พบผลลัพธ์ทั้งหมด 540 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2686/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิลูกจ้างตามระเบียบข้อบังคับ – การจ่ายค่าทำงานล่วงเวลา/วันหยุด แม้ไม่มีงานให้ทำช่วงเวลาที่อยู่เวร
เมื่อฟ้องโจทก์เป็นการขอให้จำเลยจ่ายเงินตามระเบียบ ข้อบังคับซึ่งมีอยู่เดิม มิใช่เป็นเรื่องแก้ไขเพิ่มเติม ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างอันจะต้องแจ้งข้อเรียกร้องเป็นหนังสือถึงจำเลยก่อน โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลแรงงานกลางได้ทันที การที่โจทก์มีหน้าที่ต้องทำงานล่วงเวลาหรือทำงานในวันหยุด กับการมีงานให้ทำจริงๆในช่วงเวลานั้นๆเป็นคนละกรณี กัน เมื่อโจทก์ต้องทำงานในช่วงเวลาที่จำเลยกำหนดแต่ไม่มีงานให้โจทก์ทำ ไม่ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าว ไม่เป็นการทำงานล่วงเวลาหรือทำงานในวันหยุด ข้ออุทธรณ์ของจำเลยเป็นข้อที่จำเลยมิได้ต่อสู้ให้เป็น ประเด็นมาในคำให้การ แม้ศาลแรงงานกลางจะวินิจฉัยให้ก็ไม่เป็นการผูกพันที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยให้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2524-2525/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดเวลาทำงานปกติและสิทธิการได้รับค่าอาหารของลูกจ้าง การตีความคำสั่งการจ่ายเบี้ยเลี้ยง
เดิมจำเลยมีคำสั่งที่ 3507/2523 กำหนดให้พนักงานจ่ายงานจ่ายตั๋ว จ่ายเบี้ยเลี้ยงปฏิบัติงานนอกเหนือชั่วโมงทำงานปกติในช่วงเวลาตั้งแต่ 4.00-8.00 นาฬิกา และไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยงอื่นใด ให้ได้รับค่าอาหารวันละ 20 บาทต่อมาจำเลยมีคำสั่งที่ 540/2525 กำหนดเวลาการทำงานตามปกติของพนักงานจ่ายงานในเขตการเดินรถที่ 6 เป็นสองผลัดผลัดที่ 1 ทำงานระหว่าง 4.00-12.30 นาฬิกาผลัดที่ 2 ทำงานระหว่าง 11.00-19.30 นาฬิกา ซึ่งนายจ้างมีอำนาจที่จะกำหนดเวลาทำงานของลูกจ้างได้ตามความจำเป็นและความเหมาะสมแก่ ลักษณะงานในหน้าที่ของลูกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 3 และข้อ 68 อันถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์ย้ายมาเป็นพนักงานจ่ายงานประจำเขตการเดินรถที่ 6 จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของคำสั่งดังกล่าว ส่วนคำสั่งที่ 3507/2523 มิใช่เป็นเรื่อง กำหนดเวลาทำงานปกติของพนักงานแต่อย่างใด คำสั่งที่ 540/2525 ไม่เป็นการขัดหรือแย้งกับคำสั่งที่ 3507/2523 จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าคำสั่งที่ 540/2525 ไม่เป็นคุณแก่โจทก์หรือไม่โจทก์มีเวลาทำงานในช่วงเวลา 4.00-8.00 นาฬิกา แต่มิใช่เป็นการทำงานนอกเหนือชั่วโมงทำงานปกติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโจทก์ จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนหรือค่าอาหารตามคำสั่งที่ 3507/2523 ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การให้พนักงานทำงานเป็นผลัดไม่มีหลักฐาน ว่ามีชื่อและลายมือชื่อผู้ปฏิบัติงาน จึงฟังไม่ได้นั้น เป็นการโต้เถียง ข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2524-2525/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดเวลาทำงานปกติและการจ่ายค่าอาหาร: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการทำงานในช่วงเวลาปกติไม่อาจเรียกร้องค่าอาหารตามระเบียบเดิมได้
เดิมจำเลยมีคำสั่งที่ 3507/2523 กำหนดให้พนักงานจ่ายงานจ่ายตั๋ว จ่ายเบี้ยเลี้ยง ปฏิบัติงานนอกเหนือชั่วโมงทำงานปกติในช่วงเวลาตั้งแต่ 4.00-8.00 นาฬิกา และไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยงอื่นใด ให้ได้รับค่าอาหารวันละ 20 บาทต่อมาจำเลยมีคำสั่งที่ 540/2525 กำหนดเวลาการทำงานตามปกติของพนักงานจ่ายงานในเขตการเดินรถที่ 6 เป็นสองผลัดผลัดที่ 1 ทำงานระหว่าง 4.00-12.30 นาฬิกา ผลัดที่ 2 ทำงานระหว่าง 11.00-19.30 นาฬิกา ซึ่งนายจ้างมีอำนาจที่จะกำหนดเวลาทำงานของลูกจ้างได้ตามความจำเป็นและความเหมาะสมแก่ลักษณะงานในหน้าที่ของลูกจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 3 และข้อ 68 อันถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์ย้ายมาเป็นพนักงานจ่ายงานประจำเขตการเดินรถที่ 6 จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของคำสั่งดังกล่าว ส่วนคำสั่งที่ 3507/2523 มิใช่เป็นเรื่องกำหนดเวลาทำงานปกติของพนักงานแต่อย่างใดคำสั่งที่ 540/2525 ไม่เป็นการขัดหรือแย้งกับคำสั่งที่ 3507/2523 จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าคำสั่งที่ 540/2525 ไม่เป็นคุณแก่โจทก์หรือไม่ โจทก์มีเวลาทำงานในช่วงเวลา 4.00-8.00 นาฬิกา แต่มิใช่เป็นการทำงานนอกเหนือชั่วโมงทำงานปกติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนหรือค่าอาหารตามคำสั่งที่ 3507/2523
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การให้พนักงานทำงานเป็นผลัดไม่มีหลักฐาน ว่ามีชื่อและลายมือชื่อผู้ปฏิบัติงาน จึงฟังไม่ได้นั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การให้พนักงานทำงานเป็นผลัดไม่มีหลักฐาน ว่ามีชื่อและลายมือชื่อผู้ปฏิบัติงาน จึงฟังไม่ได้นั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1044/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจากพฤติการณ์ขาดงานและการเล่นการพนอกสถานที่ มิใช่ละทิ้งหน้าที่
กำหนดเวลาทำงานของโจทก์ซึ่งเป็นยามรักษาการณ์นั้น หัวหน้างานได้จัดทำตารางการเข้าทำงานล่วงหน้าไว้เป็นรายวันประจำเดือนเพื่อให้บรรดายามรักษาการณ์ได้รู้กำหนดเวลาที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ และเพื่อความสะดวกของผู้บังคับบัญชาเองที่ไม่ต้องกำหนดเวลาอย่างกะทันหันโดยที่โจทก์และยามรักษาการณ์ไม่อาจทราบได้ทันกำหนดเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการที่สั่งให้โจทก์กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด และเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามเป็นการขัดคำสั่งหรือหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาพฤติการณ์ของโจทก์ที่ไม่ไปเข้าเวรยามตามกำหนดเวลาเป็นเพียงการขาดงานเท่านั้น ทั้งจำเลยเองได้แทงในบัญชีพนักงานลงชื่อและเวลาทำงานว่าโจทก์ขาดงาน จึงมิใช่เป็นเรื่องโจทก์ละทิ้งหน้าที่ไปเล่นการพนันในเวลาปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการผิดระเบียบการทำงานของจำเลย ส่วนการที่โจทก์เล่นการพนันนอกสถานที่ทำการของจำเลย มิใช่เป็นการเล่นในเวลาปฏิบัติหน้าที่ ไม่ทำให้จำเลยเสียหาย ลักษณะการกระทำของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง การกระทำของโจทก์ยังไม่เป็นความผิดตามข้อบังคับหรือคำสั่งของจำเลย อันจะเป็นเหตุให้จำเลยไล่โจทก์ออกจากงานได้
ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางพิจารณาคำเบิกความของพยานรวบรัดเกินไป เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
การวินิจฉัยและพิพากษาคดีแรงงานนั้น มิได้มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลจำต้องอ้างกฎหมายที่ยกขึ้นเป็นหลักในการวินิจฉัยและพิพากษาคดีอย่างชัดแจ้ง เมื่อศาลเห็นว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายและมีสิทธิตามที่เรียกร้องและขอให้ศาลบังคับเอาแก่จำเลยได้ไม่ว่าด้วยเหตุถูกละเมิด มีสิทธิตามสัญญา หรือกฎหมาย ศาลย่อมวินิจฉัยและพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของโจทก์ได้ โดยเพียงแต่กล่าวว่าโจทก์มีสิทธิอย่างไรอันมีผลเป็นการผูกพันให้จำเลยต้องปฏิบัติตามที่โจทก์เรียกร้องเท่านั้น หาจำเป็นต้องอ้างตัวบทกฎหมายที่เป็นกำเนิดแห่งสิทธิของโจทก์ไม่
ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางพิจารณาคำเบิกความของพยานรวบรัดเกินไป เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
การวินิจฉัยและพิพากษาคดีแรงงานนั้น มิได้มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลจำต้องอ้างกฎหมายที่ยกขึ้นเป็นหลักในการวินิจฉัยและพิพากษาคดีอย่างชัดแจ้ง เมื่อศาลเห็นว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายและมีสิทธิตามที่เรียกร้องและขอให้ศาลบังคับเอาแก่จำเลยได้ไม่ว่าด้วยเหตุถูกละเมิด มีสิทธิตามสัญญา หรือกฎหมาย ศาลย่อมวินิจฉัยและพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของโจทก์ได้ โดยเพียงแต่กล่าวว่าโจทก์มีสิทธิอย่างไรอันมีผลเป็นการผูกพันให้จำเลยต้องปฏิบัติตามที่โจทก์เรียกร้องเท่านั้น หาจำเป็นต้องอ้างตัวบทกฎหมายที่เป็นกำเนิดแห่งสิทธิของโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1044/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: การเล่นการพนอกสถานที่ทำงาน ไม่ถือเป็นละทิ้งหน้าที่ร้ายแรง
กำหนดเวลาทำงานของโจทก์ซึ่งเป็นยามรักษาการณ์นั้นหัวหน้างานได้จัดทำตารางการเข้าทำงานล่วงหน้าไว้เป็นรายวันประจำเดือนเพื่อให้บรรดายามรักษาการณ์ได้รู้กำหนดเวลาที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่และเพื่อความสะดวกของผู้บังคับบัญชาเองที่ไม่ต้องกำหนดเวลาอย่างกะทันหันโดยที่โจทก์และยามรักษาการณ์ไม่อาจทราบได้ทันกำหนดเท่านั้นยังถือไม่ได้ว่าเป็นการที่สั่งให้โจทก์กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดและเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามเป็นการขัดคำสั่งหรือหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาพฤติการณ์ของโจทก์ที่ไม่ไปเข้าเวรยามตามกำหนดเวลาเป็นเพียงการขาดงานเท่านั้นทั้งจำเลยเองได้แทงในบัญชีพนักงานลงชื่อและเวลาทำงานว่าโจทก์ขาดงานจึงมิใช่เป็นเรื่องโจทก์ละทิ้งหน้าที่ไปเล่นการพนันในเวลาปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการผิดระเบียบการทำงานของจำเลยส่วนการที่โจทก์เล่นการพนันนอกสถานที่ทำการของจำเลยมิใช่เป็นการเล่นในเวลาปฏิบัติหน้าที่ ไม่ทำให้จำเลยเสียหายลักษณะการกระทำของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงการกระทำของโจทก์ยังไม่เป็นความผิดตามข้อบังคับหรือคำสั่งของจำเลยอันจะเป็นเหตุให้จำเลยไล่โจทก์ออกจากงานได้ ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางพิจารณาคำเบิกความของพยานรวบรัดเกินไปเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้ การวินิจฉัยและพิพากษาคดีแรงงานนั้นมิได้มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลจำต้องอ้างกฎหมายที่ยกขึ้นเป็นหลักในการวินิจฉัยและพิพากษาคดีอย่างชัดแจ้งเมื่อศาลเห็นว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายและมีสิทธิตามที่เรียกร้องและขอให้ศาลบังคับเอาแก่จำเลยได้ไม่ว่าด้วยเหตุถูกละเมิดมีสิทธิตามสัญญาหรือกฎหมายศาลย่อมวินิจฉัยและพิพากษาให้จำเลยปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของโจทก์ได้โดยเพียงแต่กล่าวว่าโจทก์มีสิทธิอย่างไรอันมีผลเป็นการผูกพันให้จำเลยต้องปฏิบัติตามที่โจทก์เรียกร้องเท่านั้นหาจำเป็นต้องอ้างตัวบทกฎหมายที่เป็นกำเนิดแห่งสิทธิของโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 169/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างที่หยุดงานโดยไม่ได้รับอนุมัติถือเป็นการละทิ้งงานตามกฎหมาย
การที่โจทก์ยื่นใบลาหยุดพักผ่อนวันที่ 21 ถึง 25 กุมภาพันธ์ 2526 แต่ผู้จัดการให้โจทก์เลื่อนการลาหยุดพักผ่อนไปก่อนเพราะบริษัทมีงานค้างมาก โจทก์จึงได้แก้วันที่ขอลาหยุดเป็นวันที่ 1 ถึง 7 มีนาคม 2526 ผู้จัดการเซ็นคำสั่งไม่อนุมัติเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2526 ภายหลังจากวันโจทก์ยื่นใบลา แล้วโจทก์หยุดงานไปโดยเข้าใจว่าได้รับอนุมัติให้ลาได้ นั้น เมื่อข้อบังคับของจำเลยระบุว่า การขอลาหยุดพักผ่อนประจำปี ลูกจ้างจะหยุดได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากผู้จัดการแล้ว ฉะนั้น การที่โจทก์หยุดงานไปดังกล่าวจึงเป็นการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อบังคับ ถือได้ว่าเป็นการละทิ้งการงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 583 จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์หยุดพักผ่อนโดยไม่ได้รับอนุมัติจากผู้จัดการ อันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของจำเลย และอาจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายได้ จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลที่สมควรถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
อุทธรณ์ที่ว่า ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงขัดแย้งกับเอกสารนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงาน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์หยุดพักผ่อนโดยไม่ได้รับอนุมัติจากผู้จัดการ อันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของจำเลย และอาจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายได้ จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลที่สมควรถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม
อุทธรณ์ที่ว่า ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงขัดแย้งกับเอกสารนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงาน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 169/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างเนื่องจากละทิ้งการงานจากการหยุดพักผ่อนโดยไม่ได้รับอนุมัติ
การที่โจทก์ยื่นใบลาหยุดพักผ่อนวันที่ 21 ถึง 25กุมภาพันธ์ 2526 แต่ผู้จัดการให้โจทก์เลื่อนการลาหยุดพักผ่อนไปก่อนเพราะบริษัทมีงานค้างมาก โจทก์จึงได้แก้วันที่ขอลาหยุดเป็นวันที่ 1 ถึง 7 มีนาคม 2526ผู้จัดการเซ็นคำสั่งไม่อนุมัติเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์2526 ภายหลังจากวันโจทก์ยื่นใบลา แล้วโจทก์หยุดงานไปโดยเข้าใจว่าได้รับอนุมัติให้ลาได้ นั้น เมื่อข้อบังคับของจำเลยระบุว่า การขอลาหยุดพักผ่อนประจำปี ลูกจ้างจะหยุดได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากผู้จัดการแล้ว ฉะนั้น การที่โจทก์หยุดงานไปดังกล่าวจึงเป็นการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อบังคับ ถือได้ว่าเป็นการละทิ้งการงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์หยุดพักผ่อนโดยไม่ได้รับอนุมัติจากผู้จัดการ อันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของจำเลย และอาจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายได้ จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลที่สมควร ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม อุทธรณ์ที่ว่า ศาลแรงงานฟังข้อเท็จจริงขัดแย้งกับเอกสารนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงาน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2218/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงในคดีแรงงาน: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามมาตรา 54 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงาน
ในคดีชั้นร้องขัดทรัพย์ ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นทรัพย์สินของจำเลย การที่ผู้ร้องอุทธรณ์ว่าทรัพย์สิน ตามคำร้องเป็นทรัพย์สินที่บริษัทจำเลยได้ขายให้แก่ บริษัท ร. ซึ่งมีผู้ร้องเป็นกรรมการผู้จัดการนั้นเป็นอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริง จุดประสงค์เพื่อเป็นข้ออ้างนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่ผู้ร้องอุทธรณ์ ขึ้นมาเท่านั้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1963/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำงานแทนโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่อาจเรียกร้องค่าทำงานในวันหยุดได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์แทน พ. โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาตามระเบียบของจำเลยเป็นเรื่องที่โจทก์สมัครใจทำเองโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าทำงานในวันหยุด จากจำเลย ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ที่อ้างว่าข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏ แจ้งชัดพอให้วินิจฉัยได้ว่าจำเลยได้มีระเบียบปฏิบัติอย่างไร และในทาง ที่ปฏิบัติกันมาจำเลยก็ผ่อนปรนให้ทำงานแทนกันได้ จึงเป็นอุทธรณ์ ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1963/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำงานวันหยุดแทนกันโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่อาจเรียกร้องค่าทำงานวันหยุดได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ทำงานในวันหยุดประจำสัปดาห์แทน พ. โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาตามระเบียบของจำเลย เป็นเรื่องที่โจทก์สมัครใจทำเองโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าทำงานในวันหยุดจากจำเลย ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ที่อ้างว่าข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏแจ้งชัดพอให้วินิจฉัยได้ว่าจำเลยได้มีระเบียบปฏิบัติอย่างไร และในทาง ที่ปฏิบัติกันมาจำเลยก็ผ่อนปรนให้ทำงานแทนกันได้ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย