พบผลลัพธ์ทั้งหมด 184 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3427/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชั่งน้ำหนักพยาน: คำเบิกความยังฟังได้แม้ไม่ได้ถามค้านก่อนพยานถึงแก่กรรม
ศาลสืบพยานจำเลยได้เพียงตอบคำซักถามของจำเลย แล้วเลื่อนคดี พยานจำเลยถึงแก่กรรมก่อนถึงวันนัด ทำให้โจทก์ไม่ได้ถามค้าน ไม่ทำให้คำเบิกความของพยานจำเลยรับฟังไม่ได้ กรณีเป็นเรื่องการชั่งน้ำหนักคำพยานเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3148-3149/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่รับบัญชีระบุพยานและการฎีกาในปัญหาข้อจำกัดการสืบพยาน รวมถึงค่าขึ้นศาลสำหรับคำขอพิจารณาคดีใหม่
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ และไม่อนุญาตให้โจทก์สืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 แม้โจทก์จะได้ยื่นคำแถลงแจ้งเหตุขัดข้องและจำเป็นที่มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานภายในกำหนด และขอยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลชั้นต้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นกรณีที่โจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226(2)แล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวมาในชั้นอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
แม้ผู้ร้องจะนำสืบพยานฝ่ายเดียว แต่ถ้าเป็นพยานที่มีน้ำหนักและเหตุผลเป็นที่เชื่อถือได้ ศาลก็ย่อมจะรับฟังพยานเช่นว่านั้นแล้ววินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายชนะคดีได้
โจทก์ฎีกาเพียงแต่ขอให้พิจารณาคดีใหม่ มิได้ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลสำนวนละ 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ข).
แม้ผู้ร้องจะนำสืบพยานฝ่ายเดียว แต่ถ้าเป็นพยานที่มีน้ำหนักและเหตุผลเป็นที่เชื่อถือได้ ศาลก็ย่อมจะรับฟังพยานเช่นว่านั้นแล้ววินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทให้ผู้ร้องเป็นฝ่ายชนะคดีได้
โจทก์ฎีกาเพียงแต่ขอให้พิจารณาคดีใหม่ มิได้ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดี จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลสำนวนละ 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ข).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2609/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การผู้เสียหายในชั้นสอบสวนมีน้ำหนักน้อยกว่าคำเบิกความในชั้นศาล หากไม่มีพยานแวดล้อมยืนยัน ศาลไม่สามารถลงโทษจำเลยได้
คำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนซึ่งมีข้อความแสดงว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายเห็นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย และผู้เสียหายเบิกความรับว่าได้อ่านและลงลายมือชื่อไว้นั้น เป็นพยานบอกเล่ารับฟังได้แต่เพียงเป็นพยานประกอบคำเบิกความของพยานในชั้นศาล เมื่อผู้เสียหายเบิกความต่อศาลว่าตนได้บอก ว. กับตำรวจหลังเกิดเหตุเพียงว่าสงสัยว่าจำเลยยิง โดยมี ว. พยานซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเบิกความสนับสนุนว่า ผู้เสียหายวิ่งมาแจ้งเหตุหลังเสียงปืนดังเล็กน้อยโดยไม่ระบุว่าถูกใครยิง โจทก์จึงขาดประจักษ์พยานเมื่อโจทก์ไม่มีพยานแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่งมัด ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้าย ลำพังแต่คำให้การผู้เสียหายในชั้นสอบสวน ยังไม่มั่นคงเพียงพอจะฟังลงโทษจำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2162/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากหน้าที่การงาน-ความรับผิดของกรมตำรวจ-ค่าเสียหายทางร่างกายและจิตใจ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยรวม 5 ปากเพราะพยานเหล่านี้กับพยานที่จำเลยที่ 1 และที่ 5 นำเข้าสืบแล้วกับตัว จำเลยที่ 1 เป็นพยานคู่กันแม้สืบไปก็ได้ความเหมือนกับที่จำเลยที่ 1 กับพวกเบิกความมาแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงได้ความจากคำให้การของพยานดังกล่าว ในสำนวนสอบสวนเพื่อพิจารณาทัณฑ์ทางวินัยแก่จำเลยที่ 1 ว่าพยานเหล่านี้ไม่เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ แต่มารู้เห็นเมื่อเกิดเหตุแล้วการที่จะสืบพยานเหล่านี้ไปจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี และเป็นการฟุ่มเฟือยเกินไปคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานดังกล่าวจึงชอบแล้ว
โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นนักเรียนโรงเรียนพลตำรวจภูธร 4 ของกรมตำรวจจำเลยที่ 5 การที่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 5 การฝึกชัยยะ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะนักเรียนพลตำรวจตามคำสั่งและนโยบายของจำเลยที่ 5 เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เกิดความเสียหายขึ้นก็เรียกได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดในหน้าที่การงาน กรมตำรวจ จำเลยที่ 5 แม้ไม่ได้ร่วมทำละเมิดและมิได้เป็นลูกจ้างนายจ้างหรือตัวแทนก็จำต้องร่วมรับผิดเสียค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหายนั้นด้วยตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76
การที่ปืนในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ลั่นขึ้น และโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเป็นการทำให้โจทก์เสียหายแก่ร่างกายซึ่ง ตามมาตรา 444 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป กับเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 บัญญัติไว้ได้ การวินิจฉัยถึงค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่าจะต้องคำนึงถึงฐานะและรายได้ของผู้เสียหาย
โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นนักเรียนโรงเรียนพลตำรวจภูธร 4 ของกรมตำรวจจำเลยที่ 5 การที่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 5 การฝึกชัยยะ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะนักเรียนพลตำรวจตามคำสั่งและนโยบายของจำเลยที่ 5 เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เกิดความเสียหายขึ้นก็เรียกได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดในหน้าที่การงาน กรมตำรวจ จำเลยที่ 5 แม้ไม่ได้ร่วมทำละเมิดและมิได้เป็นลูกจ้างนายจ้างหรือตัวแทนก็จำต้องร่วมรับผิดเสียค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหายนั้นด้วยตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76
การที่ปืนในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ลั่นขึ้น และโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเป็นการทำให้โจทก์เสียหายแก่ร่างกายซึ่ง ตามมาตรา 444 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป กับเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 บัญญัติไว้ได้ การวินิจฉัยถึงค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่าจะต้องคำนึงถึงฐานะและรายได้ของผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2162/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของนักเรียนตำรวจ และความรับผิดของหน่วยงาน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยรวม 5 ปากเพราะพยานเหล่านี้กับพยานที่จำเลยที่ 1 และที่ 5 นำเข้าสืบแล้วกับตัว จำเลยที่ 1 เป็นพยานคู่กันแม้สืบไปก็ได้ความเหมือนกับที่จำเลยที่ 1 กับพวกเบิกความมาแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงได้ความจากคำให้การของพยานดังกล่าว ในสำนวนสอบสวนเพื่อพิจารณาทัณฑ์ทางวินัยแก่จำเลยที่ 1 ว่าพยานเหล่านี้ไม่เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ แต่ มารู้เห็นเมื่อเกิดเหตุแล้วการที่จะสืบพยานเหล่านี้ไปจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี และเป็นการฟุ่มเฟือยเกินไปคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานดังกล่าวจึงชอบแล้ว โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นนักเรียนโรงเรียนพลตำรวจภูธร 4ของกรมตำรวจจำเลยที่ 5 การที่จำเลยที่ 1เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 5การฝึกชัยยะ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะ นักเรียนพลตำรวจตาม คำสั่งและนโยบายของจำเลยที่ 5 เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เกิดความเสียหายขึ้นก็เรียกได้ว่าจำเลยที่ 1ทำละเมิดในหน้าที่การงาน กรมตำรวจ จำเลยที่ 5 แม้ไม่ได้ร่วมทำละเมิดและมิได้เป็นลูกจ้างนายจ้างหรือตัวแทนก็จำต้องร่วมรับผิดเสียค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหายนั้นด้วย ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 การที่ปืนในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ลั่นขึ้น และโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเป็นการทำให้โจทก์เสียหายแก่ร่างกายซึ่ง ตามมาตรา 444 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้อง เสียไป กับเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตาม ที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 บัญญัติไว้ได้ การวินิจฉัยถึง ค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายไม่มีกฎหมายใด บัญญัติว่าจะต้อง คำนึงถึง ฐานะ และรายได้ของผู้เสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2162/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากเจ้าหน้าที่-การฝึก-ค่าเสียหายทางร่างกาย: ศาลยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เรื่องการรับผิดชอบค่าสินไหมทดแทน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยรวม 5 ปาก เพราะพยานเหล่านี้กับพยานที่จำเลยที่ 1 และที่ 5 นำเข้าสืบแล้วกับตัวจำเลยที่ 1 เป็นพยานคู่กัน แม้สืบไปก็ได้ความเหมือนกับที่จำเลยที่ 1กับพวกเบิกความมาแล้ว ทั้งข้อเท็จจริงได้ความจากคำให้การของพยานดังกล่าวในสำนวนสอบสวนเพื่อพิจารณาทัณฑ์ทางวินัยแก่จำเลยที่ 1ว่าพยานเหล่านี้ไม่เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ แต่มารู้เห็นเมื่อเกิดเหตุแล้ว การที่จะสืบพยานเหล่านี้ไปจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี และเป็นการฟุ่มเฟือยเกินไป คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานดังกล่าวจึงชอบแล้ว โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นนักเรียนโรงเรียนพลตำรวจภูธร 4 ของกรมตำรวจจำเลยที่ 5 การที่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 5 การฝึกชัยยะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะนักเรียนพลตำรวจตามคำสั่งและนโยบายของจำเลยที่ 5 เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เกิดความเสียหายขึ้นก็เรียกได้ว่าจำเลยที่ 1ทำละเมิดในหน้าที่การงานกรมตำรวจ จำเลยที่ 5 แม้ไม่ได้ร่วมทำละเมิด และมิได้เป็นลูกจ้างนายจ้างหรือตัวแทนก็จำต้องร่วมรับผิดเสียค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหายนั้นด้วย ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 การที่ปืนในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ลั่นขึ้น และโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเป็นการทำให้โจทก์เสียหายแก่ร่างกายซึ่งตามมาตรา 444 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป กับเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่น อันมิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 บัญญัติไว้ได้ การวินิจฉัยถึงค่าใช้จ่ายและค่าเสียหาย ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติว่าจะต้องคำนึงถึงฐานะและรายได้ของผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2162/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากเหตุการณ์ระหว่างการฝึก เจ้าหน้าที่รัฐต้องรับผิดร่วมด้วย ค่าเสียหายพิจารณาจากความเสียหายทางร่างกาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยรวม 5 ปาก เพราะพยานเหล่านี้กับพยานที่จำเลยที่ 1 และที่ 5 นำเข้าสืบแล้วกับตัวจำเลยที่ 1 เป็นพยานคู่กัน แม้สืบไปก็ได้ความเหมือนกับที่จำเลยที่ 1 กับพวกเบิกความมาแล้วทั้งได้ความจากสำนวนสอบสวนเพื่อพิจารณา ทัณฑ์ทางวินัยแก่จำเลยที่ 1ว่าพยานเหล่านี้ไม่เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ แต่มารู้เห็นเมื่อเกิดเหตุแล้ว สืบไปก็ไม่เป็นประโยชน์แก่คดี คำสั่งงดสืบพยานจึงชอบแล้ว.
โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นนักเรียนโรงเรียนพลตำรวจภูธร 4ของกรมตำรวจจำเลยที่ 5 การที่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 5 การฝึกชัยยะ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะนักเรียนพลตำรวจตามคำสั่งและนโยบายของจำเลยที่ 5 เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เกิดความเสียหายขึ้นก็เรียกได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดในหน้าที่การงาน กรมตำรวจ จำเลยที่ 5 แม้ไม่ได้ร่วมทำละเมิดและมิได้เป็นลูกจ้างนายจ้างหรือตัวแทนก็จำต้องร่วมรับผิดเสียค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหายนั้นด้วยตาม ป.พ.พ.มาตรา 76.
การที่ปืนในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ลั่นขึ้นและโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเป็นการทำให้โจทก์เสียหายแก่ร่างกายซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 444 โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไปกับเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตามมาตรา 446 การวินิจฉัยถึงค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าจะต้องคำนึงถึงฐานะและรายได้ของผู้เสียหายด้วย.
โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นนักเรียนโรงเรียนพลตำรวจภูธร 4ของกรมตำรวจจำเลยที่ 5 การที่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 5 การฝึกชัยยะ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ในฐานะนักเรียนพลตำรวจตามคำสั่งและนโยบายของจำเลยที่ 5 เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เกิดความเสียหายขึ้นก็เรียกได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดในหน้าที่การงาน กรมตำรวจ จำเลยที่ 5 แม้ไม่ได้ร่วมทำละเมิดและมิได้เป็นลูกจ้างนายจ้างหรือตัวแทนก็จำต้องร่วมรับผิดเสียค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหายนั้นด้วยตาม ป.พ.พ.มาตรา 76.
การที่ปืนในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ลั่นขึ้นและโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเป็นการทำให้โจทก์เสียหายแก่ร่างกายซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 444 โจทก์ชอบที่จะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไปกับเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตามมาตรา 446 การวินิจฉัยถึงค่าใช้จ่ายและค่าเสียหายไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าจะต้องคำนึงถึงฐานะและรายได้ของผู้เสียหายด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2088/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมจากสินค้าที่ผ่านการชำระภาษีแล้ว โจทก์ต้องพิสูจน์การวิเคราะห์สินค้าที่ถูกต้อง
จำเลยนำสินค้าคาร์บอลสตีลราวน์บาร์ล โลหะเหล็กกล้าชนิดแอลลอยประเภทพิกัดที่73.15ง. เข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2517 เจ้าหน้าที่ของโจทก์ได้ผ่านใบขนสินค้าและรับชำระอากรขาเข้า ภาษีการค้ากับภาษีบำรุงเทศบาลแล้ว ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 จำเลยนำสินค้าโลหะเหล็กกล้าชนิดแอลลอยที่มีชื่ออย่างเดียวกันเข้ามาในราชอาณาจักรอีก เจ้าหน้าที่โจทก์ได้ตรวจสอบวิเคราะห์สินค้าดังกล่าว แล้วเรียกเก็บอากรขาเข้าในประเภทพิกัด73.10 โจทก์จะเอาผลการวิเคราะห์สินค้าที่จำเลยนำเข้าในปี พ.ศ. 2518 ไปเรียกให้จำเลยชำระอากรเพิ่มเติมในพิกัดที่ 73.10 สำหรับสินค้าที่จำเลยนำเข้าเมื่อวันที่ 1ธันวาคม 2517 หาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1819/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเอกสารราชการเพื่อประโยชน์ตนเอง ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265
จำเลยยอมรับต่อเจ้าพนักงานตำรวจที่กองกำลังพล กรมตำรวจว่าจำเลยเป็นผู้แก้ไขตำแหน่งและเลขประจำตำแหน่งในบันทึกการขอบรรจุข้าราชการตำรวจที่ผู้บังคับบัญชาของจำเลยเสนอแต่งตั้งให้จำเลยดำรงตำแหน่งรองสารวัตรปกครองป้องกันสถานีตำรวจนครบาลประชาชื่นเป็นตำแหน่งรองสารวัตรปกครองป้องกันสถานีตำรวจนครบาลชนะสงครามแม้คำรับดังกล่าวจะเป็นคำบอกเล่าก็ตาม แต่ก็เป็นคำบอกเล่าที่ทำให้ตนเองเสียประโยชน์ จึงรับฟังได้ จำเลยปลอมเอกสารบันทึกการขอบรรจุข้าราชการตำรวจอันเป็นเอกสารราชการขณะเอกสารดังกล่าวถูกส่งไปตามสายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลถึงอธิบดีกรมตำรวจและยังคงค้างอยู่ที่กองกำลังพล กรมตำรวจย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กองกำลังพลกรมตำรวจ ที่จะเสนอเอกสารดังกล่าวไปตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจอยู่แล้ว จำเลยจึงมิใช่เป็นผู้ใช้หรืออ้างเอกสารดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่กองกำลังพล กรมตำรวจ โดยวิธีแนบเรื่องไปตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจดังโจทก์ฟ้อง จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1819/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเอกสารราชการเพื่อประโยชน์ตนเอง ถือเป็นความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร
จำเลยยอมรับต่อเจ้าพนักงานตำรวจที่กองกำลังพล กรมตำรวจว่าจำเลยเป็นผู้แก้ไขตำแหน่งและเลขประจำตำแหน่งในบันทึกการขอ บรรจุ ข้าราชการตำรวจที่ผู้บังคับบัญชาของจำเลยจะรอเสนอแต่งตั้งให้จำเลยดำรงตำแหน่งของสารวัตรปกครองป้องกันสถานีตำรวจนครบาลประชาชื่นเป็นตำแหน่งรองสารวัตรปกครองป้องกันสถานีตำรวจนครบาล ชนะสงคราม ดังนี้ เป็นคำบอกเล่าที่ทำให้ตนเองเสียประโยชน์ จึงรับฟังได้.
จำเลยปลอมเอกสารบันทึกการขอ บรรจุ ข้าราชการตำรวจอันเป็นเอกสารราชการขณะเอกสารดังกล่าวถูกส่งไปตามสายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลถึงอธิบดีกรมตำรวจและยังคงค้างอยู่ที่กองกำลังพล กรมตำรวจ ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กองกำลังพล ที่จะเสนอเอกสารดังกล่าวไปตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจ จำเลยมิใช่เป็นผู้ใช้หรืออ้างเอกสารดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่กองกำลังพลโดยวิธีแนบเรื่องไปตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจ จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 268.
จำเลยปลอมเอกสารบันทึกการขอ บรรจุ ข้าราชการตำรวจอันเป็นเอกสารราชการขณะเอกสารดังกล่าวถูกส่งไปตามสายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลถึงอธิบดีกรมตำรวจและยังคงค้างอยู่ที่กองกำลังพล กรมตำรวจ ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กองกำลังพล ที่จะเสนอเอกสารดังกล่าวไปตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจ จำเลยมิใช่เป็นผู้ใช้หรืออ้างเอกสารดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่กองกำลังพลโดยวิธีแนบเรื่องไปตามลำดับจนถึงอธิบดีกรมตำรวจ จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 268.