คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 248

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,123 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4820/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 และแก้ไขคำพิพากษาเรื่องการรื้อถอนทรัพย์สิน
ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องแย้ง โดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ของผู้ที่จะได้รับสิทธิการเช่าที่ดินของโจทก์ เพราะจำเลยเป็นเจ้าของบ้านพิพาทที่ปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าว แต่ไม่ได้ใช้อยู่อาศัยเอง หากให้ผู้อื่นเช่าอยู่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ที่ว่า จำเลยไม่ได้อยู่ในบ้านพิพาทฟังไม่ได้ จำเลยอยู่ในเกณฑ์ของผู้ที่จะได้รับสิทธิการเช่าที่ดินของโจทก์ อันเป็นฎีกาโต้เถียงให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นแตกต่างไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท ซึ่งขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละห้าพันบาท และจำเลยไม่ได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือไม่ได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนที่พิพาทนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องแย้งดังนี้ จำเลยจึงต้องห้ามไม่ให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4820/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาจำเลยต้องห้ามตามมาตรา 248 หลังศาลล่างพิพากษายกฟ้องแย้งในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องแย้ง โดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ของผู้ที่จะได้รับสิทธิการเช่าที่ดินของโจทก์เพราะจำเลยเป็นเจ้าของบ้านพิพาทที่ปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าว แต่ไม่ได้ใช้อยู่อาศัยเอง หากให้ผู้อื่นเช่า จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ที่ว่าจำเลยไม่ได้อยู่ในบ้านพิพาท ฟังไม่ได้จำเลยอยู่ในเกณฑ์ของผู้ที่จะได้รับสิทธิการเช่าที่ดินของโจทก์อันเป็นฎีกาโต้เถียงให้ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นแตกต่างไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังมา จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทซึ่งขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละห้าพันบาทและจำเลยไม่ได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือไม่ได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนที่พิพาทนั้นเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องแย้งดังนี้ จำเลยจึงต้องห้ามไม่ให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4559/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันตัวต่างด้าว: ความรับผิดจากความล่าช้าในการรายงานตัว และการลดค่าเสียหายตามพฤติการณ์
จำเลยทำสัญญากับโจทก์ประกันตัวคนต่างด้าว 2 คนตามสัญญาประกัน 2 ฉบับ หากผิดสัญญาจำเลยยอมให้ปรับรายละ 50,000 บาททุนทรัพย์ของคดีจึงต้องแยกตามสัญญาประกันแต่ละฉบับคือไม่เกินรายละ 50,000 บาท แม้โจทก์ฟ้องด้วยทุนทรัพย์รวมกันมา 2 รายเป็นเงิน 100,000 บาท ก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 สัญญาประกันระบุว่า ถ้าจำเลยผิดสัญญาประกันจำเลยยอมให้โจทก์ปรับตามจำนวนเงิน 50,000 บาท จำเลยนำลูกประกันไปรายงานตัวต่อโจทก์เลยกำหนดเป็นการผิดสัญญา จำเลยจึงต้องถูกปรับตามสัญญาแม้โจทก์ จะได้สอบสวนลูกประกันแล้วผ่อนผันแก่ลูกประกันให้อยู่เลยกำหนดได้ ก็หาทำให้สิทธิของโจทก์ที่จะเรียกเอาค่าเสียหายจากจำเลยหมดไปไม่ แต่ความเสียหายที่โจทก์เรียกร้อง ถ้าโจทก์ได้แจ้งจำเลยในทันทีเมื่อนำลูกประกันไปรายงานตัว ความเสียหายหากจะมีตามสัญญาประกันจำเลยย่อมเรียกเอาจากลูกประกันได้ เมื่อโจทก์ดำเนินการสอบสวนลูกประกันและผ่อนผันลูกประกันให้อยู่ต่อไปได้ จากนั้นโจทก์จึงแจ้งจำเลยว่าผิดสัญญา จึงสมควรลดค่าเสียหายลงให้เหมาะสมตามพฤติการณ์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ตกลงยอมชำระเงินแทนทันทีหากว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2833/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งแยกสัญญาแชร์แต่ละวงเพื่อพิจารณาข้อห้ามฎีกาตามทุนทรัพย์ที่พิพาท
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเล่นแชร์กับโจทก์รวม 3 วงแล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าแชร์ ทุนทรัพย์ในคดีต้องแยกตามสัญญาเล่นแชร์แต่ละวง สำหรับแชร์วงที่ 2 และวงที่ 3 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนแชร์วงแรกทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2833/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งแยกสัญญาแชร์เพื่อพิจารณาข้อจำกัดการฎีกา และข้อจำกัดทุนทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเล่นแชร์กับโจทก์รวม 3 วงแล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าแชร์ ทุนทรัพย์ในคดีต้องแยกตามสัญญาเล่นแชร์แต่ละวงสำหรับแชร์วงที่ 2 และวงที่ 3 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนแชร์วงแรกทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 339/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคำนวณค่าสินไหมทดแทนจากละเมิด, ข้อจำกัดการฎีกา, และขอบเขตความรับผิดชอบในกรณีบาดเจ็บ/เสียชีวิต
ในคดีฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากการละเมิด โจทก์แต่ละคนใช้สิทธิเฉพาะตัวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 แม้จะฟ้องรวมกันมา ก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน ปรากฏว่าโจทก์ที่ 15 ที่ 17 ที่ 19 และที่ 21 แต่ละคนเรียกร้องให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่เกิน 50,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248
จำเลยอุทธรณ์ในข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์เคยสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ในข้อดังกล่าวมาแล้ว คำสั่งของศาลอุทธรณ์เช่นนี้ย่อมถึงที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 236 วรรคหนึ่ง จำเลยหาอาจฎีกาต่อไปได้ไม่
การทนทุกข์ทรมานบังเกิดขึ้นจากสภาพร่างกายและจิตใจผิดปกติหรือเสื่อมสุขภาพอนามัย ทำให้หย่อนสมรรถภาพในการศึกษาและในการประกอบอาชีพหรือทำให้ทางทำมาหาได้ลดน้อยลงกว่าปกติและการมีรอยแผลเป็นติดตัวหรือกรณีของโจทก์ที่ 9 ได้รับบาดเจ็บข้อเท้าขวาพิการทำให้เส้นประสาทขาขาดและขาลีบซึ่งพอถือได้ว่ามีรอยแผลเป็นติดตัวนั้น เป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่เป็นตัวเงิน และไม่ซ้ำซ้อนกับค่าสินไหมทดแทนในกรณีอื่น ทั้งการทนทุกข์ทรมานหรือเสื่อมสุขภาพอนามัยและการมีรอยแผลเป็นติดตัวเป็นผลโดยตรงแห่งการละเมิดของจำเลย โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยผู้กระทำละเมิดได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา444 และ 446
การได้รับบาดเจ็บจนเป็นเหตุให้ต้องพักการศึกษาเล่าเรียนไม่มีกฎหมายในเรื่องละเมิดให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5183/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งสินสมรสหลังหย่า: ทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรสต้องแบ่งเท่ากัน แม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนหย่า
คดีฟ้องหย่าและขอแบ่งสินสมรสเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัวไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ มาตรา 1533 บัญญัติว่า เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน การที่โจทก์จำเลยยังไม่ได้หย่ากันเพียงแต่เคยแยกกันอยู่ ถือไม่ได้มีแบ่งสินสมรสกันแล้วจึงต้องแบ่งสินสมรสให้โจทก์จำเลยได้ส่วนเท่ากันตามนัย มาตรา 1533 ดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5183/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งสินสมรสหลังแยกกันอยู่ แม้ยังไม่ได้หย่า ถือว่าสินสมรสยังไม่ถูกแบ่ง
การที่โจทก์จำเลยยังไม่ได้หย่ากัน เพียงแต่แยกกันอยู่ จึงถือไม่ได้ว่ามีการแบ่งสินสมรสกันแล้ว ฉะนั้นเมื่อที่นาและยุ้งข้าวเป็นสินสมรสจึงต้องแบ่งให้โจทก์และจำเลยได้ส่วนเท่ากันตาม ป.พ.พ.มาตรา 1533 โจทก์ฟ้องขอหย่ากับจำเลยและขอแบ่งสินสมรส เป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว แม้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อยก็ตาม ก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5183/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งสินสมรสเมื่อยังไม่ได้หย่า การแยกกันอยู่ไม่ได้ถือเป็นการแบ่งสินสมรส
คดีฟ้องหย่าและขอแบ่งสินสมรสเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัวไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่มาตรา 1533 บัญญัติว่า เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน การที่โจทก์จำเลยยังไม่ได้หย่ากันเพียงแต่เคยแยกกันอยู่ ถือไม่ได้มีแบ่งสินสมรสกันแล้วจึงต้องแบ่งสินสมรสให้โจทก์จำเลยได้ส่วนเท่ากันตามนัยมาตรา 1533 ดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3558/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาทห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง และการฟังข้อเท็จจริงใหม่ที่จำเลยร่วมเป็นผู้เอาประกันภัย
โจทก์สองคนฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน 60,619 บาท โดยโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันที่ถูกชนเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ กับค่าที่รถยนต์เสื่อมราคารวมเป็นเงิน 27,500 บาท และโจทก์ที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยเรียกร้องเงินที่ได้ชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมรถยนต์และค่าลากจูงรถยนต์คันเกิดเหตุไปทำการซ่อมรวมเป็นเงิน 30,809 บาทดังนี้ไม่ใช่เป็นหนี้ร่วมที่ไม่อาจจะแบ่งแยกได้ โจทก์แต่ละคนฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาทและศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ย่อมต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยร่วมแม้จะปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์แต่แรกว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์และจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้จากจำเลยที่ 2 ก็ตามแต่ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีโดยอ้างว่าปรากฏข้อเท็จจริงใหม่ภายหลังว่า จำเลยร่วมเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันนี้และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งตามคำร้องแสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้กับจำเลยที่ 3 ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากจำเลยร่วม จึงไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องและคำให้การ.
of 113