พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,123 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในคดีที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้พิจารณาใหม่เมื่อจำเลยขาดนัด คดีต้องห้ามฎีกาตามทุนทรัพย์เดิม
คดีโจทก์เรียกให้ชำระหนี้ 9,650 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้พิจารณาใหม่ในคดีที่จำเลยขาดนัด โจทก์ฎีกาในปัญหาชั้นขอให้พิจารณาใหม่ ก็ต้องถือตามทุนทรัพย์เดิม จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 6 พ.ศ.2518 มาตรา 6
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดสิทธิฎีกาเมื่อทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท และข้อยกเว้นการห้ามนำสืบเปลี่ยนแปลงเอกสาร
ฟ้องโจทก์มีทุนทรัพย์ 37,500 บาท ส่วนฟ้องแย้งมีทุนทรัพย์ 30,000 บาท คำขออื่นตามฟ้องแย้งเป็นคำขอไม่มีทุนทรัพย์ต่อเนื่องจากคำขอมีทุนทรัพย์ดังนั้นทุนทรัพย์ที่พิพาทตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จึงไม่เกินห้าหมื่นบาทเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6)พ.ศ.2518 มาตรา 6
การที่จำเลยนำสืบว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมตกเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้นั้น มิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารหากแต่เป็นการนำสืบหักล้างสัญญาเช่าซื้อว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด จำเลยนำสืบได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
การที่จำเลยนำสืบว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมตกเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้นั้น มิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารหากแต่เป็นการนำสืบหักล้างสัญญาเช่าซื้อว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด จำเลยนำสืบได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาเรื่องทุนทรัพย์ และการนำสืบหักล้างสัญญาเช่าซื้อว่าเป็นนิติกรรมอำพราง
ฟ้องโจทก์มีทุนทรัพย์ 37,500 บาท ส่วนฟ้องแย้งมีทุนทรัพย์ 30,000 บาท คำขออื่นตามฟ้องแย้งเป็นคำขอไม่มีทุนทรัพย์ต่อเนื่องจากคำขอมีทุนทรัพย์ ดังนั้น ทุนทรัพย์ที่พิพาทตามฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จึงไม่เกินห้าหมื่นบาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6
การที่จำเลยนำสืบว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมตกเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้นั้น มิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร หากแต่เป็นการนำสืบหักล้างสัญญาเช่าซื้อว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด จำเลยนำสืบได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
การที่จำเลยนำสืบว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมตกเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้นั้น มิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร หากแต่เป็นการนำสืบหักล้างสัญญาเช่าซื้อว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด จำเลยนำสืบได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดในการฎีกาเรื่องกรรมสิทธิ์และประเด็นฟ้องเคลือบคลุม: การฎีกาต้องเฉพาะเจาะจงข้อผิดพลาดในการวินิจฉัยของศาล
คดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งอาจให้เช่าได้เดือนละ 200 บาท จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์นั้นเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ เช่นนี้จำเลยจะฎีกาในข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอีกไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
จำเลยฎีกาลอย ๆ ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมิได้ยกเหตุขึ้นอ้างอิงว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ถูกต้องด้วยเหตุใดไม่เป็นฎีกาที่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249
จำเลยฎีกาลอย ๆ ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมิได้ยกเหตุขึ้นอ้างอิงว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ถูกต้องด้วยเหตุใดไม่เป็นฎีกาที่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่บุกรุกที่ดินเช่า: ข้อโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์และการตีความสัญญาเป็นข้อเท็จจริงที่ฎีกาไม่ได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งได้บุกรุกเข้าปลูกอาคารในที่ดินของโจทก์ เทียบเคียงกับที่ดินบริเวณใกล้เคียงที่โจทก์ให้จำเลยเช่า พอฟังได้ว่าที่ดินพิพาทให้เช่าได้เดือนละ 16 บาทเศษ จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนอสังหาริมทรัพย์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลย คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่บุกรุกที่ดินและข้อห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งได้บุกรุกเข้าปลูกอาคารในที่ดินของโจทก์ เทียบเคียงกับที่ดินบริเวณใกล้เคียงที่โจทก์ให้จำเลยเช่า พอฟังได้ว่าที่ดินพิพาทให้เช่าได้เดือนละ 16 บาทเศษ จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนอสังหาริมทรัพย์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลย คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2780/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงที่ยุติแล้ว และการบังคับคืนทรัพย์สินไม่ใช่ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ 11,106 บาท 24 สตางค์ แต่ในจำนวนเงินดังกล่าว 700 บาท จำเลยไม่ต้องชดใช้ เพราะคดีขาดอายุความ จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งเรื่องความรับผิดตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นหรือยกเป็นประเด็นในคำแก้อุทธรณ์ ปัญหาในเรื่องความรับผิดจำนวนเงิน 11,106 บาท 24 สตางค์จึงยุติ ศาลอุทธรณ์เพียงวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดในรายการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่ต้องรับผิดเพิ่มขึ้นอีก 1 รายการ จำนวนเงิน 1,000 บาท และวินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความ ให้จำเลยใช้เงิน 12,106 บาทเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามและฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยให้แก่โจทก์ ไม่ใช่เป็นเรื่องเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย แต่เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย ซึ่งไม่มีสิทธิ์จะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงนำอายุความตามมาตรา 448 ซึ่งใช้บังคับเฉพาะกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดมาใช้ไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินของโจทก์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยให้แก่โจทก์ ไม่ใช่เป็นเรื่องเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย แต่เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย ซึ่งไม่มีสิทธิ์จะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงนำอายุความตามมาตรา 448 ซึ่งใช้บังคับเฉพาะกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดมาใช้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2780/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริงที่ยุติแล้ว และการกำหนดอายุความในการเรียกคืนทรัพย์สิน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ 11,106 บาท24 สตางค์ แต่ในจำนวนเงินดังกล่าว 700 บาทจำเลยไม่ต้องชดใช้ เพราะคดีขาดอายุความ จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งเรื่องความรับผิดตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นหรือยกเป็นประเด็นในคำแก้อุทธรณ์ ปัญหาในเรื่องความรับผิดจำนวนเงิน 11,106 บาท 24 สตางค์จึงยุติ ศาลอุทธรณ์เพียงวินิจฉัยให้จำเลยรับผิดในรายการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่ต้องรับผิดเพิ่มขึ้นอีก 1 รายการ จำนวนเงิน 1,000 บาท และวินิจฉัยว่าคดีไม่ขาดอายุความ ให้จำเลยชดใช้เงิน12,106 บาทเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามและฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินของโจทก์ที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยให้แก่โจทก์ ไม่ใช่เป็นเรื่องเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแต่เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย ซึ่งไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงนำอายุความตามมาตรา 448 ซึ่งใช้บังคับเฉพาะกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดมาใช้ไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินของโจทก์ที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยให้แก่โจทก์ ไม่ใช่เป็นเรื่องเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแต่เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์ฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย ซึ่งไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงนำอายุความตามมาตรา 448 ซึ่งใช้บังคับเฉพาะกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดมาใช้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2627/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโต้แย้งกรรมสิทธิ์ที่ดินสาธารณประโยชน์และการห้ามฎีกาข้อเท็จจริงในคดีที่มีทุนทรัพย์น้อย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ที่จำเลยเช่าและให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหายรวมเป็นเงิน19,200 บาท จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง จำเลยครอบครองที่พิพาทมาเกิน 1 ปี โจทก์เรียกค่าเสียหายมากเกินไป ดังนี้ จำเลยมิได้ให้การกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ และมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิบนอสังหาริมทรัพย์นั้น ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พิพากษาขับไล่จำเลยและให้ชำระค่าเช่าที่ค้าง 2,000 บาท กับค่าเสียหาย 13,342.90 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเช่าที่ค้างกับค่าเสียหายให้จำเลยชำระรวมเป็นเงิน 8,522.21 บาทเป็นการแก้ไขเล็กน้อย คดีนี้ทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท และที่พิพาทในขณะยื่นคำฟ้องมีอัตราค่าเช่าไม่เกินเดือนละห้าพันบาท ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 6
จำเลยฎีกาว่า ได้มีการแจ้งการครอบครองที่พิพาทเมื่อพ.ศ.2498 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินอำเภอเมืองสมุทรปราการและอำเภอเมืองสมุทรสาครฯ พุทธศักราช 2481 ที่พิพาทเดิมจึงเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามพระราชกฤษฎีกาการแจ้งการครอบครอง ไม่มีผลทำให้ที่พิพาทเป็นที่มีเจ้าของ และจำเลยนำสืบฟังได้ว่าที่พิพาทน้ำทะเลท่วมถึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังนี้ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงว่า ตามที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีการครอบครองมาก่อนพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับหากแต่ฟังได้ว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังจำเลยนำสืบจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่า ได้มีการแจ้งการครอบครองที่พิพาทเมื่อพ.ศ.2498 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินอำเภอเมืองสมุทรปราการและอำเภอเมืองสมุทรสาครฯ พุทธศักราช 2481 ที่พิพาทเดิมจึงเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามพระราชกฤษฎีกาการแจ้งการครอบครอง ไม่มีผลทำให้ที่พิพาทเป็นที่มีเจ้าของ และจำเลยนำสืบฟังได้ว่าที่พิพาทน้ำทะเลท่วมถึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังนี้ เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงว่า ตามที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่มีการครอบครองมาก่อนพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับหากแต่ฟังได้ว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังจำเลยนำสืบจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2346/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานเพื่อพิสูจน์จำนวนเงินกู้ที่ได้รับจริง ไม่ถือเป็นการแก้ไขเอกสาร และข้อจำกัดการฎีกาในคดีทุนทรัพย์น้อย
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามจำนวนในสัญญากู้ 8,000 บาท แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในคำฟ้องว่าจำเลยได้รับเงินจำนวนนี้ไปแล้ว แต่พอเข้าใจตามคำฟ้องนั้นได้ว่าจำเลยได้รับเงินตามสัญญากู้แล้ว จำเลยให้การว่ากู้ไปเพียง 300 บาท แต่โจทก์ตกลงให้มารับเงินกู้ไปจนครบจำนวนที่ลงไว้ในสัญญากู้ จำเลยได้รับเงินกู้ไปหลายครั้ง เป็นเงินรวมทั้งหมด 3,300 บาท เห็นได้ว่าจำเลยสู้คดีว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องไม่สมบูรณ์ เพราะโจทก์ส่งมอบเงินตามสัญญากู้ให้จำเลยไม่ครบจำนวนที่ตกลงกัน จำเลยมีสิทธิ์นำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลยได้ว่าได้รับเงินจากโจทก์ไปแล้วเป็นจำนวนเท่าใด ไม่ใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารอันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีโดยมิได้นำข้อความในเอกสารบางข้อที่อ้างอิงขึ้นมาวินิจฉัย แต่นำข้อความบางข้อมาวินิจฉัยในทางที่เป็นผลร้ายแก่โจทก์ เป็นการมิชอบ เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานในการวินิจฉัยคดีของศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง เมื่อคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่เกิน 50,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีโดยมิได้นำข้อความในเอกสารบางข้อที่อ้างอิงขึ้นมาวินิจฉัย แต่นำข้อความบางข้อมาวินิจฉัยในทางที่เป็นผลร้ายแก่โจทก์ เป็นการมิชอบ เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานในการวินิจฉัยคดีของศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง เมื่อคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่เกิน 50,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248