พบผลลัพธ์ทั้งหมด 790 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2257/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนผู้จัดการมรดกจากกรณีละเลยหน้าที่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดก และการโอนขายทรัพย์สินโดยไม่ชอบ
ผู้จัดการมรดกแถลงรับว่าไม่ได้จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1728, 1729 แต่อ้างว่าเป็นคนจีนต้องให้ทนายความทำแทน ซึ่งไม่เป็นเหตุผลอันสมควรเพราะล่วงเลยเวลามาถึง 8 เดือนแล้ว และเมื่อศาลขยายเวลาให้อีก 1 เดือน ผู้จัดการมรดกก็ยังละเลยไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกเช่นเดิม โดยอ้างว่าผู้คัดค้านไปร้องคัดค้านในการที่ผู้จัดการมรดกจะขายที่ดินมรดก ซึ่งก็ไม่เป็นเหตุที่ทำให้ผู้จัดการมรดกไม่สามารถยื่นบัญชีทรัพย์ได้ พฤติการณ์ที่ปรากฏจากคำแถลงรับของผู้จัดการมรดกดังกล่าวข้างต้น เป็นการแสดงออกถึงความไม่สามารถอันเห็นประจักษ์ ศาลมีอำนาจถอนผู้จัดการมรดกเสียได้โดยไม่ต้องทำการไต่สวนสืบพยานอื่นอีกต่อไป
บัญชีทรัพย์มรดกที่ได้ยื่นไว้แล้วในวันยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่ใช่บัญชีทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1731 เพราะบัญชีทรัพย์มรดกตามมาตราดังกล่าว หมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยผู้จัดการมรดกภายหลังที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลแล้ว
การที่ผู้จัดการมรดกดำเนินการโอนขายที่ดินมรดกโดยยังไม่ได้ทำบัญชีทรัพย์มรดกไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1730, 1563 เพราะมิใช่เป็นการเร่งร้อนและจำเป็น
บัญชีทรัพย์มรดกที่ได้ยื่นไว้แล้วในวันยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่ใช่บัญชีทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1731 เพราะบัญชีทรัพย์มรดกตามมาตราดังกล่าว หมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยผู้จัดการมรดกภายหลังที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลแล้ว
การที่ผู้จัดการมรดกดำเนินการโอนขายที่ดินมรดกโดยยังไม่ได้ทำบัญชีทรัพย์มรดกไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1730, 1563 เพราะมิใช่เป็นการเร่งร้อนและจำเป็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2094/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาต่างตอบแทนกับการฟ้องขับไล่: การโอนสิทธิการเช่าทำให้โจทก์หมดอำนาจฟ้องหรือไม่
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและอาคารที่ให้จำเลยอาศัยจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์โอนสิทธิการเช่าที่ดินและอาคารให้จำเลยแล้ว โดยโจทก์เรียกเงินสองหมื่นบาทเป็นค่าตอบแทนในการโอนสิทธิการเช่า จึงเกิดประเด็นข้อพิพาทขึ้นว่า โจทก์โอนสิทธิการเช่าที่ดินและอาคารให้จำเลยโดยได้เรียกเงินค่าโอนกัน 20,000 บาทจริงหรือไม่ ซึ่งตรงกับที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นไว้ว่า จำเลยเข้าอยู่ในห้องพิพาทเป็นสัญญาต่างตอบแทนหรือไม่นั่นเอง หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยต่อสู้ก็ต้องถือว่ามีสัญญาต่างตอบแทนกันจริง มิใช่โจทก์ให้จำเลยเข้าอยู่อาศัยตามฟ้อง และเมื่อสัญญามีผลผูกพันโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาก็จะทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยด้วย จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะฟังข้อเท็จจริงให้สิ้นกระแสความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1944/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย: พฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตามมาตรา 1529(5) และการงดสืบพยาน
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า โจทก์จำเลยได้เสียเป็นสามีภรรยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส เกิดบุตรด้วยกันคนหนึ่ง เมื่อเกิดบุตรแล้วก็ได้แจ้งสูติบัตรและโจทก์แถลงรับข้อเท็จจริงในชั้นชี้สองสถานว่าโจทก์จำเลยได้เสียกัน ในโรงแรมแล้วโจทก์เองเป็นผู้ไปแจ้งการเกิดของบุตรเพื่อออกสูติบัตร ดังนี้ แม้จะมีการสืบพยานโจทก์และฟังข้อเท็จจริงได้ตามคำฟ้องดังกล่าวประกอบกับคำแถลงรับของโจทก์ กรณีก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปว่าเด็กนั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของจำเลยตามมาตรา 1529 (5) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่มีเหตุที่จะให้มีการสืบพยาน ศาลชั้นต้นชอบที่จะให้งดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 967/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาทจากการเล่นแชร์ล้ม: ผู้ทรงโดยชอบตามกฎหมายมีสิทธิเรียกเงินได้ทันที
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คจำนวน 10,000 บาทซึ่งจำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยให้การว่าเช็คตามฟ้องไม่สมบูรณ์เพราะจำเลยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่าย โจทก์หรือบุคคลอื่นไม่ได้ตกลงกับจำเลยให้ลงวันที่สั่งจ่ายตามที่ปรากฏ เช็คพิพาทและเช็คอื่นๆ อีก 13 ฉบับๆ ละ 10,000 บาทจำเลยออกให้ ฮ.หัวหน้าวงแชร์เนื่องจากจำเลยประมูลแชร์ได้เพื่อให้ ฮ. นำเช็คนั้นไปมอบให้ลูกวงแชร์คนอื่นๆ ถือไว้เป็นประกัน และ ฮ. ต้องเก็บเงินจากลูกวงมามอบให้จำเลย แต่ ฮ. เก็บเงินมาให้จำเลยขาดไป28,000 บาท อ้างว่าลูกวงแชร์ยังไม่จ่ายให้แล้ว ฮ. หลบหนีไป โจทก์เล่นแชร์ด้วยผู้หนึ่งยังไม่ได้ประมูลหากโจทก์ประมูลได้ต้องมอบเช็คให้ ฮ. มาเก็บเงินจากจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำไปขึ้นเงิน หากโจทก์รับโอนเช็คก็รับโอนโดยไม่สุจริต ดังนี้ ตามคำให้การจำเลยแสดงว่า ฮ. ได้เก็บเงินค่าแชร์จากโจทก์มอบให้จำเลยไปแล้วเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่จำเลยยืมตามวิธีเล่นแชร์ซึ่งจำเลยจะต้องใช้คืนโจทก์เมื่อโจทก์ประมูลแชร์ได้เป็นการจ่ายเช็คโดยมีเจตนาจะให้ผูกพันชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่ตามคำให้การจำเลยแสดงว่าวงแชร์ล้มและนายวงหลบหนี ถือได้ว่าการเล่นแชร์เลิกกันไป โจทก์จึงชอบที่จะเรียกให้จำเลยชำระเงินยืมได้ทันทีดังนั้นตั้งแต่วันแชร์ล้มโจทก์ชอบที่จะลงวันสั่งจ่ายในเช็คและนำไปขึ้นเงินจากธนาคารได้ ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย และวันสั่งจ่ายที่ลงในเช็คเป็นวันที่ถูกต้องแท้จริง จำเลยผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดต่อโจทก์ตามข้อความในเช็คไม่จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงอื่นใดต่อไปอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 967/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่สมบูรณ์แต่ใช้ได้เมื่อวงแชร์ล้ม ผู้ทรงเช็คมีสิทธิเรียกเงินได้ทันที
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คจำนวน 10,000 บาท ซึ่งจำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย จำเลยให้การว่าเช็คตามฟ้องไม่สมบูรณ์เพราะจำเลยไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่าย โจทก์หรือบุคคลอื่นไม่ได้ตกลงกับจำเลยให้ลงวันที่สั่งจ่ายตามที่ปรากฏ เช็คพิพาทและเช็คอื่น ๆ อีก 13 ฉบับ ๆ ละ 10,000 บาท จำเลยออกให้ ฮ. หัวหน้าวงแชร์เนื่องจากจำเลยประมูลแชร์ได้ เพื่อให้ ฮ. นำเช็คนั้นไปมอบให้ลูกวงแชร์คนอื่น ๆ ถือไว้เป็นประกัน และ ฮ. ต้องเก็บเงินจากลูกวงมามอบให้จำเลย แต่ ฮ. เก็บเงินมาให้จำเลยขาดไป 28,000 บาท อ้างว่าลูกวงแชร์ยังไม่จ่ายให้แล้วฮ. หลบหนีไป โจทก์เล่นแชร์ด้วยผู้หนึ่งยังไม่ได้ประมูล หากโจทก์ประมูลได้ต้องมอบเช็คให้ ฮ. มาเก็บเงินจากจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำไปขึ้นเงิน หากโจทก์รับโอนเช็คก็รับโอนโดยไม่สุจริต ดังนี้ ตามคำให้การจำเลยแสดงว่า ฮ. ได้เก็บเงินค่าแชร์จากโจทก์มอบให้จำเลยไปแล้ว เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่จำเลยยืมตามวิธีเล่นแชร์ซึ่งจำเลยจะต้องใช้คืนโจทก์เมื่อโจทก์ประมูลแชร์ได้ เป็นการจ่ายเช็คโดยมีเจตนาจะให้ผูกพันชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่ตามคำให้การจำเลยแสดงว่าวงแชร์ล้มและนายวงหลบหนี ถือได้ว่าการเล่นแชร์เลิกกันไป โจทก์จึงชอบที่จะเรียกให้จำเลยชำระเงินยืมได้ทันที ดังนั้น ตั้งแต่วันแชร์ล้มโจทก์ชอบที่จะลงวันที่สั่งจ่ายในเช็คและนำไปขึ้นเงินจากธนาคารได้ ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย และวันสั่งจ่ายที่ลงในเช็คเป็นวันที่ถูกต้องแท้จริง จำเลยผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดต่อโจทก์ตามข้อความในเช็ค ไม่จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงอื่นใดอีกต่อไปอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 805/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเลื่อนคดีและการถือว่าไม่มีพยานนำสืบ: ศาลฎีกาอนุญาตเลื่อนคดีได้แม้โจทก์ผิดนัด หากมีเหตุจำเป็นและไม่ถือว่าประวิงคดี
วัดนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยทราบนัดแล้วไม่มาศาล ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน วัดนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์มอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อน อ้างว่าติดว่าความที่ศาลอื่น ดังนี้ โจทก์ขอเลื่อนคดีครั้งแรก และจำเลยก็มิได้คัดค้านว่าไม่เป็นความจริง แม้โจทก์จะมีส่วนผิดที่ไม่มาศาลในวัดนัดชี้สองสถาน และโจทก์ควรจะได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีเสียก่อนวัดนัดสืบพยาน ก็ไม่พอถือว่าโจทก์ประวิงความ ประกอบกับเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม สมควรให้โจทก์เลื่อนคดี
ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีและถือว่าโจทก์ไม่มีพยานนำสืบ โจทก์โต้แย้งคำสั่งนั้นแล้ว จึงใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้
ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีและถือว่าโจทก์ไม่มีพยานนำสืบ โจทก์โต้แย้งคำสั่งนั้นแล้ว จึงใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2358/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาคดีใหม่และการประเมินค่าเสียหายจากความสูญเสียในการประกอบอาชีพ
กรณีที่จำเลยจะขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้จะต้องเป็นเรื่องที่จำเลยขาดนัดพิจารณาและศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเสียก่อน การที่จำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลย และศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยประวิงคดีไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่ติดใจนำพยานเข้าสืบนั้นมิใช่เรื่องจำเลยขาดนัดพิจารณาจำเลยจะขอให้พิจารณาคดีใหม่หาได้ไม่
แม้จะพิจารณาจากฎีกาของจำเลยที่ขอให้พิจารณาคดีดังกล่าวใหม่ว่าจำเลยมุ่งหมายที่จะให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีแล้วให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ แต่คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งจำเลยจะต้องโต้แย้งเสียก่อนจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เมื่อมิได้โต้แย้งไว้ก็อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ในข้อนี้ให้จำเลยก็หามีสิทธิฎีกาต่อมาไม่ ศาลฎีกาย่อมให้ยกฎีกาของจำเลยดังกล่าว
โจทก์เป็นผู้เยาว์ช่วยมารดาขายของ นำของไปเร่ขายวันหนึ่งมีกำไร 10 บาทแม้จะเป็นการช่วยมารดาขายของ ก็เป็นการประกอบอาชีพอันเป็นความสามารถในการประกอบการงานและทางทำมาหาได้ของโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์สามารถขายของมีกำไรวันละ 10 บาท และโจทก์ต้องเสียความสามารถดังกล่าวไปเพราะการละเมิดของจำเลย จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ อันเป็นค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วนทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 และในการคิดค่าเสียหาย ศาลชอบที่จะคิดจากการที่โจทก์เคยมีรายได้วันละ 10 บาทได้ หาใช่ว่าหากก่อนเกิดเหตุโจทก์ไม่ได้ทำงานทุกวัน จะต้องหักวันที่โจทก์ไม่ทำงานออกเสียก่อนไม่
แม้จะพิจารณาจากฎีกาของจำเลยที่ขอให้พิจารณาคดีดังกล่าวใหม่ว่าจำเลยมุ่งหมายที่จะให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีแล้วให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ แต่คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งจำเลยจะต้องโต้แย้งเสียก่อนจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เมื่อมิได้โต้แย้งไว้ก็อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ในข้อนี้ให้จำเลยก็หามีสิทธิฎีกาต่อมาไม่ ศาลฎีกาย่อมให้ยกฎีกาของจำเลยดังกล่าว
โจทก์เป็นผู้เยาว์ช่วยมารดาขายของ นำของไปเร่ขายวันหนึ่งมีกำไร 10 บาทแม้จะเป็นการช่วยมารดาขายของ ก็เป็นการประกอบอาชีพอันเป็นความสามารถในการประกอบการงานและทางทำมาหาได้ของโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์สามารถขายของมีกำไรวันละ 10 บาท และโจทก์ต้องเสียความสามารถดังกล่าวไปเพราะการละเมิดของจำเลย จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ อันเป็นค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วนทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 และในการคิดค่าเสียหาย ศาลชอบที่จะคิดจากการที่โจทก์เคยมีรายได้วันละ 10 บาทได้ หาใช่ว่าหากก่อนเกิดเหตุโจทก์ไม่ได้ทำงานทุกวัน จะต้องหักวันที่โจทก์ไม่ทำงานออกเสียก่อนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2358/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพิจารณาคดีใหม่ต้องเป็นกรณีขาดนัด และการชดใช้ค่าเสียหายจากความสูญเสียความสามารถในการทำมาหากิน
กรณีที่จำเลยจะขอให้พิจาณาคดีใหม่ได้จะต้องเป็นเรื่องที่จำเลยขาดนัดพิจารณาและศาลมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเสียก่อน การที่จำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลย และศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยประวิงคดีไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและถือว่าจำเลยไม่ติดใจนำพยานสืบนั้นมิใช่เรื่องจำเลยขาดนัดพิจารณาจำเลยจะขอให้พิจารณาคดีใหม่หาได้ไม่
แม้จะพิจารณาจากฎีกาของจำเลยที่ขอให้พิจารณาคดีดังกล่าวใหม่ว่าจำเลยมุ่งหมายที่จะให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีแล้วให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ แต่คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งจำเลยจะต้องโต้แย้งเสียก่อนจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เมื่อมิได้โต้แย้งไว้ก็อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ให้จำเลยก็หามีสิทธิฎีกาต่อมาไม่ ศาลฎีกาย่อมให้ยกฎีกาของจำเลยดังกล่าว
โจทก์เป็นผู้เยาว์ช่วยมารดาขายขอ นำของไปเร่ขายวันหนึ่งมีกำไร 10 บาท แม้จะเป็นการช่วยมารดาขายของ ก็เป็นการประกอบอาชีพอันเป็นความสามารถในการประกอบการงานและทางทำมาหาได้ของโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์สามารถขายของมีกำไรวันละ 10 บาท และโจทก์ต้องเสียความสามารถดังกล่าวไปเพราะการละเมิดของจำเลย จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ อันเป็นค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วนทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 และในการคิดค่าเสียหาย ศาลชอบที่จะคิดจากการที่โจทก์เคยมีรายได้วันละ 10 บาทได้ หาใช่ว่าหากก่อนเกิดเหตุโจทก์ไม่ได้ทำงานทุกวัน จะต้องหักวันที่โจทก์ไม่ทำงานออกเสียก่อนไม่
แม้จะพิจารณาจากฎีกาของจำเลยที่ขอให้พิจารณาคดีดังกล่าวใหม่ว่าจำเลยมุ่งหมายที่จะให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีแล้วให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ แต่คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งจำเลยจะต้องโต้แย้งเสียก่อนจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เมื่อมิได้โต้แย้งไว้ก็อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ให้จำเลยก็หามีสิทธิฎีกาต่อมาไม่ ศาลฎีกาย่อมให้ยกฎีกาของจำเลยดังกล่าว
โจทก์เป็นผู้เยาว์ช่วยมารดาขายขอ นำของไปเร่ขายวันหนึ่งมีกำไร 10 บาท แม้จะเป็นการช่วยมารดาขายของ ก็เป็นการประกอบอาชีพอันเป็นความสามารถในการประกอบการงานและทางทำมาหาได้ของโจทก์นั่นเอง เมื่อโจทก์สามารถขายของมีกำไรวันละ 10 บาท และโจทก์ต้องเสียความสามารถดังกล่าวไปเพราะการละเมิดของจำเลย จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ อันเป็นค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วนทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 และในการคิดค่าเสียหาย ศาลชอบที่จะคิดจากการที่โจทก์เคยมีรายได้วันละ 10 บาทได้ หาใช่ว่าหากก่อนเกิดเหตุโจทก์ไม่ได้ทำงานทุกวัน จะต้องหักวันที่โจทก์ไม่ทำงานออกเสียก่อนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1384/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายตั๋วแลกเงินลด การค้ำประกัน และการวินิจฉัยพยานของศาล
โจทก์ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการว่า จำเลยทั้งสองนำตั๋วแลกเงินของ อ.มาขายลดให้โจทก์ โดยตกลงว่าถ้าโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้จำเลยยอมชำระเงินตามตั๋วคืนให้โจทก์ โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จึงขอให้จำเลยร่วมกันชำระหนี้ เมื่อจำเลยให้การว่า อ.เป็นผู้ขายตั๋วแลกเงินให้โจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้ค้ำประกัน ดังนี้ การที่ศาลล่างฟังว่าจำเลยที่ 2 เชิด ช.เป็นตัวแทนของห้างจำเลยที่ 1 นำตั๋วแลกเงินไปขายลดแก่โจทก์ก็ดี และที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ช.ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันเป็นวิธีปฏิบัติของโจทก์ซึ่งเป็นธนาคารในกรณีที่จำเลยผู้เป็นลูกค้าเอาตั๋วแลกเงินของผู้อื่นมาขายลดให้ก็ดี เป็นอำนาจของศาลในการที่จะวินิจฉัยและเชื่อฟังพยานที่คู่ความนำสืบเพียงใด ไม่เป็นการฟังพยานไม่ชอบหรือนอกประเด็น
จำเลยฎีกาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (1) และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น แต่ข้อที่จำเลยฎีกาทั้งสองประการนี้ ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จำเลยก็ไม่โต้แย้งคัดค้าน ทั้งไม่ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย
จำเลยฎีกาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (1) และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น แต่ข้อที่จำเลยฎีกาทั้งสองประการนี้ ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จำเลยก็ไม่โต้แย้งคัดค้าน ทั้งไม่ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1384/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายตั๋วแลกเงินลด การค้ำประกัน และขอบเขตอำนาจศาลในการรับฟังพยาน
โจทก์ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการว่า จำเลยทั้งสองนำตั๋วแลกเงินของ อ. มาขายลดให้โจทก์ โดยตกลงว่าถ้าโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยยอมชำระเงินตามตั๋วคืนให้โจทก์ โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จึงขอให้จำเลยร่วมกันชำระหนี้ เมื่อจำเลยให้การว่า อ. เป็นผู้ขายตั๋วแลกเงินให้โจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้ค้ำประกัน ดังนี้การที่ศาลล่างฟังว่าจำเลยที่ 2 เชิด ซ. เป็นตัวแทนของห้างจำเลยที่ 1 นำตั๋วแลกเงินไปขายลดแก่โจทก์ก็ดี และที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ซ. ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันเป็นวิธีปฏิบัติของโจทก์ซึ่งเป็นธนาคาร ในกรณีที่จำเลยผู้เป็นลูกค้าเอาตั๋วแลกเงินของผู้อื่นมาขายลดให้ก็ดี เป็นอำนาจของศาลในการที่จะวินิจฉัยและเชื่อฟังพยานที่คู่ความนำสืบเพียงใด ไม่เป็นการฟังพยานไม่ชอบหรือนอกประเด็น
จำเลยฎีกาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น แต่ข้อที่จำเลยฎีกาทั้งสองประการนี้ ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จำเลยก็ไม่โต้แย้งคัดค้าน ทั้งไม่ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย
จำเลยฎีกาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น แต่ข้อที่จำเลยฎีกาทั้งสองประการนี้ ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จำเลยก็ไม่โต้แย้งคัดค้าน ทั้งไม่ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย