คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 248

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,123 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3558/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาห้ามเรื่องข้อเท็จจริงในคดีที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท และการรับประกันภัยรถยนต์จากผู้ครอบครองรถ
โจทก์สองคนฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน60,619 บาท โดยโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันที่ถูกชนเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ กับค่าที่รถยนต์เสื่อมราคารวมเป็นเงิน 27,500 บาทและโจทก์ที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยเรียกร้องเงินที่ได้ชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมรถยนต์และค่าลากจูงรถยนต์คันเกิดเหตุไปทำการซ่อมรวมเป็นเงิน 30,809 บาทดังนี้ไม่ใช่เป็นหนี้ร่วมที่ไม่อาจจะแบ่งแยกได้ โจทก์แต่ละคนฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ย่อมต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุไว้จากจำเลยร่วมแม้จะปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์แต่แรกว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์และจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้จากจำเลยที่ 2 ก็ตามแต่ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีโดยอ้างว่าปรากฏข้อเท็จจริงใหม่ภายหลังว่า จำเลยร่วมเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันนี้และเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งตามคำร้องแสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้กับจำเลยที่ 3 ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากจำเลยร่วม จึงไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องและคำให้การ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3383/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายฝากที่ดินเช่า สิทธิและหน้าที่ของผู้เช่า และการกระทำละเมิดจากการกีดขวางการค้า
โจทก์เช่าแผงตลาดจากบริษัทฐ. อยู่ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะซื้อที่ดินที่ตั้งแผงจากบริษัท ฐ. เมื่อจำเลยที่ 2 ซื้อมาแล้วก็ขายฝากให้แก่บริษัท ค.ไปในวันเดียวกัน กรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งก่อสร้างย่อมตกเป็นของผู้รับซื้อฝากซึ่งรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้ให้เช่าแผงเดิมด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกการเช่ากับโจทก์ และโจทก์ยังมีสิทธิอยู่ในแผงของตนต่อไป เมื่อจำเลยให้คนงานล้อมรั้วปิดกั้นแผงทำให้ลูกค้าไม่เข้าซื้อสินค้าของโจทก์ จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
จำเลยที่ 2 ขายฝากที่ดินตรงที่ตั้งแผงที่โจทก์เช่าอยู่ให้แก่บริษัท ค. ตั้งแต่ก่อนฟ้องแย้ง และขณะฟ้องแย้งยังมิได้จดทะเบียนไถ่ถอนคืน จำเลยที่ 2 จึงมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งมิใช่ผู้รับโอนสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าในขณะฟ้องแย้ง การที่จำเลยที่ 2 บอกเลิกการเช่ากับโจทก์จึงไม่ชอบจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งขับไล่โจทก์ออกจากแผงที่เช่า
โจทก์ฟ้องตั้งทุนทรัพย์พิพาทมาเพียง 32,400 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ตามฟ้องแย้งมาด้วย ก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ทั้งจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน.(ที่มา-ส่งเสริม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3383/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเช่าหลังการซื้อขายฝาก และการทำละเมิดจากการกีดขวางการค้า
โจทก์เช่า แผงตลาดจากบริษัทฐ. อยู่ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะซื้อที่ดินที่ตั้งแผงจากบริษัท ฐ. เมื่อจำเลยที่ 2 ซื้อมาแล้วก็ขายฝากให้แก่บริษัท ค. ไปในวันเดียวกัน กรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งก่อสร้างย่อมตก เป็นของผู้รับซื้อฝากซึ่งรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้ให้เช่าแผงเดิม ด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกการเช่า กับโจทก์ และโจทก์ยังมีสิทธิอยู่ในแผงของตน ต่อไป เมื่อจำเลยให้คนงานล้อมรั้วปิดกั้นแผงทำให้ลูกค้าไม่เข้าซื้อสินค้าของโจทก์จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ จำเลยที่ 2 ขายฝากที่ดินตรงที่ตั้งแผงที่โจทก์เช่า อยู่ให้แก่บริษัท ค. ตั้งแต่ก่อนฟ้องแย้ง และขณะฟ้องแย้งยังมิได้จดทะเบียนไถ่ถอนคืน จำเลยที่ 2 จึงมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งมิใช่ผู้รับโอนสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าในขณะฟ้องแย้ง การที่จำเลยที่ 2 บอกเลิกการเช่า กับโจทก์จึงไม่ชอบ จำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งขับไล่โจทก์ออกจากแผงที่เช่า โจทก์ฟ้องตั้งทุนทรัพย์พิพาทมาเพียง 32,400 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ตามฟ้องแย้งมาด้วยก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ทั้งจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3134/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสมรสโมฆะ ผู้สมรสโดยสุจริตมีสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนและค่าเลี้ยงชีพได้
การที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะนั้นเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แม้จะมีคำขอเรียกค่าทดแทนและค่าเลี้ยงชีพที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วย คู่ความก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248ทั้งคำขอในส่วนที่เกี่ยวกับค่าทดแทนนี้ยังเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัวอีกด้วย จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้
ขณะที่โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยโจทก์ไม่ทราบว่าจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่นอยู่แล้ว โจทก์จึงเป็นผู้สมรสโดยสุจริตเมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนและค่าเลี้ยงชีพจากจำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3134/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสมรสโมฆะโดยสุจริต: สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนและค่าเลี้ยงชีพ
การที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะนั้นเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แม้จะมีคำขอเรียกค่าทดแทนและค่าเลี้ยงชีพที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วย คู่ความก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 ทั้งคำขอในส่วนที่เกี่ยวกับค่าทดแทนนี้ยังเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัวอีกด้วย จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ ขณะที่โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยโจทก์ไม่ทราบว่าจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่นอยู่แล้ว โจทก์จึงเป็นผู้สมรสโดยสุจริตเมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนและค่าเลี้ยงชีพจากจำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2292-2293/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท ที่ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษา จำเลยฎีกาไม่ได้อุทธรณ์เรื่องข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกา
คดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1, ที่ 2 และที่ 4 ใช้ค่าเสียหายจำนวน 37,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 แล้วพิพากษาแก้เป็นว่าไม่บังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังนี้ คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ฎีกาว่าศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานจำเลยที่ขอส่งประเด็นไปสืบที่ศาลอื่นทำให้จำเลยเสียเปรียบไม่มีโอกาสต่อสู้คดีได้เต็มภาคภูมิ และศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายสูงเกินไป เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการส่งประเด็นและการกำหนดค่าเสียหาย จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2292-2293/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาหลังโจทก์ถอนฟ้องจำเลยบางส่วน ถือเป็นคดีต้องห้ามฎีกา
คดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1, ที่ 2 และที่ 4 ใช้ค่าเสียหายจำนวน 37,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 แล้ว พิพากษาแก้เป็นว่าไม่บังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังนี้ คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ฎีกาว่าศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานจำเลยที่ขอส่งประเด็นไปสืบที่ศาลอื่นทำให้จำเลยเสียเปรียบไม่มีโอกาสต่อสู้คดีได้เต็มภาคภูมิ และศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายสูงเกินไป เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการส่งประเด็นและการกำหนดค่าเสียหาย จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403-1404/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิซื้อคืนนาที่เช่า เมื่อผู้ขายไม่แจ้งสิทธิก่อนตามพ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา
คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาพิพาทจากจำเลยที่ 2 ก่อนที่จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 คดีสำนวนหลังโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เข้าทำนาไม่ได้จากจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่ผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 มาก่อน ศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา ดังนี้คดีสำนวนหลังเป็นการฟ้องในมูลละเมิดทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 20,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ประเด็นที่ว่า โจทก์มิใช่ผู้เช่านาพิพาท จึงไม่มีสิทธิซื้อนาคืนและไม่ได้รับความเสียหายเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับสำนวนแรกที่ว่าโจทก์เป็นผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 หรือไม่
จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้สิทธิซื้อก่อนตามที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรคแรก บังคับไว้ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 ในราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยที่ 2 ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่มาตรา 41 วรรคสี่ บัญญัติไว้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1403-1404/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิซื้อคืนนาที่เช่าเมื่อมีการขายฝ่าฝืนพ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา และขอบเขตการอุทธรณ์คดีมูลค่าทรัพย์สินต่ำกว่า 20,000 บาท
คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาพิพาทจากจำเลยที่ 2 ก่อนที่จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทโดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 คดีสำนวนหลังโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เข้าทำนาไม่ได้จากจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองสำนวนให้การต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่ผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 มาก่อน ศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกันโดยพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ขายนาพิพาทแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา ดังนี้คดีสำนวนหลังเป็นการฟ้องในมูลละเมิดทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 20,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จำเลยที่2 อุทธรณ์ประเด็นที่ว่า โจทก์มิใช่ผู้เช่านาพิพาท จึงไม่มีสิทธิซื้อนาคืนและไม่ได้รับความเสียหายเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับสำนวนแรกที่ว่าโจทก์เป็นผู้เช่านาจากจำเลยที่ 2 หรือไม่
จำเลยที่ 2 ขายนาพิพาทให้จำเลยที่ 1 โดยไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อใช้สิทธิซื้อก่อนตามที่พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 วรรคแรก บังคับไว้ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาพิพาทคืนจากจำเลยที่ 1 ในราคาและวิธีการชำระเงินที่จำเลยที่ 2 ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่มาตรา 41วรรคสี่ บัญญัติไว้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 142/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำพิพากษาโดยศาลอุทธรณ์ที่เปลี่ยนแปลงผลแพ้ชนะคดีเดิมถือเป็นการแก้ไขมาก ไม่อยู่ในข้อยกเว้นไม่ต้องห้ามฎีกา
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์พบว่ามาตรวัดน้ำที่โจทก์ติดตั้งไว้เพื่อคำนวณหน่วยน้ำที่จำเลยใช้ชำรุด ต้องคำนวณตามจำนวนหน่วยน้ำที่ใช้ในเดือนก่อน ขอให้จำเลยชำระเงินค่าน้ำที่ค้างชำระศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้หนี้โจทก์ 12,997 บาท โดยฟังข้อเท็จจริงตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่ามาตรวัดน้ำไม่ชำรุด ซึ่งมีผลเท่ากับว่าจำเลยชนะคดี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระเงิน 42,514 บาท เต็มตามฟ้อง โดยฟังข้อเท็จจริงว่ามาตรวัดน้ำชำรุดตรงตามฟ้อง เป็นการแก้ข้อสำคัญตามประเด็นที่จำเลยชนะคดีในศาลชั้นต้นให้แพ้ทั้งหมด จึงเป็นการแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248.(ที่มา-ส่งเสริม)
of 113