พบผลลัพธ์ทั้งหมด 790 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1544/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจำเลยในการนำสืบหักล้างข้อต่อสู้ทางแพ่ง แม้โจทก์มีพยานหลักฐานเบื้องต้น ศาลต้องเปิดโอกาสให้จำเลยสืบได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ จำเลยต่อสู้ว่าไม่เคยทำสัญญากู้ ไม่เคยรับเงินจากโจทก์ หากลายมือในสัญญากู้เป็นลายมือจำเลย ก็ขอต่อสู้ว่าโจทก์หลอกลวงให้เซ็น เมื่อสืบพยานโจทก์หมดแล้วจำเลยย่อมนำสืบหักล้างได้ตามข้อต่อสู้ อย่างน้อยจำเลยก็อาจที่จะอ้างตนเองเบิกความปฏิเสธการกู้เงินรายนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าอ้างประพฤติชั่วร้าย การพิจารณาหลักฐาน และการใช้เหตุประกอบฟ้อง
สามีฟ้องหย่ากับภริยากล่าวในฟ้องว่า ภริยาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โดยภริยาสมคบกับพี่สาวลักเช็คของสามี เงิน 3,000 บาท ไปและภริยายักยอกหรือฉ้อโกงเงินราชการกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 42,500 บาท 75 สตางค์ จำเลยให้การปฏิเสธ เช่นนี้ เป็นการสมควรที่ศาลจะได้ฟังพยานหลักฐานของคู่ความเสียก่อน เพราะถ้าได้ความจริงตามฟ้อง ก็อาจถือได้ว่าเป็นความประพฤติชั่วอย่างร้อยแรง ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500 (2) ได้
ฟ้องหย่าอ้างเหตุว่าภรรยาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฟ้องในข้อต่อมากล่าวว่าจำเลย ด่าท้าทายญาติพี่น้องตลอดถึงบุพพารีของโจทก์เมื่ออ่านรวมกับฟ้องทั้งหมดแล้วเป็นที่เห็นได้ว่า โจทก์อ้างเหตุนี้เป็นเพียงเหตุประกอบคำฟ้องของโจทก์ในตอนต้น ๆ เพื่อให้เห็นว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้องตอนต้นนั้น เป็นการประพฤติชั่วถึงขีดร้ายแรงเท่านั้น แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวว่าค่าท้าทายว่า อย่างไร โจทก์ก็นำสืบได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 26/2503)
ฟ้องหย่าอ้างเหตุว่าภรรยาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฟ้องในข้อต่อมากล่าวว่าจำเลย ด่าท้าทายญาติพี่น้องตลอดถึงบุพพารีของโจทก์เมื่ออ่านรวมกับฟ้องทั้งหมดแล้วเป็นที่เห็นได้ว่า โจทก์อ้างเหตุนี้เป็นเพียงเหตุประกอบคำฟ้องของโจทก์ในตอนต้น ๆ เพื่อให้เห็นว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้องตอนต้นนั้น เป็นการประพฤติชั่วถึงขีดร้ายแรงเท่านั้น แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวว่าค่าท้าทายว่า อย่างไร โจทก์ก็นำสืบได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 26/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าอ้างประพฤติชั่วร้าย: ศาลต้องรับฟังพยานหลักฐานก่อนพิจารณา
สามีฟ้องหย่ากับภริยาโดยกล่าวในฟ้องว่าภริยาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โดยภริยาสมคบกับพี่สาวลักเช็คของสามี เงิน 3,000 บาท ไป และภริยายักยอกหรือฉ้อโกงเงินราชการกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 42,500 บาท 75 สตางค์ จำเลยให้การปฏิเสธ เช่นนี้ เป็นการสมควรที่ศาลจะได้ฟังพยานหลักฐานของคู่ความเสียก่อนเพราะถ้าได้ความจริงตามฟ้อง ก็อาจถือได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(2) ได้
ฟ้องหย่าอ้างเหตุว่าภรรยาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฟ้องในข้อต่อมากล่าวว่าจำเลยด่าท้าทายญาติพี่น้องตลอดถึงบุพการีของโจทก์เมื่ออ่านรวมกับฟ้องทั้งหมดแล้วเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์อ้างเหตุนี้เป็นเพียงเหตุประกอบคำฟ้องของโจทก์ในตอนต้นๆ เพื่อให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยตามฟ้องตอนต้นนั้น เป็นการประพฤติชั่วถึงขีดร้ายแรงเท่านั้น แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวว่าด่าท้าทายว่าอย่างไร โจทก์ก็นำสืบได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 26/2503)
ฟ้องหย่าอ้างเหตุว่าภรรยาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฟ้องในข้อต่อมากล่าวว่าจำเลยด่าท้าทายญาติพี่น้องตลอดถึงบุพการีของโจทก์เมื่ออ่านรวมกับฟ้องทั้งหมดแล้วเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์อ้างเหตุนี้เป็นเพียงเหตุประกอบคำฟ้องของโจทก์ในตอนต้นๆ เพื่อให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยตามฟ้องตอนต้นนั้น เป็นการประพฤติชั่วถึงขีดร้ายแรงเท่านั้น แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวว่าด่าท้าทายว่าอย่างไร โจทก์ก็นำสืบได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 26/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นบัญชีระบุพยานหลังพ้นกำหนด ศาลพิจารณาเหตุผลและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
คดีแพ่ง เมื่อคู่ความไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนด หากศาลได้พิเคราะห์ถึงเหตุต่าง ๆ ที่อ้างในการขออนุญาตระบุพยานประกอบพฤติการณ์อย่างอื่นในสำนวน เห็นไม่สมควรอนุญาตให้ยื่นบัญชีระบุพยาน ศาลก็ไม่อนุญาต (เทียบดูกับฎีกาที่ 1034/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นบัญชีระบุพยานหลังพ้นกำหนด ศาลพิจารณาเหตุผลความจำเป็นและความสมเหตุสมผลประกอบการตัดสิน
คดีแพ่ง เมื่อคู่ความไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนดหากศาลได้พิเคราะห์ถึงเหตุต่างๆ ที่อ้างในการขออนุญาตระบุพยานประกอบพฤติการณ์อย่างอื่นในสำนวน เห็นไม่สมควรอนุญาตให้ยื่นบัญชีระบุพยาน ศาลก็ไม่อนุญาต (เทียบดูกับฎีกาที่ 1034/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานลักทรัพย์: การปรับบทลงโทษเมื่อกฎหมายใหม่ไม่ถือว่าการลักของใช้ราชการเป็นเหตุฉกรรจ์
เหตุเกิดในขณะใช้กฎหมายลักษณะอาญา จำเลยทั้ง 4 คนสมคบกันลักของใช้สำหรับราชการ และลักในเวลาค่ำคืน แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 มิได้บัญญัติว่าการลักของใช้ในราชการเป็นเหตุฉกรรจ์ของการลักทรัพย์ จึงลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 294(4) ไม่ได้(เทียบฎีกาที่ 535/2500) แต่ว่าโดยที่การกระทำของจำเลยยังเป็นเหตุฉกรรจ์ของการลักทรัพย์อยู่อีก 2 ประการ คือ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและร่วมกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ยังบัญญัติไว้ให้เป็นเหตุฉกรรจ์อยู่ในอนุมาตรา (1) และ (7) ซึ่งตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 293(1) และ (11) และโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 293 เบากว่าโทษในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 เช่นนี้ ต้องวางบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 293(1) และ(11)
ขณะนี้ผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ ยังมิใช่เป็นพยานหลักฐานทีศาลยุติธรรมจะรับฟังเป็นยุติ
ขณะนี้ผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ ยังมิใช่เป็นพยานหลักฐานทีศาลยุติธรรมจะรับฟังเป็นยุติ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานลักทรัพย์: เลือกใช้บทลงโทษเบากว่าเมื่อกฎหมายใหม่ไม่ถือเป็นเหตุฉกรรจ์
เหตุเกิดในขณะใช้กฎหมายลักษณะอาญา จำเลยทั้ง 4 คน สมคบกันลักของใช้สำหรับราชการ และลักในเวลาค่ำคืน แต่ประมวลกฎหมายอาญา ม.335 มิได้บัญญัติว่าการลักของใช้ในราชการเป็นเหตุฉกรรจ์ของการลักทรัพย์ จึงลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 294 (4) ไม่ได้ (เทียบฎีกาที่ 535/2500)
แต่ว่าโดยที่การกระทำของจำเลยยังเป็นเหตุฉกรรจ์ ของการลักทรัพย์อยู่อีก 2ประการคือ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และร่วมกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ซึ่งประมวลกฎหมาย ม. 335 ยังบัญญัติไว้ให้เป็นเหตุฉกรรจ์อยู่ในอนุมาตรา (1) และ (7) ซึ่งตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา ม.293(1) และ (11) และโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 เบากว่าโทษในประมวลกฎหมายอาญา ม.335 เช่นนี้ ต้องวางบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 (1) และ (11)
ขณะนี้ผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ ยังมิใช่เป็นพยานหลักฐานที่ศาลยุติธรรมจะรับฟังเป็นยุติ
แต่ว่าโดยที่การกระทำของจำเลยยังเป็นเหตุฉกรรจ์ ของการลักทรัพย์อยู่อีก 2ประการคือ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และร่วมกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ซึ่งประมวลกฎหมาย ม. 335 ยังบัญญัติไว้ให้เป็นเหตุฉกรรจ์อยู่ในอนุมาตรา (1) และ (7) ซึ่งตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา ม.293(1) และ (11) และโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 เบากว่าโทษในประมวลกฎหมายอาญา ม.335 เช่นนี้ ต้องวางบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 (1) และ (11)
ขณะนี้ผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ ยังมิใช่เป็นพยานหลักฐานที่ศาลยุติธรรมจะรับฟังเป็นยุติ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันที่ปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วนแต่แก้ไขครบก่อนฟ้อง ใช้เป็นหลักฐานได้
สัญญาค้ำประกันปิดอากรแสตมป์ในวันทำสัญญาไม่ครบถ้วน แต่ก่อนยื่นฟ้องได้ปิดเพิ่มเติมครบถ้วนและขีดฆ่าแล้ว ดังนี้ย่อมใช้สัญญาค้ำประกันนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ส่วนการที่จะต้องรับผิดเสียอากรเพิ่มนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันใช้เป็นพยานหลักฐานได้แม้ปิดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วนในวันทำสัญญา แต่ได้แก้ไขให้ถูกต้องก่อนฟ้อง
สัญญาค้ำประกันปิดอากรแสตมป์ในวันทำสัญญาไม่ครบถ้วนแต่ก่อนยื่นฟ้องได้ปิดเพิ่มเติมครบถ้วนและขีดฆ่าแล้ว ดังนี้ย่อมใช้สัญญาค้ำประกันนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ส่วนการที่จะต้องรับผิดเสียอากรเพิ่มนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละที่ดินเพื่อสร้างวัดและการได้มาซึ่งที่ดินโดยทางครอบครองของวัด
การที่เจ้าของที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่จัดสร้างวัดขึ้นในที่ดินแล้วถวายให้เป็นวัดและทางราชการได้ประกาศตั้งให้เป็นสำนักสงฆ์ตามพระะราชบัญญัติคณะสงฆ์แล้วก็ต้องถือว่าเป็นวัดตามกฎหมายวัดย่อมเป็นนิติบุคคลซึ่งมีสิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคลธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ วัดจึงอาจได้ที่ดินมาโดยทางครอบครองได้ (อ้างฎีกา1253/2481,944-945/2497)
เจ้าของที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญมอบการครอบครองที่ดินที่สร้างวัดและสิ่งปลูกสร้างถวายให้เป็นของวัดและวัดเข้าครอบครองแล้วก็ถือได้ว่าเจ้าของที่ดินสละการครอบครองไม่ต้องทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองให้แต่ประการใด (อ้างฎีกาที่ 541/2500)
เมื่อเจ้าของที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญสละการครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างถวายวัดซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแล้วเจ้าของที่ดินนั้นก็ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่หรือห้ามพระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ให้เป็นเจ้าอาวาสได้
เจ้าของที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญมอบการครอบครองที่ดินที่สร้างวัดและสิ่งปลูกสร้างถวายให้เป็นของวัดและวัดเข้าครอบครองแล้วก็ถือได้ว่าเจ้าของที่ดินสละการครอบครองไม่ต้องทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองให้แต่ประการใด (อ้างฎีกาที่ 541/2500)
เมื่อเจ้าของที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญสละการครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างถวายวัดซึ่งเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแล้วเจ้าของที่ดินนั้นก็ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่หรือห้ามพระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ให้เป็นเจ้าอาวาสได้