พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,123 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ราคาที่ดินแต่ละแปลงต่ำกว่าค่าเสียหายที่ฟ้องร้อง ทำให้ฎีกาไม่รับพิจารณาในข้อเท็จจริง
โจทก์สองคนต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวเรียกร้องที่ดินคนละแปลงจากจำเลยมาในฟ้องเดียวกัน โดยตั้งราคาที่ดินรวมกัน 5,200 บาทปรากฏว่าเนื้อที่ดินทั้งสองแปลงนี้ไม่แตกต่างกันมากนัก และเป็นที่ดินที่อยู่ติดต่อกัน เช่นนี้ย่อมเห็นได้ว่าราคาที่ดินแต่ละแปลงไม่ถึง 5,000บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นสั่งรับโดยเข้าใจผิดว่าเป็นข้อกฎหมาย ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนสร้อยราคา 5,000 บาท ที่ยืมไปหรือให้ใช้ราคาพร้อมทั้งดอกเบี้ยนับจากวันผิดนัดถึงวันฟ้องอีก 560 บาท เป็นคดีมีทุนทรัพย์เกินกว่า 5,000 บาท จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานจำเลยควรรับฟังได้ว่าจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว เป็นการเถียงว่า ควรรับฟังคำพยานอย่างไร จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อคำฟ้องฎีกาของจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและศาลชั้นต้นก็สั่งรับฎีกามาแล้ว แม้จะใช้คำว่ารับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายก็ตาม ก็หาได้ผูกมัดศาลฎีกาให้จำต้องถือตามด้วยไม่ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคำฟ้องฎีกาของจำเลยได้
จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานจำเลยควรรับฟังได้ว่าจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว เป็นการเถียงว่า ควรรับฟังคำพยานอย่างไร จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อคำฟ้องฎีกาของจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและศาลชั้นต้นก็สั่งรับฎีกามาแล้ว แม้จะใช้คำว่ารับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายก็ตาม ก็หาได้ผูกมัดศาลฎีกาให้จำต้องถือตามด้วยไม่ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคำฟ้องฎีกาของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ โดยวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงได้ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนสร้อยราคา 5,000 บาทที่ยืมไปหรือให้ใช้ราคาพร้อมทั้งดอกเบี้ยนับจากวันผิดนัดถึงวันฟ้องอีก 560 บาทเป็นคดีมีทุนทรัพย์เกินกว่า 5,000 บาท จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานจำเลยควรรับฟังได้ว่าจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว เป็นการเถียงว่า ควรรับฟังคำพยานอย่างไร จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อคำฟ้องฎีกาของจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและศาลชั้นต้นก็สั่งรับฎีกามาแล้ว แม้จะใช้คำว่ารับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายก็ตาม ก็หาได้ผูกมัดศาลฎีกาให้จำต้องถือตามด้วยไม่ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคำฟ้องฎีกาของจำเลยได้
จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานจำเลยควรรับฟังได้ว่าจำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว เป็นการเถียงว่า ควรรับฟังคำพยานอย่างไร จึงเป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อคำฟ้องฎีกาของจำเลยไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและศาลชั้นต้นก็สั่งรับฎีกามาแล้ว แม้จะใช้คำว่ารับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายก็ตาม ก็หาได้ผูกมัดศาลฎีกาให้จำต้องถือตามด้วยไม่ศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคำฟ้องฎีกาของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 478/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งแยกที่ดินและกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วน ทุนทรัพย์พิพาทแต่ละโจทก์มีผลต่อการฎีกา
แม้เดิมที่พิพาทจะเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่โจทก์ฟ้องว่าได้มีการแบ่งแยกกันเป็นส่วนสัด และโจทก์แต่ละคนต่างครอบครองมากว่าสิบปีแล้ว คำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้พิพากษาให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่ครอบครองกันมา ส่วนคำขอที่ขอให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ก็ต้องถือว่าโจทก์แต่ละคนขอให้เพิกถอนนิติกรรมในส่วนที่ดินของตนซึ่งตามรูปคดีโจทก์แต่ละคนอาจฟ้องตามส่วนของตนโดยลำพังได้ แม้จะฟ้องรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์พิพาทของโจทก์แต่ละคน เมื่อปรากฏว่าทุนทรัพย์พิพาทของโจทก์แต่ละคนไม่เกิน 5,000 บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คู่ความจึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 478/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งแยกที่ดินและครอบครองเพื่ออ้างสิทธิในที่ดินส่วนตน ทุนทรัพย์พิพาทจำกัดผลต่อการฎีกา
แม้เดิมที่พิพาทจะเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่โจทก์ฟ้องว่าได้มีการแบ่งแยกกันเป็นส่วนสัด และโจทก์แต่ละคนต่างครอบครองมากว่าสิบปีแล้ว คำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้พิพากษาให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่ครอบครองกันมา ส่วนคำขอที่ขอให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ก็ต้องถือว่าโจทก์แต่ละคนขอให้เพิกถอนนิติกรรมในส่วนที่ดินของตนซึ่งตามรูปคดีโจทก์แต่ละคนอาจฟ้องตามส่วนของตนโดยลำพังได้ แม้จะฟ้องรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์พิพาทของโจทก์แต่ละคนเมื่อปรากฏว่าทุนทรัพย์พิพาทของโจทก์แต่ละคนไม่เกิน 5,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คู่ความจึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1590/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคิดมูลค่าคดีเมื่อจำเลยหลายคนยึดครองที่ดินคนละส่วน การคำนวณมูลค่าคดีต้องแยกเป็นรายส่วน
โจทก์ฟ้องจำเลย 2 คนว่า เข้าไปยึดถือที่ดินครอบครองแปลงหนึ่งของโจทก์คนละส่วนคนละตอน คำฟ้องไม่ปรากฏข้ออ้างว่าจำเลยร่วมกันทำละเมิดสิทธิของโจทก์ แม้โจทก์จะได้รวมฟ้องจำเลยทั้งสองเข้ามาเป็นคดีเดียวกัน การที่จะดูว่าคดีอย่างนี้มีทุนทรัพย์เท่าใด จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ นั้น จะต้องถือตามราคาที่ดินที่จำเลยแต่ละคนต่างเข้าไปละเมิดยึดถือ ไม่ใช่ว่าจะนับรวมกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1590/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดทุนทรัพย์คดีครอบครองปรปักษ์ การรวมฟ้องจำเลยหลายคน และการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องจำเลย 2 คนว่า เข้าไปยึดถือที่ดินครอบครองแปลงหนึ่งของโจทก์คนละส่วนคนละตอน คำฟ้องไม่ปรากฏข้ออ้างว่าจำเลยร่วมกันทำละเมิดสิทธิของโจทก์ แม้โจทก์จะได้รวมฟ้องจำเลยทั้งสองเข้ามาเป็นคดีเดียวกัน การที่จะดูว่าคดีอย่างนี้มีทุนทรัพย์เท่าใด จะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่ นั้น จะต้องถือตามราคาที่ดินที่จำเลยแต่ละคนต่างเข้าไปละเมิดยึดถือ ไม่ใช่ว่าจะนับรวมกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเล็กน้อยและการห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทราคา 1,400 บาทเป็นของจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ที่ดิน 3 ใน 4 เป็นของโจทก์ทั้งสาม อีกส่วนหนึ่งเป็นของจำเลย ที่ดิน 3 ใน 4 นี้ราคา 1,050 บาท ถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเล็กน้อย ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และข้อจำกัดในการฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทราคา 1,400 บาทเป็นของจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ที่ดิน 3 ใน 4 เป็นของโจทก์ทั้งสาม อีกส่วนหนึ่งเป็นของจำเลย ที่ดิน 3 ใน 4 นี้ราคา 1,050 บาท ถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเล็กน้อย ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 646/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อในการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่รั้วชำรุด ทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ ต้องรับผิดทางละเมิด แม้กระทำในเขตบ้าน
จำเลยปล่อยกระแสไฟฟ้าไว้ที่ลวดหนามซึ่งขึงอยู่ด้านในของเสารั้วภายในเขตบ้านจำเลย โดยมีรั้วไม้ไผ่ที่ด้านนอกของเสา แต่รั้วไม้ไผ่ชำรุดโจทก์อยู่บ้านติดต่อกับจำเลย เอื้อมมือไปเก็บผ้าซึ่งปลิวไปติดรั้วบ้านจำเลยมือไปถูกลวดหนาม ถูกกระแสไฟฟ้าดูดได้รับบาดเจ็บ ดังนี้ จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานละเมิด
กระทำละเมิดต่อผู้อื่นโดยประมาทเลินเล่อ แม้จะทำภายในบริเวณบ้านของตนผู้กระทำก็ต้องรับผิด
กระทำละเมิดต่อผู้อื่นโดยประมาทเลินเล่อ แม้จะทำภายในบริเวณบ้านของตนผู้กระทำก็ต้องรับผิด