พบผลลัพธ์ทั้งหมด 314 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 218/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำในมูลคดีเดียวกัน และผลผูกพันจากทนายความลงนามในคำบังคับ
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยที่ 1 ยอมชดใช้เงินให้โจทก์ศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้วจำเลยที่ 1 กลับเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย ขอให้ใช้ค่าเสียหายอ้างว่าโจทก์และทนายความของจำเลยร่วมกันฉ้อฉลทำสัญญาประนีประนอมต่อศาลให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในคดีดังกล่าวดังนี้ มูลคดีที่จำเลยนำไปฟ้องก็คือมูลคดีที่มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีนี้ จึงเป็นการฟ้องในมูลคดีเรื่องเดียวกัน มิใช่เป็นการฟ้องคดีเรื่องอื่นตามความหมายมาตรา 293 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อันจะเป็นเหตุให้ศาลงดการบังคับคดีได้
การที่ทนายความของจำเลยลงชื่อในคำบังคับซึ่งออกตามคำพิพากษาของศาล ถือได้ว่าทนายความซึ่งเป็นตัวแทนได้กระทำไปในขอบอำนาจในฐานะทนายความแทนจำเลยซึ่งเป็นตัวการย่อมมีผลผูกพันจำเลย และถือได้ว่าจำเลยทราบคำบังคับของศาลแล้ว
การที่ทนายความของจำเลยลงชื่อในคำบังคับซึ่งออกตามคำพิพากษาของศาล ถือได้ว่าทนายความซึ่งเป็นตัวแทนได้กระทำไปในขอบอำนาจในฐานะทนายความแทนจำเลยซึ่งเป็นตัวการย่อมมีผลผูกพันจำเลย และถือได้ว่าจำเลยทราบคำบังคับของศาลแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 644/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำบังคับศาลย่อมมีผลผูกพัน แม้มีการเปลี่ยนแปลงสถานะของโจทก์ภายหลังคำพิพากษาถึงที่สุด
เมื่อศาลพิพากษาคดีถึงที่สุด ให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ และจำเลยได้ทราบคำบังคับแล้ว จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามคำบังคับของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 โดยรื้อถอนโรงเรือนออกไป จำเลยจะยกเอาผลแห่งคำพิพากษาในคดีอื่นซึ่งไม่มีผลเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดคำพิพากษาในคดีนี้มาเป็นเหตุให้ศาลงดหรือเพิกถอนคำบังคับเสียหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2786/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองประโยชน์ระหว่างบังคับคดีและการงดบังคับคดี ต้องมีเหตุผลรองรับข้ออ้างของลูกหนี้
มาตรา 264 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นบทบัญญัติถึงวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา เมื่อคู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว จึงไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลใด และที่จำเลยร้องขอให้ถอนการยึดหรือให้งดการขายทอดตลาดไว้เพื่อรอฟังผลของคดีอื่น ก็มิใช่เป็นวิธีการเพื่อบังคับตามคำพิพากษาคำร้องขอของจำเลย จึงไม่เข้ามาตรา 264แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 วรรคสองศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ต่อเมื่อได้พิจารณาเหตุผล2 ประการประกอบกันคือพิจารณาว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตาม คำพิพากษามีเหตุฟังได้ประการหนึ่ง และพิจารณาว่าถ้างดการบังคับคดีไว้ไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกประการหนึ่ง ดังนั้น แม้จะฟังว่าการงดการบังคับคดีไว้ไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลก็จะสั่งให้งดบังคับคดียังไม่ได้ ศาลจะต้องพิจารณาว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตามคำพิพากษามีเหตุฟังได้หรือไม่เสียก่อน หากไม่มีเหตุฟังได้ก็จะไม่สั่งให้งดการบังคับคดี
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 วรรคสองศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ต่อเมื่อได้พิจารณาเหตุผล2 ประการประกอบกันคือพิจารณาว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตาม คำพิพากษามีเหตุฟังได้ประการหนึ่ง และพิจารณาว่าถ้างดการบังคับคดีไว้ไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกประการหนึ่ง ดังนั้น แม้จะฟังว่าการงดการบังคับคดีไว้ไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลก็จะสั่งให้งดบังคับคดียังไม่ได้ ศาลจะต้องพิจารณาว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตามคำพิพากษามีเหตุฟังได้หรือไม่เสียก่อน หากไม่มีเหตุฟังได้ก็จะไม่สั่งให้งดการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2786/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองประโยชน์ระหว่างบังคับคดีและการงดบังคับคดีต้องมีเหตุผลรองรับ
มาตรา 264 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นบทบัญญัติถึงวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา เมื่อคู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว จึงไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลใด และที่จำเลยร้องขอให้ถอนการยึดหรือให้งดการขายทอดตลาดไว้เพื่อรอฟังผลของคดีอื่น ก็มิใช่เป็นวิธีการเพื่อบังคับตามคำพิพากษาคำร้องขอของจำเลย จึงไม่เข้ามาตรา 264 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 วรรคสองศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ต่อเมื่อได้พิจารณาเหตุผล2 ประการประกอบกันคือพิจารณาว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตามคำพิพากษามีเหตุฟังได้ประการหนึ่ง และพิจารณาว่าถ้างดการบังคับคดีไว้ไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกประการหนึ่ง ดังนั้น แม้จะฟังว่าการงดการบังคับคดีไว้ไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลก็จะสั่งให้งดบังคับคดียังไม่ได้ ศาลจะต้องพิจารณาว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตามคำพิพากษามีเหตุฟังได้หรือไม่เสียก่อน หากไม่มีเหตุฟังได้ก็จะไม่สั่งให้งดการบังคับคดี
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 วรรคสองศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ต่อเมื่อได้พิจารณาเหตุผล2 ประการประกอบกันคือพิจารณาว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตามคำพิพากษามีเหตุฟังได้ประการหนึ่ง และพิจารณาว่าถ้างดการบังคับคดีไว้ไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกประการหนึ่ง ดังนั้น แม้จะฟังว่าการงดการบังคับคดีไว้ไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลก็จะสั่งให้งดบังคับคดียังไม่ได้ ศาลจะต้องพิจารณาว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตามคำพิพากษามีเหตุฟังได้หรือไม่เสียก่อน หากไม่มีเหตุฟังได้ก็จะไม่สั่งให้งดการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 476/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการหักกลบลบหนี้: แม้มีคดีละเมิดค้าง แต่เจ้าหนี้ยังบังคับคดีจากหนี้ถึงที่สุดได้หากทรัพย์สินยึดเพียงพอ
ข้อเท็จจริงของคดีนี้โจทก์จำเลยแถลงรับกันอยู่ว่าหนี้ตามคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งโจทก์มีสิทธิบังคับคดีเอากับจำเลยมีทุนทรัพย์ถึง 400,000 บาทเศษ แต่คดีที่จำเลยฟ้องโจทก์ในข้อหาละเมิดเรียกค่าเสียหายมีทุนเพียง 316,350 บาท ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุด ทั้งปรากฏชัดว่าบรรดาทรัพย์สินของจำเลยที่โจทก์นำยึดไว้นั้นทุกรายการมีผู้ร้องขัดทรัพย์อยู่ จึงไม่เป็นการแน่นอนว่าโจทก์จะบังคับคดีเอากับทรัพย์สินที่ยึดไว้แล้วได้มากน้อยเพียงใด ประกอบกับหนี้ของโจทก์ที่จะบังคับกับจำเลยมีจำนวนแน่นอนและสูงกว่าหนี้ที่จำเลยฟ้องเรียกร้องจากโจทก์อยู่เป็นจำนวนถึง 90,000 บาทเศษ เฉพาะหุ้นที่โจทก์นำยึดขอขายทอดตลาด จำเลยก็รับว่ามีราคาน้อยเพียง 3,000 บาทเท่านั้น จึงเป็นที่เห็นได้ชัดว่าแม้จำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดีโจทก์ก็ไม่สามารถที่จะหักกลบลบหนี้กันได้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 ข้อเท็จจริงที่ ปรากฏในสำนวนจึงมีพอที่ศาลจะสั่งได้ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาใหม่อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 476/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการหักกลบลบหนี้: ทรัพย์สินที่ยึดมีมูลค่าไม่พอชำระหนี้ และหนี้โจทก์สูงกว่าจำเลย
ข้อเท็จจริงของคดีนี้โจทก์จำเลยแถลงรับกันอยู่ว่าหนี้ตามคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งโจทก์มีสิทธิบังคับคดีเอากับจำเลยมีทุนทรัพย์เพียง 316,350 บาทซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุด ทั้งปรากฏชัดว่าบรรดาทรัพย์สินของจำเลยที่โจทก์นำยึดไว้นั้นทุกรายการมีผู้ร้องขัดทรัพย์อยู่ จึงไม่เป็นการแน่นอนว่าโจทก์จะบังคับคดีเอากับทรัพย์สินที่ยึดไว้แล้วได้มากน้อยเพียงใด ประกอบกับหนี้ของโจทก์ที่จะบังคับกับจำเลยมีจำนวนแน่นอนและสูงกว่าหนี้ที่จำเลยฟ้องเรียกร้องจากโจทก์อยู่เป็นจำนวนถึง 90,000 บาทเศษ เฉพาะหุ้นที่โจทก์นำยึดขอขายทอดตลาด จำเลยก็รับว่ามีราคาน้อยเพียง 3,000 บาทเท่านั้นจึงเป็นที่เห็นได้ชัดว่าแม้จำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดีโจทก์ก็ไม่สามารถที่จะหักกลบลบหนี้กันได้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 293 ข้อเท็จจริงที่ ปรากฏในสำนวนจึงมีพอที่ศาลจะสั่งได้ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาใหม่อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1409/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีแบ่งสินสมรสก่อนคดีหย่าถึงที่สุด แม้จำเลยอุทธรณ์คดีหย่าแต่ไม่แจ้งต่อศาลในคดีแบ่งสินสมรส
เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ขอแบ่งสินสมรสจากจำเลย ก็ได้อ้างถึงคดีอื่นที่โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยว่าศาลพิพากษาให้หย่ากันแล้วตามคดีแดงที่ 91/2512 ของศาลชั้นต้น แต่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้เลยว่า คดีฟ้องหย่าดังกล่าวจำเลยได้อุทธรณ์อยู่ คงต่อสู้แต่ในเรื่องทรัพย์และการแบ่งทรัพย์ และยังอ้างถึงสินสมรสอีก 3 รายการ ที่โจทก์มิได้ฟ้อง ว่าโจทก์ควรนำมาแบ่งกันให้เสร็จไป โดยมีคำขอให้ศาลเปรียบเทียบให้คดีเสร็จไปด้วย เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริง และโจทก์จำเลยตกลงกันได้ในทรัพย์บางรายการแล้ว ศาลจึงสั่งงดสืบพยาน และพิพากษาให้แบ่งทรัพย์ที่พิพาทกันนี้ ซึ่งถึงที่สุดแล้ว จำเลยจะมาขอให้งดการบังคับคดีโดยอ้างว่าขอให้รอคดีฟ้องหย่าถึงที่สุดเสียก่อนไม่ได้ กรณีไม่เข้าเหตุที่ศาลจะงดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292, 293, 294 หรือ มาตรา 296 ประการใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1409/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีแบ่งสินสมรส แม้คดีหย่ายังไม่ถึงที่สุด ศาลไม่หยุดยั้งการบังคับคดี
เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ขอแบ่งสินสมรสจากจำเลย ก็ได้อ้างถึงคดีอื่นที่โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยว่าศาลพิพากษาให้หย่ากันแล้วตามคดีแดงที่ 91/2512 ของศาลชั้นต้น แต่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้เลยว่าคดีฟ้องหย่าดังกล่าวจำเลยได้อุทธรณ์อยู่ คงต่อสู้แต่ในเรื่องทรัพย์และการแบ่งทรัพย์ และยังอ้างถึงสินสมรสอีก 3 รายการ ที่โจทก์มิได้ฟ้องว่าโจทก์ควรนำมาแบ่งกันให้เสร็จไปโดยมีคำขอให้ศาลเปรียบเทียบให้คดีเสร็จไปด้วย เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริง และโจทก์จำเลยตกลงกันได้ในทรัพย์บางรายการแล้ว ศาลจึงสั่งงดสืบพยาน และพิพากษาให้แบ่งทรัพย์ที่พิพาทกันนี้ ซึ่งถึงที่สุดแล้วจำเลยจะมาขอให้งดการบังคับคดีโดยอ้างว่าขอให้รอคดีฟ้องหย่าถึงที่สุดเสียก่อนไม่ได้กรณีไม่เข้าเหตุที่ศาลจะงดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 292, 293, 294 หรือมาตรา 296 ประการใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 773/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมนอกศาลใช้ไม่ได้แก้คำพิพากษาตามยอม ศาลต้องบังคับคดีตามเดิม
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมใช้หนี้ให้โจทก์และศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว ภายหลังจำเลยจะอ้างว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมกันใหม่นอกศาล โดยโจทก์ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลย ซึ่งโจทก์ปฏิเสธ เพื่อเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่ อ้างฎีกาที่ 417/2504)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 773/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้พิพากษาตามยอมแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ด้วยสัญญาใหม่นอกศาล
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมใช้หนี้ให้โจทก์และศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว ภายหลังจำเลยจะอ้างว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมกันใหม่นอกศาลโดยโจทก์ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลย ซึ่งโจทก์ปฏิเสธ เพื่อเป็นเหตุมิให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 417/2504)