พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,123 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 664/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามทุนทรัพย์ และการใช้สัญญาเช่าซื้อเป็นพยานหลักฐานที่ไม่ถูกต้อง
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์ตามบัญชีทรัพย์อันดับ 1 ซึ่งมีราคา 30,000 บาทเป็นของผู้ร้องที่ 1 และอันดับที่ 2 ถึงที่ 9 รวมราคา 28,680 บาท เป็นของผู้ร้องที่ 2 แม้ผู้ร้องจะตีราคารวมกันมาในคำร้องเป็นจำนวนเงิน 58,680 บาท ก็ถือว่าคดีสำหรับผู้ร้องที่ 1 เป็นคดีมีทุนทรัพย์เพียง 30,000 บาท คดีสำหรับผู้ร้องที่ 2 มีทุนทรัพย์เพียง 28,680 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้ผู้ร้องทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
เอกสารสัญญาเช่าซื้อแม้ผู้ร้องจะมิได้อ้างเป็นพยานหลักฐานเพื่อบังคับการตามสัญญาเช่าซื้อหากแต่อ้างมาประกอบพยานบุคคลว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดมาเพื่อการบังคับคดีเป็นของผู้ร้องโดยเช่าซื้อมานั้นก็จะต้องพิจารณาวินิจฉัยว่าผู้ร้องได้เช่าซื้อทรัพย์ดังกล่าวมาจริงหรือไม่ ซึ่งต้องพิเคราะห์จากสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ร้องอ้างมา สัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจึงเป็นพยานหลักฐานโดยตรงในคดี เมื่อไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามกฎหมาย จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118
เอกสารสัญญาเช่าซื้อแม้ผู้ร้องจะมิได้อ้างเป็นพยานหลักฐานเพื่อบังคับการตามสัญญาเช่าซื้อหากแต่อ้างมาประกอบพยานบุคคลว่าทรัพย์ที่โจทก์นำยึดมาเพื่อการบังคับคดีเป็นของผู้ร้องโดยเช่าซื้อมานั้นก็จะต้องพิจารณาวินิจฉัยว่าผู้ร้องได้เช่าซื้อทรัพย์ดังกล่าวมาจริงหรือไม่ ซึ่งต้องพิเคราะห์จากสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ร้องอ้างมา สัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจึงเป็นพยานหลักฐานโดยตรงในคดี เมื่อไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ตามกฎหมาย จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 541/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงของผู้เช่าและบริวาร กรณีคดีเดิมต้องห้ามฎีกา
คดีบังคับบริวารของผู้เช่าที่ศาลพิพากษาขับไล่จากอสังหาริมทรัพย์ ถ้าคู่ความเดิมในคดีฟ้องขับไล่นั้นต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองผู้ร้องซึ่งถูกบังคับคดีในฐานะเป็นบริวารของผู้เช่าก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงด้วย ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา248 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 489/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้และการไม่มีอำนาจฟ้อง: ศาลฎีกายืนว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดหนี้ของผู้อื่นที่นำมารวมกับหนี้เงินกู้
หนี้ตามฟ้องเป็นหนี้สองประเภท คือมูลหนี้ค่าซื้อขายรถยนต์ ซึ่งผู้อื่นเป็นหนี้กับหนี้ที่จำเลยเคยยืมเงินโจทก์ค้างชำระอยู่เดิม นำมารวมทำไว้เป็นสัญญากู้ฉบับเดียวกันให้จำเลยเป็นลูกหนี้ทั้งหมด แม้ทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าหนี้ที่รวมทำไว้เป็นสัญญากู้สมบูรณ์เฉพาะหนี้ส่วนที่จำเลยเป็นหนี้โจทก์ หนี้อีกประเภทหนึ่งโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย จึงเป็นการแก้มาก โจทก์ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองบุตรและการพิจารณาความเหมาะสมในการอุปการะเลี้ยงดูหลังการเลิกอยู่กิน
โจทก์จำเลยพิพาทกันเกี่ยวด้วยทรัพย์และอำนาจปกครองบุตรจึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสองจำเลยมีสิทธิฎีกาในข้อเท็จจริงได้รวมทั้งข้อเรียกร้องคืนทรัพย์ด้วย
แม้จำเลยซึ่งเป็นบิดาจะมีรายได้และฐานะดีกว่าโจทก์ แต่โจทก์ซึ่งเป็นมารดาก็มีอำนาจปกครองบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ซึ่งแก้ไขใหม่และ ใช้บังคับในขณะพิพาท และเมื่อเลิกอยู่กินกับจำเลยแล้วโจทก์ทำงานได้เงินเดือน ๆ ละ 2,000 บาท ได้ค่าเช่าห้องแถวเดือนละ 1,200 บาทกับมีที่ดินอีก 2 แปลงราคารวมกันประมาณ 500,000 บาท ญาติทุกคนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือโจทก์ในการอุปการะเลี้ยงดูเด็ก โจทก์สามารถอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาแก่บุตรทั้งสองได้ ทั้งโจทก์และจำเลยอยู่กินด้วยกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 4 คน การให้บุตรคนเล็ก 2 คนอยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์ดังขอจึงเป็นการสมควรทั้งนี้ตามบรรพ 5 ที่แก้ไขใหม่ที่ใช้บังคับในขณะพิพาท
แม้จำเลยซึ่งเป็นบิดาจะมีรายได้และฐานะดีกว่าโจทก์ แต่โจทก์ซึ่งเป็นมารดาก็มีอำนาจปกครองบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ซึ่งแก้ไขใหม่และ ใช้บังคับในขณะพิพาท และเมื่อเลิกอยู่กินกับจำเลยแล้วโจทก์ทำงานได้เงินเดือน ๆ ละ 2,000 บาท ได้ค่าเช่าห้องแถวเดือนละ 1,200 บาทกับมีที่ดินอีก 2 แปลงราคารวมกันประมาณ 500,000 บาท ญาติทุกคนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือโจทก์ในการอุปการะเลี้ยงดูเด็ก โจทก์สามารถอุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาแก่บุตรทั้งสองได้ ทั้งโจทก์และจำเลยอยู่กินด้วยกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 4 คน การให้บุตรคนเล็ก 2 คนอยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์ดังขอจึงเป็นการสมควรทั้งนี้ตามบรรพ 5 ที่แก้ไขใหม่ที่ใช้บังคับในขณะพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 156-157/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดสิทธิฎีกาในคดีขับไล่เมื่อค่าเช่าที่ดินต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
คดีฟ้องขับไล่ จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์แม้ข้อเท็จจริงตามสำนวนจะไม่ปรากฏว่า ที่พิพาทอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องเกินเดือนละห้าพันบาทหรือไม่ แต่มีชื่อตำบล อำเภอ และจังหวัดซึ่งที่พิพาทตั้งอยู่ทั้งมีเนื้อที่เพียง 15 ตารางวา และไม่ปรากฏว่าเป็นที่อยู่ในทำเลการค้าอันจะทำให้ค่าเช่าที่ดินสูงเป็นพิเศษแต่อย่างใด เห็นได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3094-3117/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกในที่ดินวัดและประเด็นการเกินคำขอ/นอกฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยยืนตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งได้บุกรุกเข้าไปปลูกอาคารไม้เป็นที่อยู่อาศัยในที่ดินของวัด อันเป็นศาสนสมบัติซึ่งอยู่ในความดูแลของโจทก์ แม้โจทก์จะไม่บรรยายฟ้องว่าที่พิพาทตรงที่จำเลยบุกรุกแต่ละสำนวนนั้น อาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใด แต่โจทก์ก็เรียกค่าเสียหายมาในแต่ละสำนวนเดือนละ 1,000 บาท เมื่อเทียบกับจำนวนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องดังกล่าวพอฟังได้ว่าที่พิพาทแต่ละสำนวนโจทก์อาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 1,000 บาท เท่ากับอัตราค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมา จำเลยแต่ละสำนวนมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยแต่ละสำนวนออกไปจากที่พิพาทคดีแต่ละสำนวนจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 258
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแต่ละสำนวนเข้าไปปลูกอาคารไม้ในที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบและมิได้ให้คำยินยอม การที่โจทก์ขอบังคับให้จำเลยแต่ละสำนวนอพยพขนย้ายออกไป จากอาคาร ไม้ที่จำเลยแต่ละสำนวนปลูกอยุ่ในที่พิพาทนั้น ย่อมหมายถึงขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารนั้นด้วย ได้ความว่าอาคารไม้พิพาทเป็นของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อไปแล้ว จำเลยก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกไม่ได้ทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยซึ่งอยู่ในที่พิพาท จำเลยจึงต้องเอาออกไปให้พ้นที่พิพาท ฉะนั้น ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทออกไปเสียด้วยจึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือนอกฟ้องแต่อย่างใด (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1141-1157/2509 และ 2337/2522)
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแต่ละสำนวนเข้าไปปลูกอาคารไม้ในที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบและมิได้ให้คำยินยอม การที่โจทก์ขอบังคับให้จำเลยแต่ละสำนวนอพยพขนย้ายออกไป จากอาคาร ไม้ที่จำเลยแต่ละสำนวนปลูกอยุ่ในที่พิพาทนั้น ย่อมหมายถึงขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารนั้นด้วย ได้ความว่าอาคารไม้พิพาทเป็นของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อไปแล้ว จำเลยก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกไม่ได้ทรัพย์สินใดๆ ของจำเลยซึ่งอยู่ในที่พิพาท จำเลยจึงต้องเอาออกไปให้พ้นที่พิพาท ฉะนั้น ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทออกไปเสียด้วยจึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือนอกฟ้องแต่อย่างใด (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1141-1157/2509 และ 2337/2522)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3094-3117/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่บุกรุกที่ดินวัด และการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกายืนตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งได้บุกรุกเข้าไปปลูกอาคารไม้เป็นที่อยู่อาศัยในที่ดินของวัด อันเป็นศาสนสมบัติซึ่งอยู่ในความดูแลของโจทก์ แม้โจทก์จะไม่บรรยายฟ้องว่าที่พิพาทตรงที่จำเลยบุกรุกแต่ละสำเนานั้น อาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใด แต่โจทก์ก็เรียกค่าเสียหายมาในแต่ละสำนวนเดือนละ 1,000บาท เมื่อเทียบกับจำนวนค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องดังกล่าว พอฟังได้ว่าที่พิพาทแต่ละสำนวนโจทก์อาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 1,000 บาท เท่ากับอัตราค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมา จำเลยแต่ละสำเนามิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยแต่ละสำนวนออกไปจากที่พิพาทคดีแต่ละสำนวนจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแต่ละสำนวนเข้าไปปลูกอาคารไม้ในที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบและมิได้ให้คำยินยอม การที่โจทก์ขอบังคับให้จำเลยแต่ละสำนวนอพยพขนย้ายออกไปจากอาคารไม้ที่จำเลยแต่ละสำนวนปลูกอยู่ ในที่พิพาทนั้น ย่อมหมายถึงขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารนั้นด้วย ได้ความว่าอาคารไม้พิพาทเป็นของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อไปแล้ว จำเลยก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกไม่ได้ทรัพย์สินใด ๆ ของจำเลยซึ่งอยู่ในที่พิพาท จำเลยจึงต้องเอาออกไปให้พ้นที่พิพาท ฉะนั้น ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทออกไปเสียด้วยจึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือนอกฟ้องแต่อย่างใด (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1141-1157/2509 และ 2337/2522)
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยแต่ละสำนวนเข้าไปปลูกอาคารไม้ในที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบและมิได้ให้คำยินยอม การที่โจทก์ขอบังคับให้จำเลยแต่ละสำนวนอพยพขนย้ายออกไปจากอาคารไม้ที่จำเลยแต่ละสำนวนปลูกอยู่ ในที่พิพาทนั้น ย่อมหมายถึงขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารนั้นด้วย ได้ความว่าอาคารไม้พิพาทเป็นของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อไปแล้ว จำเลยก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกไม่ได้ทรัพย์สินใด ๆ ของจำเลยซึ่งอยู่ในที่พิพาท จำเลยจึงต้องเอาออกไปให้พ้นที่พิพาท ฉะนั้น ที่ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารพิพาทออกไปเสียด้วยจึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือนอกฟ้องแต่อย่างใด (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1141-1157/2509 และ 2337/2522)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3071-3072/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดทุนทรัพย์, การขาดนัดยื่นคำให้การ, และความรับผิดทางละเมิดแยกส่วน กรณีชนท้าย
โจทก์สามคนต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์แต่ละคนตามลำพังฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดทำให้รถยนต์ของโจทก์แต่ละคนเสียหาย แม้จะรวมฟ้องมาในคดีเดียวกันก็ต้องพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์ของคดีสำหรับโจทก์แต่ละคน ถ้าทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เล็กน้อยก็ฎีาข้อเท็จจริงไม่ได้ ส่วนทุนทรัพย์ที่ไม่เกิน 20,000 บาทนั้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงมาก็เป็นการมิชอบเพราะปัญหาดังกล่าวยุติตั้งแต่ศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 4 ในสำนวนหลังฎีกา แต่ในสำนวนหลังนี้ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 4 จึงหาอาจเรียกพยานของตนเข้าสืบได้ไม่ ดังนั้น พยานที่จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในสำนวนแรกนำสืบรวมมาในสำนวนแรกจึงไม่อาจนำมาวินิจฉัยในสำนวนหลังได้
แม้จำเลยที่ 4 จะฎีกาแต่ผู้เดียว แต่คำพิพากษาศาลฎีกาในส่วนที่เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 4 เกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงมีผลถึงจำเลยอื่นที่ไม่ได้ฎีกาด้วย
จำเลยทั้งสองต่างขับรถยนต์ด้วยความเร็วแซงและแข่งกันมา เป็นเหตุให้ชนรถของโจทก์ซึ่งจอดอยู่ พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดของจำเลยทั้งสองมีเท่ากัน และเป็นกรณีต่างทำละเมิดโดยไม่ได้ร่วมกัน จึงไม่ต้องร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดแก่โจทก์จำเลยทั้งสองต้องรับผิดแบ่งออกเป็นส่วนเท่าๆกัน
จำเลยที่ 4 ในสำนวนหลังฎีกา แต่ในสำนวนหลังนี้ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 4 จึงหาอาจเรียกพยานของตนเข้าสืบได้ไม่ ดังนั้น พยานที่จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในสำนวนแรกนำสืบรวมมาในสำนวนแรกจึงไม่อาจนำมาวินิจฉัยในสำนวนหลังได้
แม้จำเลยที่ 4 จะฎีกาแต่ผู้เดียว แต่คำพิพากษาศาลฎีกาในส่วนที่เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 4 เกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงมีผลถึงจำเลยอื่นที่ไม่ได้ฎีกาด้วย
จำเลยทั้งสองต่างขับรถยนต์ด้วยความเร็วแซงและแข่งกันมา เป็นเหตุให้ชนรถของโจทก์ซึ่งจอดอยู่ พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดของจำเลยทั้งสองมีเท่ากัน และเป็นกรณีต่างทำละเมิดโดยไม่ได้ร่วมกัน จึงไม่ต้องร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดแก่โจทก์จำเลยทั้งสองต้องรับผิดแบ่งออกเป็นส่วนเท่าๆกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3071-3072/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งความรับผิดในคดีละเมิด, ข้อจำกัดการอุทธรณ์/ฎีกา, ผลของการขาดนัดยื่นคำให้การ, และการชำระหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้
โจทก์สามคนต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์แต่ละคนตามลำพังฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดทำให้รถยนต์ของโจทก์แต่ละคนเสียหาย แม้จะรวมฟ้องมาในคดีเดียวกันก็ต้องพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์ของคดีสำหรับโจทก์แต่ละคนถ้าทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เล็กน้อยก็ฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ส่วนทุนทรัพย์ที่ไม่เกิน20,000 บาทนั้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงมาก็เป็นการมิชอบ เพราะปัญหาดังกล่าวยุติตั้งแต่ศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 4 ในสำนวนหลังฎีกา แต่ในสำนวนหลังนี้ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 4 จึงหาอาจเรียกพยานของตนเข้าสืบได้ไม่ ดังนั้นพยานที่จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในสำนวนแรกนำสืบรวมมาในสำนวนแรก จึงไม่อาจนำมาวินิจฉัยในสำนวนหลังได้
แม้จำเลยที่ 4 จะฎีกาแต่ผู้เดียว แต่คำพิพากษาศาลฎีกาในส่วนที่เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 4 เกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงมีผลถึงจำเลยอื่นที่ไม่ได้ฎีกาด้วย
จำเลยทั้งสองต่างขับรถยนต์ด้วยความเร็วแซงและแข่งกันมาเป็นเหตุให้ชนรถของโจทก์ซึ่งจอดอยู่ พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดของจำเลยทั้งสองมีเท่ากัน และเป็นกรณีต่างทำละเมิดโดยไม่ได้ร่วมกัน จึงไม่ต้องร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองต้องรับผิดแบ่งออกเป็นส่วนเท่าๆ กัน
จำเลยที่ 4 ในสำนวนหลังฎีกา แต่ในสำนวนหลังนี้ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 4 จึงหาอาจเรียกพยานของตนเข้าสืบได้ไม่ ดังนั้นพยานที่จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในสำนวนแรกนำสืบรวมมาในสำนวนแรก จึงไม่อาจนำมาวินิจฉัยในสำนวนหลังได้
แม้จำเลยที่ 4 จะฎีกาแต่ผู้เดียว แต่คำพิพากษาศาลฎีกาในส่วนที่เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 4 เกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงมีผลถึงจำเลยอื่นที่ไม่ได้ฎีกาด้วย
จำเลยทั้งสองต่างขับรถยนต์ด้วยความเร็วแซงและแข่งกันมาเป็นเหตุให้ชนรถของโจทก์ซึ่งจอดอยู่ พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดของจำเลยทั้งสองมีเท่ากัน และเป็นกรณีต่างทำละเมิดโดยไม่ได้ร่วมกัน จึงไม่ต้องร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองต้องรับผิดแบ่งออกเป็นส่วนเท่าๆ กัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2776/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาข้อเท็จจริง: อายุความเช็ค - การอ้างข้อเท็จจริงใหม่นอกเหนือจากที่ศาลล่างวินิจฉัย
ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่า เช็คพิพาทลงวันที่ 23 ธันวาคม 2519 โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คพิพาทเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2520 คดียังไม่ขาดอายุความ จำเลยฎีกาว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คโดยไม่ลงวันที่ มอบให้บิดาโจทก์ไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2508 คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 แล้ว ดังนี้ ปัญหาว่าเช็คถึงกำหนดเมื่อไรเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาในฎีกาว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทตั้งแต่ พ.ศ.2508 เป็นการกล่าวอ้างนอกเหนือจากศาลล่างวินิจฉัยไว้เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอายุความอีกทีหนึ่ง จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง