พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,123 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3018/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายบ้านโดยไม่จดทะเบียน และข้อจำกัดการฎีกาในคดีทรัพย์สินราคาไม่เกินสองแสนบาท
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยและครอบครัวเข้าอยู่ในบ้านพิพาทโดยอาศัยโจทก์ แม้จะอยู่มาเกิน 10 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จำเลยฎีกาว่าจำเลยซื้อบ้านพิพาทจากโจทก์ในราคา 8,000 บาท เมื่อปี 2516จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทแล้วจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อคดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งมีผลบังคับก่อนที่จำเลยยื่นฎีกา คู่ความจะฎีกาได้หรือไม่เพียงใด ต้องพิเคราะห์ตามบทกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2893/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม – จำนวนทุนทรัพย์เกินสองแสนบาท – การโต้แย้งข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 290, 500 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าป.มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วย จำเลยที่ 2 จึงรับผิดไม่เกินครึ่งหนึ่งของค่าสินไหม-ทดแทนทั้งหมด ดังนี้ ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นการโต้แย้งในข้อเท็จจริงและจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามป.วิ.พ. มาตรา 248 ซึ่งแก้ไขโดย พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.พ.(ฉบับที่ 12) พ.ศ.2534 มาตรา 18 แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 2 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2893/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โต้แย้งข้อเท็จจริงและทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท ศาลฎีกาไม่รับพิจารณา
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 290,500 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 2ฎีกาว่า ป. มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วย จำเลยที่ 2 จึงรับผิดไม่เกินครึ่งหนึ่งของค่าสินไหมทดแทนทั้งหมด ดังนี้ ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นการโต้แย้งในข้อเท็จจริงและจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามาศาลฎีกาก็วินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 2 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2320/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดทุนทรัพย์ฎีกา: คดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาทในชั้นฎีกา ทำให้ฎีกาในข้อเท็จจริงเป็นที่รับไม่ได้
โจทก์ทั้งสองต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์แต่ละคนฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดและการรับประกันภัยค้ำจุนซึ่งทำให้โจทก์แต่ละคนเสียหาย แม้จะฟ้องรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องให้แก่โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 คนละไม่ถึงสองแสนบาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน การที่จำเลยทั้งสองฎีกาให้กลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คนขับรถของโจทก์ที่ 2 มีส่วนประมาทด้วยค่าต่อตัวถังกับห้องเย็นรถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่ 2 ไม่เกิน100,000 บาท และรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ไม่เสื่อมสภาพนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2318/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์และฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ในคดีแพ่ง: การพิจารณาตามมูลค่าความเสียหายของโจทก์แต่ละคน
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายสำหรับโจทก์ที่ 1 จำนวน 73,011 บาท โจทก์ที่ 2 จำนวน 38,000 บาทโจทก์ที่ 3 จำนวน 8,183 บาท และโจทก์ที่ 4 จำนวน 10,368 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 129,562 บาท ดังนี้ไม่ใช่หนี้ร่วมที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนเงินที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดเท่านั้น คดีในส่วนของโจทก์ที่ 3ที่ 4 มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยที่ 2ไม่มีสิทธิที่จะฎีกาข้อเท็จจริงในส่วนของโจทก์ที่ 3 ที่ 4 ต่อมาได้และคดีในส่วนของโจทก์ที่ 2 มีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยที่ 2 ในข้อเท็จจริงสำหรับคดีในส่วนของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 มานั้น จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1648/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิร่วมในที่ดินพิพาทจากการขายฝากโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวม และอำนาจฟ้องขับไล่
คดีที่ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ที่แก้ใหม่ ในการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 การที่ ช. ขายฝากที่ดินพิพาททั้งแปลงให้แก่โจทก์เป็นการจำหน่ายตัวทรัพย์สินนั้น โดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยเจ้าของรวมสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทที่ ช. ทำกับโจทก์จึงผูกพันที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของ ช. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361วรรคแรกและวรรคสอง การที่ ช. ขายฝากที่ดินพิพาทในส่วนของตนให้แก่โจทก์โจทก์กับจำเลยจึงมีสิทธิร่วมกันในที่ดินพิพาททุกส่วน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1596/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์คดีทรัพย์สินมูลค่าน้อยกว่า 5 หมื่นบาท และผลของการฎีกาในข้อเท็จจริงที่ยุติแล้ว
เมื่อราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท และจำเลยยื่นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงภายหลังพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 14 ใช้บังคับแล้ว จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคแรก การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ เมื่อคดีได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ผู้พิพากษาจะรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ยุติไปแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1461/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อยกว่าห้าหมื่นบาท และการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความรับผิดในทางการจ้าง
คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในศาลชั้นต้นไม่เกินห้าหมื่นบาทศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานโจทก์คือ น. กับ ส. และร้อยตำรวจโทส. พนักงานสอบสวน ไม่ได้เบิกความว่า จำเลยที่ 4 ได้ทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ทั้งในเอกสารบันทึกประจำวันก็ไม่ปรากฏข้อความดังกล่าวเช่นเดียวกัน เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าพยานโจทก์ที่นำสืบรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 4ได้ทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 โจทก์ฎีกาว่าคำเบิกความของร้อยตำรวจโท ส. มีความหมายอยู่ในตัวว่าในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 4 เป็นลูกจ้างได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1ที่ 2 ที่ 3 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นฎีกาดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1113/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์คดีแพ่งแยกคำนวณรายโจทก์เมื่อพิพาทสิทธิที่ดินแปลงต่างกัน ทำให้ฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ที่ดินมีสองแปลงซึ่งโจทก์แต่ละคนอ้างว่าเป็นเจ้าของเพียงแต่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองมีเขตติดต่อกันเท่านั้น เป็นเรื่องที่โจทก์แต่ละคนต่างถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิ แม้โจทก์ทั้งสองจะฟ้องรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน ทุนทรัพย์จึงต้องคิดแยกเป็นของโจทก์แต่ละคน โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกสิทธิครอบครองที่ดินจากจำเลย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินแต่ละแปลงที่โจทก์แต่ละคนฟ้อง เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของโจทก์แต่ละคนไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่เคลือบคลุม – ทุนทรัพย์ไม่เกิน 2แสน – ห้ามฎีกาข้อเท็จจริง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์และป. น้องชายเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของท.เจ้ามรดกหลังจากท. ตายโจทก์และป.ไปขอรับมรดกที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดิน แต่จำเลยได้ไปยื่นเรื่องราวขอรับมรดกที่ดินดังกล่าวก่อนแล้ว โดยอ้างพินัยกรรมซึ่งเป็นพินัยกรรมปลอมทำให้โจทก์ไม่สามารถรับมรดกได้ เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วไม่จำต้องบรรยายฟ้องด้วยว่าพินัยกรรมของจำเลยปลอมที่ไหน เมื่อใด ปลอมทั้งฉบับหรือปลอมบางส่วน ซึ่งเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบกันต่อไปในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า พินัยกรรมปลอม ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าพินัยกรรมดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมาย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เมื่อราคาทรัพย์หรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก