทรัพย์ที่ได้มานั้นเป็นสินส่วนตัว และบทบัญญัติมาตรานี้มิได้ใช้บังคับแต่เฉพาะกรณีที่บุคคลภายนอกเป็นผู้ยกทรัพย์สินให้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกรณีที่สามีภริยายกทรัพย์สินให้แก่กันด้วย จำเลยจึงไม่มีสิทธิในทรัพย์สินดังกล่าวอีกต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลายมือชื่อหลายแบบไม่อาจใช้พิสูจน์ความผิด พยานหลักฐานอื่นเพียงพอวินิจฉัยได้
เมื่อพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมาพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้วแม้ผู้เชี่ยวชาญจะตรวจลายมือชื่อจำเลยในเอกสารก็ไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดีของจำเลย เพราะจำเลยเบิกความรับอยู่แล้วว่าลายมือชื่อจำเลยแตก ต่างกันบ้าง และตัวอย่างลายมือชื่อที่จำเลยให้ไว้แก่ธนาคารโจทก์กับตัวอย่างลายมือชื่อที่จำเลยขอให้ศาลหมายเรียกมาจากธนาคารอื่นก็ไม่เหมือนกัน แสดงว่าจำเลยเขียนลายมือชื่อหลายแบบจึงไม่จำเป็นต้องให้พยานผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของจำเลยไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 267/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยคดีลายมือชื่อ แม้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ก็ไม่เป็นประโยชน์ หากพยานหลักฐานอื่นเพียงพอต่อการวินิจฉัย
เมื่อพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมาพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้วแม้ผู้เชี่ยวชาญจะตรวจลายมือชื่อจำเลยในเอกสารก็ไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดีของจำเลย เพราะจำเลยเบิกความรับอยู่แล้วว่าลายมือชื่อจำเลยแตกต่างกันบ้าง และตัวอย่างลายมือชื่อที่จำเลยให้ไว้แก่ธนาคารโจทก์กับตัวอย่างลายมือชื่อที่จำเลยขอให้ศาลหมายเรียกมาจากธนาคารอื่นก็ไม่เหมือนกัน แสดงว่าจำเลยเขียนลายมือชื่อหลายแบบ จึงไม่จำเป็นต้องให้พยานผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของจำเลยไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 247/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประวิงคดีโดยจำเลยและการงดสืบพยาน: ศาลมีอำนาจงดสืบพยานได้หากจำเลยแสดงพฤติการณ์ประวิงคดี
การที่จำเลยขอเลื่อนคดี ในชั้นสืบพยานจำเลยไปถึงสี่นัด โดยนัดแรกอ้างว่ายังไม่ได้ระบุพยานเอกสาร นัดที่สองและนัดที่สามอ้างว่าทนายจำเลยติดว่าความคดีอื่นและพยานจำเลยไม่มาศาล และนัดที่สี่อ้างว่า พยานจำเลยไม่มาศาล เพราะทนายจำเลยยังไม่ได้แจ้งวันนัดให้ทราบเป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่า จำเลยประวิงคดี ศาลสั่งงดสืบพยานจำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 205/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้คดีเช็คพิพาทเรื่องดอกเบี้ยเกินกฎหมาย ศาลต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงก่อนพิพากษา
จำเลยที่ 1 ที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยรวมเอาดอกเบี้ยที่เรียกเกินกฎหมายไว้ด้วยจำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาซึ่งจะถือว่าจำเลยที่ 3 รับตามฟ้องไม่ได้ แม้โจทก์จะได้ส่งคำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาต่อศาลเพื่อแสดงว่า กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยออกเช็คพิพาทแล้วนำไปแลกเงินสด การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราจึงไม่เป็นการต้องห้ามเพราะไม่ใช่เรื่องกู้ยืมเงินก็เป็นเพียงคำบอกเล่า ศาลชอบที่จะให้โจทก์นำสืบให้ได้ความตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์จึงไม่ชอบ.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 205/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้คดีเช็คโดยอ้างว่าดอกเบี้ยเกินกฎหมาย ศาลต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่าเช็คที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากมูลหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยรวมเอาดอกเบี้ยที่เรียกเกินกฎหมายไว้ด้วยจำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ซึ่งจะถือว่าจำเลยที่ 3 รับตามฟ้องไม่ได้ แม้โจทก์จะได้ส่งคำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องในคดีอาญาต่อศาลเพื่อแสดงว่า กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยออกเช็คพิพาทแล้วนำไปแลกเงินสด การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราจึงไม่เป็นการต้องห้ามเพราะไม่ใช่เรื่องกู้ยืมเงินก็เป็นเพียงคำบอกเล่า ศาลชอบที่จะให้โจทก์นำสืบให้ได้ความตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์จึงไม่ชอบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาคดีขับไล่มีผลผูกพันคดีโมฆะสัญญาขายฝาก ศาลงดสืบพยานได้
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นโมฆะ ปรากฏว่ากรณีเดียวกันนี้ จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ (คดีนี้) เป็นอีกคดีหนึ่ง ประเด็นคดีดังกล่าวและประเด็นแรกของคดีนี้ตรงกันว่า การขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นโมฆะหรือไม่ เมื่อในคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของโจทก์ (คดีนี้) รับฟังไม่ได้ พิพากษายืนให้ขับไล่โจทก์ (คดีนี้) ก็เท่ากับศาลฎีกาฟังว่าการขายฝากไม่เป็นโมฆะ ทั้งฝ่ายจำเลยก็อ้างสำนวนดังกล่าวเป็นพยานในคดีนี้ด้วย ข้อเท็จจริงจึงเพียงพอที่จะนำมาวินิจฉัยประเด็นข้อแรกของคดีนี้แล้ว ไม่จำต้องสืบพยาน และเมื่อประเด็นอีกสองข้อเป็นปัญหาข้อกฎหมาย กับข้อที่เป็นผลมาจากการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว ซึ่งไม่ต้องสืบพยานเช่นเดียวกันฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานคดีนี้จึงชอบแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาคดีขับไล่มีผลผูกพันคดีโมฆะสัญญาขายฝาก ศาลงดสืบพยานได้
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นโมฆะ ปรากฏว่ากรณีเดียวกันนี้จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ (คดีนี้) เป็นอีกคดีหนึ่ง ประเด็นคดีดังกล่าวและประเด็นแรกของคดีนี้ตรงกันว่า การขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นโมฆะหรือไม่ เมื่อในคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของโจทก์ (คดีนี้) รับฟังไม่ได้ พิพากษายืนให้ขับไล่โจทก์ (คดีนี้) ก็เท่ากับศาลฎีกาฟังว่าการขายฝากไม่เป็นโมฆะ ทั้งฝ่ายจำเลยก็อ้างสำนวนดังกล่าวเป็นพยานในคดีนี้ด้วย ข้อเท็จจริงจึงเพียงพอที่จะนำมาวินิจฉัยประเด็นข้อแรกของคดีนี้แล้ว ไม่จำต้องสืบพยาน และเมื่อประเด็นอีกสองข้อเป็นปัญหาข้อกฎหมาย กับข้อที่เป็นผลมาจากการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว ซึ่งไม่ต้องสืบพยานเช่นเดียวกันฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานคดีนี้จึงชอบแล้ว.