คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
นพวรรณ อินทรัมพรรย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13379/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจับกุมและขยายผลคดียาเสพติด: การแสวงหาหลักฐานโดยชอบด้วยกฎหมายและการอำนาจสอบสวน
การที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุม ท. ได้ขณะลักลอบขนยาเสพติดให้โทษจากจังหวัดมุกดาหารเพื่อจะไปส่งมอบให้ จ. และจำเลย ผู้ร่วมขบวนการซึ่งกำลังรอรับยาเสพติดให้โทษอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ถือได้ว่า ท. จ. และจำเลยมีเจตนาร่วมกระทำความผิดด้วยกันอยู่แล้ว การที่เจ้าพนักงานตำรวจนำตัว ท. เดินทางต่อไปยังกรุงเทพมหานครเพื่อนำยาเสพติดให้โทษไปส่งมอบให้ จ. และจำเลย จึงเป็นวิธีการแสวงหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ร่วมกระทำความผิด มิใช่เป็นการล่อให้บุคคลที่มิได้มีเจตนาในการกระทำความผิดอยู่ก่อนให้หลงกระทำความผิด การดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพื่อขยายผลจับกุมจำเลยของเจ้าพนักงานตำรวจ จึงไม่เป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย
เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยในขณะกำลังกระทำความผิดซึ่งหน้าโดยมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองจึงไม่ต้องมีหมายจับ ส่วนการที่ผู้จับกุมไม่ใส่กุญแจมือจำเลยย่อมเป็นดุลพินิจในการใช้วิธีควบคุมผู้ถูกจับเท่าที่จำเป็นเพื่อมิให้หลบหนี
ความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งมีผู้ร่วมกระทำความผิดสองคน ซึ่งเป็นความผิดต่อเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันในหลายท้องที่ จากที่ผู้ต้องหาคนหนึ่งนำยาเสพติดให้โทษติดตัวในขณะเดินทางผ่านอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา เพื่อต่อมายังกรุงเทพมหานคร เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมผู้ต้องหาคนแรกได้ก่อนในท้องที่ของสถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้ว พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้วซึ่งเป็นท้องที่ที่จับผู้ต้องหาได้ก่อน จึงเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ การที่เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมควบคุมตัวจำเลยและ ท. พร้อมด้วยยาเสพติดให้โทษของกลางส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสีคิ้วทำการสอบสวน จึงชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8679/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผ่อนเวลาชำระหนี้และการสละสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ย: การกระทำของเจ้าหนี้แสดงเจตนาสละสิทธิ
แม้จำเลยตกลงค้ำประกันหนี้ของกิจการร่วมค้าชนิดไม่มีเงื่อนไข และชนิดไม่เพิกถอน จำเลยต้องชำระหนี้ค้ำประกันแก่โจทก์ทันทีที่โจทก์เรียกให้ชำระ โดยไม่มีสิทธิที่จะคัดค้าน และไม่มีสิทธิเรียกให้โจทก์ไปเรียกร้องจากกิจการร่วมค้าก่อนก็ตาม แต่ตามที่โจทก์และจำเลยปฏิบัติต่อกัน จำเลยไม่ได้ชำระหนี้ภายในเวลาที่โจทก์กำหนด โจทก์ก็มิได้ถือเอากำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญแต่ได้ผ่อนเวลาเรื่อยมา การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่โจทก์ผ่อนเวลาให้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 นอกจากนี้โจทก์ก็รับเงินที่ชำระโดยไม่อิดเอื้อน หรือขอสงวนสิทธิในการเรียกดอกเบี้ย เนื่องจากการชำระหนี้ที่ล่าช้า แต่โจทก์กลับออกใบเสร็จรับเงินให้จำเลยว่าได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากการค้ำประกันแล้ว และโจทก์ยังได้คืนหนังสือสัญญาค้ำประกันทั้ง 8 ฉบับ ให้จำเลยด้วย โจทก์จึงไม่ติดใจเรียกค่าเสียหายที่จำเลยชำระเงินล่าช้า แม้โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวฉบับลงวันที่ 4 มิถุนายน 2541 เรียกให้จำเลยชำระค่าเสียหายดังกล่าว ก็เป็นการเรียกร้องภายหลังจากการชำระหนี้การค้ำประกันของจำเลยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ย่อมไม่ทำให้โจทก์กลับมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าวขึ้นมาอีก จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยเนื่องจากจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ล่าช้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3877/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินพิพาท: จำเลยเชื่อโดยชอบว่าตนมีสิทธิครอบครอง จึงไม่มีเจตนาบุกรุก
โจทก์ร่วมมีข้อพิพาทกับจำเลยเกี่ยวกับที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2526 นอกจากนี้โจทก์ร่วมได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งตามคดีหมายเลขดำที่ 149/2542 ของศาลชั้นต้น แม้คดีดังกล่าวจะมีประเด็นว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยมิชอบอันเป็นการใช้สิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 มิได้มีประเด็นว่า โจทก์ร่วมถูกแย่งการครอบครองดังที่โจทก์ร่วมฎีกาก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวก็ถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทว่าผู้ใดเป็นผู้ครอบครองในที่ดินพิพาท ดังนั้น ในขณะเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยเชื่อโดยชอบว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยจึงไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินพิพาทหรือทำให้เสียทรัพย์ ส่วนที่ดินพิพาทจะเป็นของผู้ใดหรือผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิครอบครองนั้นเป็นเรื่องทางแพ่ง จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 49/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย กรรมเดียวความผิดเดียว ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษา
เมทแอมเฟตามีนที่พบที่ตัวจำเลยทั้งสาม 17 เม็ด เป็นจำนวนเดียวกับเมทแอมเฟตามีนที่ค้นพบในบ้านจำนวน 3,000 เม็ด เป็นแต่เพียงจำเลยทั้งสามแยกเอาบางส่วนติดตัวไว้เท่านั้น ทั้งโจทก์ได้บรรยายไว้ในคำฟ้องแล้วว่าเมทแอมเฟตามีน 17 เม็ด ดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 3,017 เม็ด ที่จำเลยทั้งสามร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดเพียงกรรมเดียวฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกกรรมหนึ่งนั้น จึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225