พบผลลัพธ์ทั้งหมด 75 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3363/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าในการทำร้ายร่างกาย, ความผิดหลายกรรมต่างกัน, และความสมบูรณ์ของคำฟ้อง
จำเลยแทงผู้เสียหายหลายครั้งติด ๆ กัน ครั้งแรกแทงถูกที่ด้านหลังบริเวณหัวไหล่ ผู้เสียหายล้มลง พอลุกขึ้นจำเลยก็แทงที่ใต้รักแร้ข้างซ้ายซึ่งเป็นบริเวณใกล้หัวใจ เมื่อมีดหักจำเลยยังใช้ส่วนที่เหลือแทงบริเวณหลังผู้เสียหายอีก 3 ครั้ง มีดมีความยาวทั้งด้ามและตัวมีดถึง 9 นิ้ว เป็นมีดสำหรับปอกผลไม้มีปลายแหลมสามารถใช้เป็นอาวุธทำร้ายร่างกายถึงตายได้เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
รายงานผลการชันสูตรบาดแผลแม้จะเป็นภาษาอังกฤษก็เป็นเพียงส่วนประกอบของคำฟ้องที่บอกลักษณะของบาดแผล ซึ่งโจทก์จะนำสืบว่าผู้เสียหายได้รับบาดแผลอย่างใด และภาษาอังกฤษนั้นมีความหมายเช่นไรในชั้นพิจารณาได้ ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์
จำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมจี้ขู่บังคับเอามือจับแขนผู้เสียหายลากลงบันได เมื่อผู้เสียหายขัดขืนและร้องให้คนช่วย จำเลยจึงใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายโดยจำเลยมีเจตนาขึ้นใหม่ เพื่อจะฆ่าผู้เสียหายอันเป็นการปกปิดการกระทำของจำเลยหรือให้การกระทำของจำเลยบรรลุผลตามที่จำเลยมีเจตนามาแต่แรกว่าจะเอาตัวผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร การกระทำความผิดของจำเลยมีเจตนาคนละตอน จึงเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและหลายกรรมต่างกัน
รายงานผลการชันสูตรบาดแผลแม้จะเป็นภาษาอังกฤษก็เป็นเพียงส่วนประกอบของคำฟ้องที่บอกลักษณะของบาดแผล ซึ่งโจทก์จะนำสืบว่าผู้เสียหายได้รับบาดแผลอย่างใด และภาษาอังกฤษนั้นมีความหมายเช่นไรในชั้นพิจารณาได้ ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์
จำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมจี้ขู่บังคับเอามือจับแขนผู้เสียหายลากลงบันได เมื่อผู้เสียหายขัดขืนและร้องให้คนช่วย จำเลยจึงใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายโดยจำเลยมีเจตนาขึ้นใหม่ เพื่อจะฆ่าผู้เสียหายอันเป็นการปกปิดการกระทำของจำเลยหรือให้การกระทำของจำเลยบรรลุผลตามที่จำเลยมีเจตนามาแต่แรกว่าจะเอาตัวผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร การกระทำความผิดของจำเลยมีเจตนาคนละตอน จึงเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3363/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการแทงหลายครั้ง และความผิดหลายกรรมต่างกัน กรณีบุกรุก ทำร้ายร่างกาย และอนาจาร
จำเลยแทงผู้เสียหายหลายครั้งติดๆ กัน ครั้งแรกแทงถูกที่ด้านหลังบริเวณหัวไหล่ ผู้เสียหายล้มลง พอลุกขึ้นจำเลยก็แทงที่ใต้รักแร้ข้างซ้ายซึ่งเป็นบริเวณใกล้หัวใจ เมื่อมีดหักจำเลยยังใช้ส่วนที่เหลือแทงบริเวณหลังผู้เสียหายอีก 3 ครั้ง มีดมีความยาวทั้งด้ามและตัวมีดถึง 9 นิ้ว เป็นมีดสำหรับปอกผลไม้มีปลายแหลมสามารถใช้เป็นอาวุธทำร้ายร่างกายถึงตายได้เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
รายงานผลการชันสูตรบาดแผลแม้จะเป็นภาษาอังกฤษก็เป็นเพียงส่วนประกอบของคำฟ้องที่บอกลักษณะของบาดแผล ซึ่งโจทก์จะนำสืบว่าผู้เสียหายได้รับบาดแผลอย่างใด และภาษาอังกฤษนั้นมีความหมายเช่นไรในชั้นพิจารณาได้ ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์
จำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมจี้ขู่บังคับเอามือจับแขนผู้เสียหายลากลงบันไดเมื่อผู้เสียหายขัดขืนและร้องให้คนช่วย จำเลยจึงใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายโดยจำเลยมีเจตนาขึ้นใหม่เพื่อจะฆ่าผู้เสียหายอันเป็นการปกปิดการกระทำของจำเลยหรือให้การกระทำของจำเลยบรรลุผลตามที่จำเลยมีเจตนามาแต่แรกว่าจะเอาตัวผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารการกระทำความผิดของจำเลยมีเจตนาคนละตอน จึงเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและหลายกรรมต่างกัน
รายงานผลการชันสูตรบาดแผลแม้จะเป็นภาษาอังกฤษก็เป็นเพียงส่วนประกอบของคำฟ้องที่บอกลักษณะของบาดแผล ซึ่งโจทก์จะนำสืบว่าผู้เสียหายได้รับบาดแผลอย่างใด และภาษาอังกฤษนั้นมีความหมายเช่นไรในชั้นพิจารณาได้ ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์
จำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมจี้ขู่บังคับเอามือจับแขนผู้เสียหายลากลงบันไดเมื่อผู้เสียหายขัดขืนและร้องให้คนช่วย จำเลยจึงใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายโดยจำเลยมีเจตนาขึ้นใหม่เพื่อจะฆ่าผู้เสียหายอันเป็นการปกปิดการกระทำของจำเลยหรือให้การกระทำของจำเลยบรรลุผลตามที่จำเลยมีเจตนามาแต่แรกว่าจะเอาตัวผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารการกระทำความผิดของจำเลยมีเจตนาคนละตอน จึงเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เลตเตอร์ออฟเครดิต & ทรัสต์รีซีท: การค้ำประกัน & การคิดดอกเบี้ยต่อเนื่องจากสัญญาเดิม
จำเลยขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตต่อธนาคารโจทก์เพื่อส่งสินค้าจากผู้ขายในต่างประเทศ โจทก์เปิดให้ตามคำขอ ผู้ขายส่งสินค้ามาให้ โจทก์ชำระราคาสินค้าให้แก่ผู้ขายไปแล้ว เมื่อสินค้ามาถึงโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบเพื่อให้นำเงินมาชำระหนี้ จำเลยไม่มีเงินพอ และตามข้อตกลงในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตสินค้าตกอยู่ในความยึดถือของโจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ จำเลยจึงทำสัญญาทรัสต์รีซีทไว้แก่โจทก์เพื่อขอรับเอาเอกสารการส่งสินค้าไปเอาสินค้าออกจากท่าเรือแล้วนำสินค้าไปจำหน่ายและนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ดังนี้การทำสัญญาทรัสต์รีซีทเป็นเพียงวิธีการผ่อนปรนของเจ้าหนี้ให้ลูกหนี้มีโอกาสนำสินค้าที่สั่งซื้อมาด้วยการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตออกจากท่าเรือไปขายเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตเท่านั้น สัญญาทรัสต์รีซีทเป็นสัญญาซึ่งต่อเนื่องกับสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิต มิได้ทำให้หนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตระงับสิ้นไปได้ในตัว
จำเลยได้รับสำเนาสัญญาทรัสต์รีซีทท้ายฟ้องพร้อมคำแปลถ้าเห็นว่าโจทก์แปลคำว่า "การันตี" ว่า "ค้ำประกัน" ไม่ถูกต้อง จำเลยจะต้องปฏิเสธความถูกต้องแห่งคำแปลนี้น เมื่อตามคำให้การของจำเลยมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์แปลผิด ก็ไม่น่าเชื่อว่าคำแปลที่ถูกต้องจะไม่ใช่ "ค้ำประกัน"
เมื่อจำเลยแสดงเจตนาไว้ในสัญญาว่า "ค้ำประกัน" ผู้ค้ำประกันจะมีหน้าที่อย่างใดต่อเจ้าหนี้ย่อมทราบได้จากบทนิยามของคำว่า "ค้ำประกัน" ในมาตรา 680 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้กล่าวไว้ให้ชัดลงไปว่ายอมผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ก็ไม่เป็นเหตุให้การค้ำประกันนั้นไร้ผล
ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายให้จำเลยใช้แทนโจทก์เพียง 8,000 บาท ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายให้จำเลยใช้แทนโจทก์ถึง 20,000 บาท ดังนี้ เมื่อได้พิจารณาถึงจำนวนทุนทรัพย์ ความยากง่ายแห่งการดำเนินคดีตลอดถึงงานที่ทนายโจทก์กระทำไปแล้ว ศาลฎีกาลดค่าทนายโจทก์ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งจำเลยจะต้องใช้แทนลงบ้างได้
จำเลยได้รับสำเนาสัญญาทรัสต์รีซีทท้ายฟ้องพร้อมคำแปลถ้าเห็นว่าโจทก์แปลคำว่า "การันตี" ว่า "ค้ำประกัน" ไม่ถูกต้อง จำเลยจะต้องปฏิเสธความถูกต้องแห่งคำแปลนี้น เมื่อตามคำให้การของจำเลยมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์แปลผิด ก็ไม่น่าเชื่อว่าคำแปลที่ถูกต้องจะไม่ใช่ "ค้ำประกัน"
เมื่อจำเลยแสดงเจตนาไว้ในสัญญาว่า "ค้ำประกัน" ผู้ค้ำประกันจะมีหน้าที่อย่างใดต่อเจ้าหนี้ย่อมทราบได้จากบทนิยามของคำว่า "ค้ำประกัน" ในมาตรา 680 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้กล่าวไว้ให้ชัดลงไปว่ายอมผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ก็ไม่เป็นเหตุให้การค้ำประกันนั้นไร้ผล
ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายให้จำเลยใช้แทนโจทก์เพียง 8,000 บาท ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายให้จำเลยใช้แทนโจทก์ถึง 20,000 บาท ดังนี้ เมื่อได้พิจารณาถึงจำนวนทุนทรัพย์ ความยากง่ายแห่งการดำเนินคดีตลอดถึงงานที่ทนายโจทก์กระทำไปแล้ว ศาลฎีกาลดค่าทนายโจทก์ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งจำเลยจะต้องใช้แทนลงบ้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เลตเตอร์ออฟเครดิต & ทรัสต์รีซีท: หนี้ยังไม่ระงับ, การค้ำประกันมีผลผูกพัน, คิดดอกเบี้ยได้
จำเลยขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตต่อธนาคารโจทก์เพื่อส่งสินค้าจากผู้ขายในต่างประเทศ โจทก์เปิดให้ตามคำขอผู้ขายส่งสินค้ามาให้โจทก์ชำระราคาสินค้าให้แก่ผู้ขายไปแล้ว เมื่อสินค้ามาถึงโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบเพื่อให้นำเงินมาชำระหนี้ จำเลยไม่มีเงินพอ และตามข้อตกลงในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต สินค้าตกอยู่ในความยึดถือของโจทก์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ จำเลยจึงทำสัญญาทรัสต์รีซีทไว้แก่โจทก์เพื่อขอรับเอาเอกสารการส่งสินค้าไปเอาสินค้าออกจากท่าเรือแล้วนำสินค้าไปจำหน่ายและนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ดังนี้การทำสัญญาทรัสต์รีซีทเป็นเพียงวิธีการผ่อนปรนของเจ้าหนี้ให้ลูกหนี้มีโอกาสนำสินค้าที่สั่งซื้อมาด้วยการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตออกจากท่าเรือไปขายเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตเท่านั้น สัญญาทรัสต์รีซีทเป็นสัญญาซื้อต่อเนื่องกับสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตมิได้ทำให้หนี้ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตระงับสิ้นไปได้ในตัว
จำเลยได้รับสำเนาสัญญาทรัสต์รีซีทท้ายฟ้องพร้อมด้วยคำแปลถ้าเห็นว่าโจทก์แปลคำว่า "การันตี" ว่า "ค้ำประกัน" ไม่ถูกต้อง จำเลย จะต้องปฏิเสธความถูกต้องแห่งคำแปลนั้น เมื่อตามคำให้การของจำเลย มิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์แปลผิด ก็ไม่น่าเชื่อว่าคำแปลที่ถูกต้องจะไม่ใช่"ค้ำประกัน"
เมื่อจำเลยแสดงเจตนาไว้ในสัญญาว่า "ค้ำประกัน" ผู้ค้ำประกันจะมีหน้าที่อย่างใดต่อเจ้าหนี้ย่อมทราบได้จากบทนิยามของคำว่า"ค้ำประกัน" ในมาตรา 680 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นอยู่แล้วแม้จะไม่ได้กล่าวไว้ให้ชัดลงไปว่ายอมผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ก็ไม่เป็นเหตุให้การค้ำประกันนั้นไร้ผล
ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายให้จำเลยใช้แทนโจทก์เพียง 8,000 บาท ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายให้จำเลยใช้แทนโจทก์ถึง 20,000 บาท ดังนี้เมื่อได้พิจารณาถึงจำนวนทุนทรัพย์ ความยากง่ายแห่งการดำเนินคดีตลอดถึงงานที่ทนายโจทก์กระทำไปแล้ว ศาลฎีกาลดค่าทนายโจทก์ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งจำเลยจะต้องใช้แทนลงบ้างได้
จำเลยได้รับสำเนาสัญญาทรัสต์รีซีทท้ายฟ้องพร้อมด้วยคำแปลถ้าเห็นว่าโจทก์แปลคำว่า "การันตี" ว่า "ค้ำประกัน" ไม่ถูกต้อง จำเลย จะต้องปฏิเสธความถูกต้องแห่งคำแปลนั้น เมื่อตามคำให้การของจำเลย มิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์แปลผิด ก็ไม่น่าเชื่อว่าคำแปลที่ถูกต้องจะไม่ใช่"ค้ำประกัน"
เมื่อจำเลยแสดงเจตนาไว้ในสัญญาว่า "ค้ำประกัน" ผู้ค้ำประกันจะมีหน้าที่อย่างใดต่อเจ้าหนี้ย่อมทราบได้จากบทนิยามของคำว่า"ค้ำประกัน" ในมาตรา 680 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นอยู่แล้วแม้จะไม่ได้กล่าวไว้ให้ชัดลงไปว่ายอมผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ ก็ไม่เป็นเหตุให้การค้ำประกันนั้นไร้ผล
ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายให้จำเลยใช้แทนโจทก์เพียง 8,000 บาท ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายให้จำเลยใช้แทนโจทก์ถึง 20,000 บาท ดังนี้เมื่อได้พิจารณาถึงจำนวนทุนทรัพย์ ความยากง่ายแห่งการดำเนินคดีตลอดถึงงานที่ทนายโจทก์กระทำไปแล้ว ศาลฎีกาลดค่าทนายโจทก์ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งจำเลยจะต้องใช้แทนลงบ้างได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิไล่เบี้ยเช็ค: ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินไม่ต้องทวงถาม, ศาลฟังต่างกันได้ทั้งคดีอาญาและแพ่ง
ผู้ทรงมีสิทธิไล่เบี้ยผู้สั่งจ่ายเช็คได้เมื่อธนาคารปฏิเสธการใช้เงินไม่จำเป็นต้องทวงถามอีก
คดีเรื่องเช็คมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลคดีอาญาฟังว่าออกเช็คประกันการเล่นราคาทองคำ ไม่มีมูลหนี้ พิพากษายกฟ้อง ศาลคดีแพ่งไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญา และเชื่อคำพยานโจทก์ว่าออกเช็คเพื่อชำระหนี้ได้
คดีเรื่องเช็คมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลคดีอาญาฟังว่าออกเช็คประกันการเล่นราคาทองคำ ไม่มีมูลหนี้ พิพากษายกฟ้อง ศาลคดีแพ่งไม่จำต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญา และเชื่อคำพยานโจทก์ว่าออกเช็คเพื่อชำระหนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารแปลในคดีแพ่ง & ประเด็นข้อต่อสู้ที่มิได้กำหนดไว้
สำเนาเอกสารที่คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงจะต้องส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันนัดสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 นั้นหมายถึงสำเนาเอกสารที่คู่ความอ้างอิงเป็นพยานหลักฐาน มิใช่หมายถึงคำแปลหรือสำเนาคำแปลเอกสาร ทั้งมาตรา 46 มิได้บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศ ส่งคำแปลหรือสำเนาคำแปลให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อโจทก์ส่งสำเนากรมธรรม์ประกันภัยให้จำเลยพร้อมกับสำเนาฟ้อง และได้ยื่นคำแปลกรมธรรม์ประกันภัย ดังกล่าวโดยมีคำรับรองมายื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อแนบไว้กับต้นฉบับแล้ว ศาลย่อมรับฟังกรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ได้
แม้จำเลยที่ 2 จะให้การไว้ว่าจำเลยที่ 2 ประกันภัยค้ำจุน บ. มิใช่ประกันค้ำจุนจำเลยที่ 1 และ บ. ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ไว้เป็น ประเด็น และจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นของศาลชั้นต้นไว้ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีจะยกขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226,249 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2170/2516)
แม้จำเลยที่ 2 จะให้การไว้ว่าจำเลยที่ 2 ประกันภัยค้ำจุน บ. มิใช่ประกันค้ำจุนจำเลยที่ 1 และ บ. ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ไว้เป็น ประเด็น และจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นของศาลชั้นต้นไว้ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีจะยกขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226,249 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2170/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1416/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตั๋วแลกเงิน: สิทธิเรียกร้องเงิน, ดอกเบี้ย, และผลของการเวนคืนตั๋ว
กฎหมายมิได้บังคับให้ต้องนำผู้แปลเอกสารภาษาต่างประเทศมาสืบเพื่อรับรองความถูกต้องของคำแปล เมื่อจำเลยเห็นว่าคำแปลตอนไหนไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไรจำเลยก็ชอบที่จะโต้แย้งหรือแสดงคำแปลที่ถูกต้องได้
การที่โจทก์ผู้สั่งจ่ายและต้องรับผิดเมื่อจำเลยผู้จ่ายซึ่งได้รับรองตั๋วแลกเงินแล้วไม่ยอมจ่ายเงินนั้น ได้เข้าถือเอาตั๋วแลกเงินโดยผู้รับเงินและตัวแทนสละตั๋วแลกเงินนั้นให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 970 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเอาเงินตามตั๋วแลกเงินและดอกเบี้ยในจำนวนเงินนั้นคิดอัตราร้อยละห้าต่อปีนับแต่วันที่ได้ใช้เงินไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 969
เมื่อหนี้ตามตั๋วแลกเงินมีกำหนดระยะเวลาชำระแน่นอนอยู่แล้วโจทก์ไม่จำต้องบอกกล่าวทวงถามอีก
การที่โจทก์ผู้สั่งจ่ายและต้องรับผิดเมื่อจำเลยผู้จ่ายซึ่งได้รับรองตั๋วแลกเงินแล้วไม่ยอมจ่ายเงินนั้น ได้เข้าถือเอาตั๋วแลกเงินโดยผู้รับเงินและตัวแทนสละตั๋วแลกเงินนั้นให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 970 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเอาเงินตามตั๋วแลกเงินและดอกเบี้ยในจำนวนเงินนั้นคิดอัตราร้อยละห้าต่อปีนับแต่วันที่ได้ใช้เงินไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 969
เมื่อหนี้ตามตั๋วแลกเงินมีกำหนดระยะเวลาชำระแน่นอนอยู่แล้วโจทก์ไม่จำต้องบอกกล่าวทวงถามอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1416/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตั๋วแลกเงิน: สิทธิเรียกร้อง, ดอกเบี้ย, และผลของการสละตั๋ว
กฎหมายมิได้บังคับให้ต้องนำผู้แปลเอกสารภาษาต่างประเทศมาสืบเพื่อรับรองความถูกต้องของคำแปล เมื่อจำเลยเห็นว่าคำแปลตอนไหนไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร จำเลยก็ชอบที่จะโต้แย้งหรือแสดงคำแปลที่ถูกต้องได้
การที่โจทก์ผู้สั่งจ่ายและต้องรับผิดเมื่อจำเลยผู้จ่ายซึ่งได้รับรองตั๋วแลกเงินแล้วไม่ยอมจ่ายเงินนั้น ได้เข้าถือเอาตั๋วแลกเงินโดยผู้รับเงินและตัวแทนสละตั๋วแลกเงินนั้นให้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 970 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเอาเงินตามตั๋วแลกเงินและดอกเบี้ยในจำนวนเงินนั้น คิดอัตราร้อยละห้าต่อปี นับแต่วันที่ได้ใช้เงินไปได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 969
เมื่อหนี้ตามตั๋วแลกเงินมีกำหนดระยะเวลาชำระแน่นอนอยู่แล้ว โจทก์ไม่จำต้องบอกกล่าวทวงถามอีก
การที่โจทก์ผู้สั่งจ่ายและต้องรับผิดเมื่อจำเลยผู้จ่ายซึ่งได้รับรองตั๋วแลกเงินแล้วไม่ยอมจ่ายเงินนั้น ได้เข้าถือเอาตั๋วแลกเงินโดยผู้รับเงินและตัวแทนสละตั๋วแลกเงินนั้นให้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 970 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเอาเงินตามตั๋วแลกเงินและดอกเบี้ยในจำนวนเงินนั้น คิดอัตราร้อยละห้าต่อปี นับแต่วันที่ได้ใช้เงินไปได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 969
เมื่อหนี้ตามตั๋วแลกเงินมีกำหนดระยะเวลาชำระแน่นอนอยู่แล้ว โจทก์ไม่จำต้องบอกกล่าวทวงถามอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1394/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งเอกสารแปลในคดีแพ่ง และประเด็นข้อต่อสู้ที่ไม่ได้รับการกำหนดเป็นประเด็นโดยศาล
สำเนาเอกสารที่คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงจะต้องส่งให้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก่อนวันนัดสืบพยานไม่น้อยกว่า 3 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 นั้น หมายถึงสำเนาเอกสารที่คู่ความอ้างอิงเป็นพยานหลักฐาน มิใช่หมายถึงคำแปลหรือสำเนาคำแปลเอกสาร ทั้งมาตรา 46 มิได้บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารที่เป็นภาษาต่างประเทศ ส่งคำแปลหรือสำเนาคำแปลให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อโจทก์ส่งสำเนากรมธรรม์ประกันภัยให้จำเลย พร้อมกับสำเนาฟ้อง และได้ยื่นคำแปลกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว โดยมีคำรับรองมายื่นต่อศาลชั้นต้นเพื่อแนบไว้กับต้นฉบับแล้ว ศาลย่อมรับฟังกรมธรรม์ประกันภัยเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ได้
แม้จำเลยที่ 2 จะให้การไว้ว่าจำเลยที่ 2 ประกันภัยค้ำจุน บ. มิใช่ประกันค้ำจุน จำเลยที่ 1 และ บ.ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ไว้เป็นประเด็น และจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นของศาลชั้นต้นไว้ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีจะยกขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแห่ง มาตรา 226, 249 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2170/2516)
แม้จำเลยที่ 2 จะให้การไว้ว่าจำเลยที่ 2 ประกันภัยค้ำจุน บ. มิใช่ประกันค้ำจุน จำเลยที่ 1 และ บ.ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ไว้เป็นประเด็น และจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งคัดค้านการกำหนดประเด็นของศาลชั้นต้นไว้ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นประเด็นแห่งคดีจะยกขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแห่ง มาตรา 226, 249 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2170/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลียนแบบเครื่องหมายการค้า การใช้ชื่อสินค้าที่คล้ายคลึงกัน และการลวงขายสินค้าทำให้เกิดการละเมิด
กฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องนำผู้แปลมาสืบเมื่อจำเลยเห็นว่าคำแปลตรงไหนไม่ถูกต้อง หรือคลาดเคลื่อนอย่างไรจำเลยก็โต้แย้งหรือเสนอคำแปลที่ถูกต้องได้ แต่จำเลยก็ไม่ได้กระทำการดังกล่าว จึงถือได้ว่าคำแปลเอกสารภาษาต่างประเทศของโจทก์ถูกต้องแล้ว
สินค้าของโจทก์จำหน่ายแพร่หลายในประเทศไทยมาราว 15 ปีแล้ว แต่โจทก์ไม่ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในประเทศไทย ชื่อสินค้าโจทก์ที่เรียกว่า "CALUMET" นั้นไม่มีคำแปล การที่จำเลยเรียกชื่อสินค้าของจำเลยว่า "CALUMAK" ซึ่งแตกต่างกับชื่อสินค้าของโจทก์เพียงอักษรท้ายสองตัว เมื่อออกสำเนียงชื่อก็คล้ายคลึงกันสีพื้นของเครื่องหมายการค้าเป็นสีแดงและมีรูปคนประกอบเหมือนกัน ทั้งสินค้าของโจทก์จำเลยก็เป็นสินค้าจำพวก 42 เช่นเดียวกัน ส่อให้เห็นเจตนาของจำเลยที่จะเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ให้ประชาชนหลงเชื่อว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์ แม้จำเลยจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยแล้ว แต่เมื่อจำเลยเอาสินค้าของจำเลยไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของโจทก์ โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า มาตรา 29 วรรคสอง
สินค้าของโจทก์จำหน่ายแพร่หลายในประเทศไทยมาราว 15 ปีแล้ว แต่โจทก์ไม่ได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในประเทศไทย ชื่อสินค้าโจทก์ที่เรียกว่า "CALUMET" นั้นไม่มีคำแปล การที่จำเลยเรียกชื่อสินค้าของจำเลยว่า "CALUMAK" ซึ่งแตกต่างกับชื่อสินค้าของโจทก์เพียงอักษรท้ายสองตัว เมื่อออกสำเนียงชื่อก็คล้ายคลึงกันสีพื้นของเครื่องหมายการค้าเป็นสีแดงและมีรูปคนประกอบเหมือนกัน ทั้งสินค้าของโจทก์จำเลยก็เป็นสินค้าจำพวก 42 เช่นเดียวกัน ส่อให้เห็นเจตนาของจำเลยที่จะเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ให้ประชาชนหลงเชื่อว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าของโจทก์ แม้จำเลยจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยแล้ว แต่เมื่อจำเลยเอาสินค้าของจำเลยไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของโจทก์ โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายได้ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า มาตรา 29 วรรคสอง