พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,123 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1246/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทจำนวนเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษา
คดีมีทุนทรัพย์ในศาลชั้นต้น 22,725 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 15,300 บาท กับดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงได้ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้เงินเกินไป 3,605 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
คดีฟ้องเรียกเงิน 4,100 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 4,000 บาทกับดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์แก้เป็นให้ใช้เงิน 2,000 บาทกับดอกเบี้ย เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 855/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ร่วมสามีภริยาจากกิจการร่วมกัน และการกันส่วนของสินสมรสในชั้นบังคับคดี
ภริยากู้เงินโจทก์ ศาลพิพากษาให้ชำระหนี้แก่โจทก์ 6,500 บาทตามยอม เป็นหนี้ซึ่งสามีมากับภริยาเมื่อมากู้เงินด้วยเพื่อนำไปใช้ในการขับรถรับจ้างบรรทุกของ ถือว่าเกิดจากการงานที่สามีภริยาทำด้วยกันเป็นหนี้ร่วมตามมาตรา1482(3) สามีขอให้กันส่วนของตนในสินสมรสที่โจทก์บังคับคดีไม่ได้
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกคำร้องขอให้กันส่วนของสามีในสินบริคณห์ในชั้นบังคับคดี เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ไม่ต้องห้ามฎีกา
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกคำร้องขอให้กันส่วนของสามีในสินบริคณห์ในชั้นบังคับคดี เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ไม่ต้องห้ามฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1485/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดทรัพย์และการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
คดีชั้นร้องขัดทรัพย์ ปรากฏว่าเรือนพิพาทซึ่งผู้ร้องได้ร้องขัดทรัพย์เข้ามาราคา 3,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยฟังว่าเรือนพิพาทเป็นของจำเลย คู่ความจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1485/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดทรัพย์และการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น
คดีชั้นร้องขัดทรัพย์ ปรากฏว่าเรือนพิพาทซึ่งผู้ร้องได้ร้องขัดทรัพย์เข้ามาราคา 3,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยฟังว่าเรือนพิพาทเป็นของจำเลย คู่ความจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1052-1055/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีแย่งการครอบครอง: การโต้เถียงวันถูกแย่งการครอบครองมีผลต่ออายุความ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกันว่า โจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครอง เมื่อ พ.ศ. 2512 และโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงไม่มีสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเคยให้คำรับรองว่าจะคืนที่ดินให้โจทก์ เจ้าพนักงานจดบันทึกให้จำเลยลงชื่อไว้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2514 การฟ้องคดีต้องนับตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 14 มกราคม 2515 ถือว่าโจทก์ฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปีตามกฎหมาย ดังนี้ ฎีกาของโจทก์เป็นเรื่องโต้เถียงว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2514 มิใช่ถูกแย่งการครอบครองเมื่อ พ.ศ. 2512 ดังที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาที่ว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อไร อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องคดี เพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทได้หรือไม่ นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1052-1055/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาเรื่องอายุความฟ้องคดีแย่งการครอบครอง: ประเด็นเวลาเริ่มต้นนับอายุความและขอบเขตการฎีกาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกันว่าโจทก์ถูกจำเลยแย่งการครอบครอง เมื่อ พ.ศ. 2512 และโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงไม่มีสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเคยให้คำรับรองว่าจะคืนที่ดินให้โจทก์ เจ้าพนักงานจดบันทึกให้จำเลยลงชื่อไว้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2514 การฟ้องคดีต้องนับตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 14 มกราคม 2515 ถือว่าโจทก์ฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปีตามกฎหมาย ดังนี้ ฎีกาของโจทก์เป็นเรื่องโต้เถียงว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อวันที่15 มกราคม 2514. มิใช่ถูกแย่งการครอบครองเมื่อ พ.ศ. 2512ดังที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ปัญหาที่ว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองเมื่อไร อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทได้หรือไม่ นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1631/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าครบกำหนด สัญญาต่างตอบแทนไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพสัญญาเช่าเดิมได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท และเรียกค่าเสียหายมาด้วยทุนทรัพย์ไม่เกินสองพันบาท จำเลยมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่า เป็นคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมา ก็ถือว่าไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ามาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคดีมีทุนทรัพย์ 12,500 บาท ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ ฎีกาในข้อเท็จจริง
จำเลยเช่าอาคารพิพาทจากเจ้าของเดิม มีกำหนดเวลาแน่นอนเมื่อโจทก์ได้กรรมสิทธิ์อาคารพิพาทแล้ว จำเลยก็คงเช่าต่อมาตามกำหนดเวลาเดิม ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว โจทก์มาฟ้องขับไล่ จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ได้ตกลงกับจำเลย ยอมให้จำเลยเช่าต่ออีก 5 ปี โดยให้จำเลยทาสีอาคารถมปรับพื้นดินอาคารให้สูงขึ้น ทำห้องน้ำห้องส้วมใหม่ก่อนครบกำหนดด้วยทุนทรัพย์ของจำเลย จำเลยได้จัดการทำตามที่ตกลงสิ้นเงิน 12,500 บาท จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนโจทก์ขับไล่จำเลยไม่ได้และต้องจดทะเบียนการเช่าให้จำเลยต่อไปอีก 5 ปี ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวแล้วไม่มีลักษณะที่จะทำให้การเช่าอาคารพิพาทกลายเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เพราะอาคารพิพาทมีมาแต่เดิม จำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้างขึ้นใหม่ในฐานะที่จำเลยเป็นผู้เช่า จำเลยยังมีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาและซ่อมแซมอาคารพิพาทอยู่แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 553 แม้จำเลยจะได้ทาสีอาคาร ถมปรับพื้นดินอาคารให้สูงขึ้นทำห้องน้ำห้องส้วมใหม่จริง ก็เพื่อความสวยงามและเพื่อความสะดวกสบายในการอยู่ของจำเลยเอง เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในอาคารพิพาทได้ต่อไป
จำเลยเช่าอาคารพิพาทจากเจ้าของเดิม มีกำหนดเวลาแน่นอนเมื่อโจทก์ได้กรรมสิทธิ์อาคารพิพาทแล้ว จำเลยก็คงเช่าต่อมาตามกำหนดเวลาเดิม ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว โจทก์มาฟ้องขับไล่ จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ได้ตกลงกับจำเลย ยอมให้จำเลยเช่าต่ออีก 5 ปี โดยให้จำเลยทาสีอาคารถมปรับพื้นดินอาคารให้สูงขึ้น ทำห้องน้ำห้องส้วมใหม่ก่อนครบกำหนดด้วยทุนทรัพย์ของจำเลย จำเลยได้จัดการทำตามที่ตกลงสิ้นเงิน 12,500 บาท จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนโจทก์ขับไล่จำเลยไม่ได้และต้องจดทะเบียนการเช่าให้จำเลยต่อไปอีก 5 ปี ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวแล้วไม่มีลักษณะที่จะทำให้การเช่าอาคารพิพาทกลายเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เพราะอาคารพิพาทมีมาแต่เดิม จำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้างขึ้นใหม่ในฐานะที่จำเลยเป็นผู้เช่า จำเลยยังมีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาและซ่อมแซมอาคารพิพาทอยู่แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 553 แม้จำเลยจะได้ทาสีอาคาร ถมปรับพื้นดินอาคารให้สูงขึ้นทำห้องน้ำห้องส้วมใหม่จริง ก็เพื่อความสวยงามและเพื่อความสะดวกสบายในการอยู่ของจำเลยเอง เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในอาคารพิพาทได้ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1631/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าไม่เข้าข่ายสัญญาต่างตอบแทนพิเศษ แม้มีการปรับปรุงอาคาร เพราะเป็นหน้าที่บำรุงรักษาตามสัญญาเช่าเดิม
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท และเรียกค่าเสียหายมาด้วยทุนทรัพย์ไม่เกินสองพันบาท จำเลยมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาเช่าเป็นคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมา ก็ถือว่าไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ามาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยเป็นคดีมีทุนทรัพย์12,500 บาท ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริง
จำเลยเช่าอาคารพิพาทจากเจ้าของเดิม มีกำหนดเวลาแน่นอนเมื่อโจทก์ได้กรรมสิทธิ์อาคารพิพาทแล้ว จำเลยก็คงเช่าต่อมาตามกำหนดเวลาเดิม ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว โจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ได้ตกลงกับจำเลย ยอมให้จำเลยเช่าต่ออีก 5 ปีโดยให้จำเลยทาสีอาคารถมปรับพื้นดินอาคารให้สูงขึ้น ทำห้องน้ำห้องส้วมใหม่ ก่อนครบกำหนดด้วยทุนทรัพย์ของจำเลย จำเลยได้จัดการทำตามที่ตกลงสิ้นเงิน 12,500 บาท จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนโจทก์ขับไล่จำเลยไม่ได้และต้องจดทะเบียนการเช่าให้จำเลยต่อไปอีก 5 ปีข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวแล้วไม่มีลักษณะที่จะทำให้การเช่าอาคารพิพาทกลายเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาเพราะอาคารพิพาทมีมาแต่เดิม จำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้างขึ้นใหม่ในฐานะที่จำเลยเป็นผู้เช่า จำเลยยังมีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาและซ่อมแซมอาคารพิพาทอยู่แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 553 แม้จำเลยจะได้ทาสีอาคาร ถมปรับพื้นดินอาคารให้สูงขึ้นทำห้องน้ำห้องส้วมใหม่จริง ก็เพื่อความสวยงามและเพื่อความสะดวกสบายในการอยู่ของจำเลยเอง เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในอาคารพิพาทได้ต่อไป
จำเลยเช่าอาคารพิพาทจากเจ้าของเดิม มีกำหนดเวลาแน่นอนเมื่อโจทก์ได้กรรมสิทธิ์อาคารพิพาทแล้ว จำเลยก็คงเช่าต่อมาตามกำหนดเวลาเดิม ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว โจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ได้ตกลงกับจำเลย ยอมให้จำเลยเช่าต่ออีก 5 ปีโดยให้จำเลยทาสีอาคารถมปรับพื้นดินอาคารให้สูงขึ้น ทำห้องน้ำห้องส้วมใหม่ ก่อนครบกำหนดด้วยทุนทรัพย์ของจำเลย จำเลยได้จัดการทำตามที่ตกลงสิ้นเงิน 12,500 บาท จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนโจทก์ขับไล่จำเลยไม่ได้และต้องจดทะเบียนการเช่าให้จำเลยต่อไปอีก 5 ปีข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวแล้วไม่มีลักษณะที่จะทำให้การเช่าอาคารพิพาทกลายเป็นสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาเพราะอาคารพิพาทมีมาแต่เดิม จำเลยไม่ได้เป็นผู้ก่อสร้างขึ้นใหม่ในฐานะที่จำเลยเป็นผู้เช่า จำเลยยังมีหน้าที่ต้องบำรุงรักษาและซ่อมแซมอาคารพิพาทอยู่แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 553 แม้จำเลยจะได้ทาสีอาคาร ถมปรับพื้นดินอาคารให้สูงขึ้นทำห้องน้ำห้องส้วมใหม่จริง ก็เพื่อความสวยงามและเพื่อความสะดวกสบายในการอยู่ของจำเลยเอง เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในอาคารพิพาทได้ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1390/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดมูลค่าคดีและข้อจำกัดการฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น มูลค่าคดีต่ำกว่าเกณฑ์
จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทต้องถือราคาในขณะเมื่อยื่นคำฟ้องส่วนเนื้อที่ดินของที่พิพาทต้องถือตามจำนวนที่คำนวณได้จากแผนที่วิวาทซึ่งคู่ความได้รับรองความถูกต้องแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรุกล้ำที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ 24 ตารางวา คิดเป็นราคาที่ดิน 9,600 บาท ในขณะฟ้องตกตารางวาละ 400 บาท แต่ในขณะเบิกความมีราคาตารางวาละ 700 บาท เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทตามรูปแผนที่กลางอันเป็นประเด็นโต้เถียงกันในคดีนี้มีเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางวา ที่พิพาทจึงมีราคาในขณะเมื่อยื่นคำฟ้องเพียง 3,200 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรุกล้ำที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ 24 ตารางวา คิดเป็นราคาที่ดิน 9,600 บาท ในขณะฟ้องตกตารางวาละ 400 บาท แต่ในขณะเบิกความมีราคาตารางวาละ 700 บาท เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทตามรูปแผนที่กลางอันเป็นประเด็นโต้เถียงกันในคดีนี้มีเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางวา ที่พิพาทจึงมีราคาในขณะเมื่อยื่นคำฟ้องเพียง 3,200 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง