พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,123 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2389/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีหนี้แยกชำระเกินอำนาจศาลอุทธรณ์ ห้ามฎีกาข้อเท็จจริง
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 71,852 บาท และดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จโดยโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์คันที่ถูกชนเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ในการใช้รถยนต์กับค่าที่รถยนต์เสื่อมราคาและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 40,378 บาท และโจทก์ที่ 1 ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวจากโจทก์ที่ 2 เรียกร้องเงินที่ได้ชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมรถและค่าลากจูงรถยนต์ที่ถูกชนไปทำการซ่อมและดอกเบี้ยเป็นเงิน 31,474 บาท เป็นการฟ้องเรียกหนี้ที่อาจแบ่งแยกกันชำระได้จึงไม่ใช่หนี้ร่วม ค่าเสียหายที่โจทก์แต่ละคนฟ้องเรียกต้องแยกออกจากกันจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาทเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ย่อมต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2290/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่ที่ดินพิพาทที่จำเลยอ้างสิทธิเช่าและซื้อตามพ.ร.บ.เช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องคดีส่วนแพ่งขอให้ห้ามจำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทของโจทก์ถือได้ว่าเป็นประเภทเดียวกับฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เมื่อที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท คดีส่วนแพ่งจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในคดีส่วนแพ่งว่าจำเลยที่ 1 ได้เช่าที่ดินพิพาทจาก ม. และ บ.เจ้าของที่ดินพิพาทเดิม เมื่อโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโจทก์ต้องรับโอนทั้งสิทธิและหน้าที่ที่จะต้องให้จำเลยที่ 1 เช่าหรือจำเลยที่ 1 มีสิทธิที่จะซื้อที่ดินพิพาทจาก บ. หรือโจทก์ ตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 จำเลยที่ 1จึงมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทได้นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เช่าที่ดินพิพาทจาก ม. หรือบ. เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2290/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่และสิทธิเช่าที่ดิน: ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องคดีส่วนแพ่งขอให้ห้ามจำเลยเข้าไปในที่ดินพิพาทของโจทก์ ถือได้ว่าเป็นประเภทเดียวกับฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท และจำเลยมิได้กล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เมื่อที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท คดีส่วนแพ่งจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามมาตรา 248 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในคดีส่วนแพ่งว่าจำเลยที่ 1 ได้เช่าที่ดินพิพาทจากนาง ม. และ บ. เจ้าของที่ดินพิพาทเดิม เมื่อโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโจทก์ต้องรับโอนทั้งสิทธิและหน้าที่ที่จะจต้องให้จำเลยที่ 1 เช่า หรือจำเลยที่ 1 มีสิทธิที่จะซื้อที่ดินพิพาทจาก บ.หรือโจทก์ ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทได้นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เช่าที่ดินพิพาทจาก ม.หรือ บ. เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2263/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรมธรรม์ประกันภัย: ข้อจำกัดความรับผิดของผู้รับประกันภัยต่อบุคคลภายนอก และข้อจำกัดการอุทธรณ์ฎีกาเรื่องค่าเสียหาย
ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่เอาประกันภัยค้ำจุนไว้กับจำเลยที่ 2 ไปในทางการที่จ้างด้วยความประมาทเฉี่ยวชนกับรถยนต์โดยสารเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดได้รับความเสียหายตามเงื่อนไขทั่วไปในกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 1.8ระบุว่าผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่นำหลักฐานมาแสดงต่อบริษัทเพื่อพิสูจน์ว่าผู้ขับรถยนต์ในขณะเกิดอุบัติเหตุเคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2.13.6 ระบุว่า การประกันภัยไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการขับขี่โดยบุคคลที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ใด ๆ หรือเคยได้รับแต่ขาดต่ออายุเกิน 180 วันหรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิตามกฎหมายในการขับรถยนต์ ในเวลาเกิดอุบัติเหตุ แต่กรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2.14 มีข้อความว่าข้อสัญญาพิเศษ ภายใต้จำนวนเงินจำกัดความรับผิดที่ระบุไว้ในตารางบริษัทจะไม่ยกเอาความสมบูรณ์แห่งกรมธรรม์หรือเงื่อนไขทั่วไปเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิด ดังนั้นจำเลยที่ 2 จะยกเอาเงื่อนไขทั่วไปข้อ 1.8 และการยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 2.13.6 มาต่อสู้โจทก์ทั้งสิบเอ็ดซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยไม่ได้ โจทก์ทั้งสิบเอ็ดมิได้ร่วมกันเรียกร้องให้จำเลยรับผิดอย่างเจ้าหนี้ร่วม แต่ละคนต่างเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่ตนได้รับเท่านั้น แม้จะอาศัยมูลละเมิดเดียวกัน คดีสำหรับโจทก์คนใดจะอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่จึงต้องแยกพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์คนนั้น ๆ เรียกร้อง โจทก์ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 9เรียกร้องให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายให้แก่ตนเป็นจำนวนคนละไม่เกิน 50,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีสำหรับโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4และที่ 9 จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2263/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิฎีกาในคดีละเมิด: จำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องเกิน 50,000 บาท จึงมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
โจทก์ทั้งสิบเอ็ดมิได้ร่วมกันเรียกร้องให้จำเลยรับผิดอย่างเจ้าหนี้ร่วม แต่แต่ละคนต่างเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่ตนได้รับเท่านั้น แม้จะอาศัยมูลละเมิดเดียวกัน คดีสำหรับโจทก์คนใดจะอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่นั้น ต้องแยกพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์คนนั้นเรียกร้อง โจทก์ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 9 เรียกร้องให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายให้แก่ตนเป็นจำนวนคนละไม่เกิน 50,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีสำหรับโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 9 จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2209/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อยกว่า 50,000 บาท, ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน, และอายุความสัญญา
คดีสำหรับจำเลยที่ 1 มีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินจำนวน50,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1ไม่ได้ค้ำประกันการทำงานของ อ.ให้ยกฟ้องโจทก์ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248 ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกัน อ.จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าว
จำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือค้ำประกันการเข้าทำงานของ อ.ไว้ต่อโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 บอกเลิกสัญญาค้ำประกันคงมีผลให้จำเลยที่ 2หลุดพ้นความรับผิดในการกระทำของ อ.ที่ให้กระทำภายหลังมีการบอกเลิกสัญญาค้ำประกันเท่านั้น ส่วนความรับผิดที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดอยู่ก่อน การบอกเลิกสัญญาหาได้ระงับไปด้วยไม่ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 699
อ.ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ต่อโจทก์ ยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โดยยอมให้โจทก์หักเงินเดือนชดใช้เป็นรายเดือนจนกว่าจะครบจำนวนและโจทก์ได้หักเงินเดือนของ อ.ชดใช้ตลอดมาจน อ.ถึงแก่ความตาย ความรับผิดของ อ.ที่มีต่อโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน และความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 164 โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 10 ปี คดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
จำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือค้ำประกันการเข้าทำงานของ อ.ไว้ต่อโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 บอกเลิกสัญญาค้ำประกันคงมีผลให้จำเลยที่ 2หลุดพ้นความรับผิดในการกระทำของ อ.ที่ให้กระทำภายหลังมีการบอกเลิกสัญญาค้ำประกันเท่านั้น ส่วนความรับผิดที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดอยู่ก่อน การบอกเลิกสัญญาหาได้ระงับไปด้วยไม่ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 699
อ.ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ต่อโจทก์ ยอมชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โดยยอมให้โจทก์หักเงินเดือนชดใช้เป็นรายเดือนจนกว่าจะครบจำนวนและโจทก์ได้หักเงินเดือนของ อ.ชดใช้ตลอดมาจน อ.ถึงแก่ความตาย ความรับผิดของ อ.ที่มีต่อโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน และความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 164 โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 10 ปี คดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2138/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จึงห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินผลประโยชน์ตอบแทนในการจำหน่ายสินค้าพร้อมดอกเบี้ยรวมจำนวน 81,391.75 บาทแก่โจทก์ แต่จำนวนเงินและดอกเบี้ยที่โจทก์แต่ละคนมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระให้นั้นมีส่วนเท่า ๆ กันคนละ 40,695,875 บาท ไม่ใช่เป็นหนี้ร่วมที่ไม่อาจแบ่งแยกได้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท และเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2133/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 248 กรณีโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์
สุกรที่ผู้ร้องขอให้ปล่อยจากการยึด เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้เป็นเงิน 21,000 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน50,000 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ส. และจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นพยานผู้ร้องเบิกความถึงเอกสารหมาย ร.1 แตกต่างกันเป็นพิรุธน่าสงสัยว่าเอกสารดังกล่าวได้จัดทำขึ้นหลังยึดสุกรแล้วที่ผู้ร้องฎีกาว่าสุกรดังกล่าวเป็นของผู้ร้องไม่ใช่ของจำเลยที่ 2 การที่ศาลรับฟังพยานโจทก์เป็นการสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารหมาย ร.1 นั้น จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1931/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาเช่าโทรศัพท์ชอบด้วยกฎหมาย แม้ส่งหนังสือบอกเลิกไปยังภูมิลำเนาเดิมและมีหนังสือทวงหนี้ระบุการบอกเลิกสัญญา
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าเช่า ค่าบำรุงรักษา ค่าใช้บริการโทรศัพท์และค่าเครื่องโทรศัพท์ถอนคืนไม่ได้พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 8,245บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ. มาตรา 224 และ มาตรา 248 แม้หัวข้อเรื่องหนังสือที่โจทก์มีถึงจำเลยจะเป็นเรื่องขอให้จำเลยชำระค่าเช่าโทรศัพท์ แต่เนื้อความในหนังสือก็ได้ระบุว่าจำเลยค้างชำระค่าเช่าเป็นเงินจำนวนเท่าใดอย่างชัดแจ้ง ทั้งระบุไว้ด้วยว่าได้บอกเลิกสัญญาเช่าไปแล้ว หลังจากจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าว ไม่ปรากฏว่าได้โต้แย้งทักท้วงต่อโจทก์ประการใดถือได้ว่าโจทก์บอกเลิกการเช่าโทรศัพท์แก่จำเลยโดยชอบแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1901/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ต้องระบุข้อหาและข้อต่อสู้ที่ชัดเจน
ฟ้องฎีกาเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(3) ฉะนั้นจึงต้องแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ฎีกาของโจทก์ทั้งสองมิได้บรรยายถึงเนื้อหาแห่งคำฟ้อง คำให้การและคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งเมื่ออ่านฎีกาของโจทก์ทั้งสองโดยตลอดแล้วไม่อาจทราบได้ว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดว่าอย่างไร จำเลยทั้งเจ็ดให้การต่อสู้ว่าอย่างไร ข้อที่โจทก์ทั้งสองยกขึ้นโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 นั้น เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือไม่ ฟ้องฎีกาของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172ประกอบด้วยมาตรา 246,247