คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 366 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกเช็คฉบับใหม่แทนเช็คที่หาย: 'เนื้อความเดียวกัน' หมายถึง สาระสำคัญใช้บังคับได้ ไม่ใช่ข้อความเหมือนเดิมทุกประการ
คำว่า "เนื้อความเดียวกัน" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1011 มิได้หมายความว่าจะต้องมีข้อความเหมือนเดิมทุกประการมิฉะนั้น วรรคสองของมาตราเดียวกันนี้คงไม่บัญญัติว่า หากผู้สั่งจ่ายรับคำขอร้องดั่งว่ามานั้นแล้ว หากบอกปัดไม่ยอมให้ตั๋วเงินคู่ฉบับเช่นนั้นอาจจะถูกบังคับให้ออกให้ก็ได้ ซึ่งการบังคับดังกล่าว เป็นกรณีที่จะต้องใช้สิทธิทางศาล หากจะต้องลงวัน เดือน ปี เหมือนเดิมทุกประการตั๋วเงินอาจขาดอายุความหรือไม่สามารถบังคับด้วยเหตุอื่น กฎหมายมิได้มีเจตนารมณ์เช่นนั้น คำว่าเนื้อความเดียวกัน จึงมีความหมายแต่เพียงว่า จะต้องมีสาระสำคัญใช้บังคับได้เช่นตั๋วเงินฉบับเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประนีประนอมยอมความในคดีเช็ค: ผลกระทบต่อคดีอาญาและหลักการคดีเลิกกัน
สิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามมูลหนี้เช็คระงับสิ้นไปตามการประนีประนอมยอมความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความมีเงื่อนไขว่า โจทก์จะถอนฟ้องคดีความผิดเกี่ยวกับพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ต่อเมื่อได้รับชำระหนี้ตาม สัญญาประนีประนอมยอมความแล้วก็ตามข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงทำให้คดีไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) เท่านั้น แต่เมื่อผลของการทำสัญญาประนีประนอมยอมความทำให้สิทธิเรียกร้องตามมูลหนี้เช็คระงับสิ้นไป กรณีจึงต้องด้วยมาตรา 7พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ซึ่งบัญญัติให้ถือว่าคดีอาญาเป็นอันเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเมื่อหนี้ตามเช็คได้สิ้นผลผูกพันไปแล้ว คดีจึงเป็นอันระงับไปเพราะ คดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 656/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่ารถยนต์และเครื่องจักรกล ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ ใช้เป็นหลักฐานได้
สัญญาเช่าซึ่งต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรกำหนดไว้เฉพาะการเช่าที่ดิน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือแพเท่านั้น สัญญาเช่ารถยนต์และเครื่องจักรกล ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในประเภทที่ประมวลรัษฎากรกำหนดให้ต้องปิดอากรแสตมป์ จึงไม่เข้าลักษณะแห่งตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามมาตรา 118 แห่งประมวลรัษฎากร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 560/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้: ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ใช้ตามประกาศกระทรวงการคลัง ไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปี
การกำหนดอัตราดอกเบี้ยของโจทก์นั้น มีประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การกำหนดสถาบันการเงินและอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินอาจคิดได้จากผู้กู้ยืม (ฉบับที่ 5) ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2535 ข้อ 2 และข้อ 3กำหนดไว้เป็นการเฉพาะให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ยืมได้ไม่เกินร้อยละ 19 ต่อปี ประกาศดังกล่าวออกโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามที่พระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินฯ มาตรา 3(4)และมาตรา 4 ให้อำนาจไว้ดังนี้ การที่จำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่โจทก์คิดจากจำเลยจึงหาได้เปลี่ยนแปลงโดยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยแต่ประการใดไม่การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้อง ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี แต่มิให้เกินอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดจึงเป็นการไม่ชอบ ชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 558/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลต้องพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย แม้ศาลเห็นว่าดอกเบี้ยสูงเกินไป
อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปีตามที่คู่ความตกลงกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่เกินกว่าอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิคิดจากจำเลยได้ตามประกาศกระทรวงการคลังและสัญญากู้เงินตามฟ้อง สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงมิได้เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ศาลชั้นต้นย่อมต้องพิพากษาไปตามนั้น จะใช้ดุลพินิจพิพากษาลดอัตราดอกเบี้ยที่คู่ความตกลงกัน เพราะเหตุที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินส่วนมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 438/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาต้องวางค่าธรรมเนียมเช่นเดียวกับการอุทธรณ์คำพิพากษา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ซึ่งบัญญัติให้ผู้อุทธรณ์ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นมิได้บังคับเฉพาะกรณีอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่งดสืบพยานจำเลย เนื่องจากจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง เป็นการขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายข้างต้นจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชนกันระหว่างรถยนต์: ผู้ขับขี่ต้องพิสูจน์ความประมาทของอีกฝ่าย
เหตุรถชนเกิดขึ้นจากรถยนต์ของโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลทั้งสองฝ่ายแล่นชนกัน จึงมิใช่กรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 437 โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาท เพราะโจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชนท้ายรถยนต์หลายคัน ผู้เสียหายต้องพิสูจน์ความประมาทของจำเลยเมื่อไม่ใช่ผู้ครอบครอง/ควบคุมยานพาหนะ
โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 ก็ต่อเมื่อโจทก์มิใช่เป็นผู้ที่ครอบครองหรือควบคุมยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล เมื่อเหตุเกิดขึ้นจากรถยนต์ของโจทก์และจำเลยซึ่งกำลังแล่นชนกัน เป็นยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลทั้งสองฝ่าย จึงมิใช่กรณีตามมาตรา 437 โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าจำเลย เป็นฝ่ายประมาท เพราะโจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 215/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาต้องวางค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ที่กำหนดให้ ผู้อุทธรณ์นำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์มิได้บังคับเฉพาะกรณีอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีของศาลชั้นต้นเท่านั้น การอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษากลับ คำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีโดยให้มีคำพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้สืบพยานต่อไป ผู้อุทธรณ์ก็ต้องนำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์เช่นเดียวกัน เมื่อผู้อุทธรณ์ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ว่าจ้างไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายจากการก่อสร้าง เว้นแต่ผิดในส่วนการงานหรือเลือกผู้รับจ้างไม่มีความสามารถ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 428 บัญญัติว่า"ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำหรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง" โจทก์จึงมีหน้าที่จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าจำเลยเป็นผู้ผิดตามมาตรา 428 ดังกล่าว แต่ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ผิดในส่วนสั่งให้ทำหรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้แก่ผู้รับจ้างอย่างไรและในการเลือกผู้รับจ้างคือบริษัท ฟ. ซึ่งเป็นผู้ตอกเสาเข็มและก่อสร้างฐานรากก็ปรากฏว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเป็นพิเศษในการก่อสร้างอาคารสูง การที่จำเลยว่าจ้างบริษัท ป. เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบ ย่อมหมายความว่าจำเลยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือสั่งการในการทำงานแต่อย่างใด เพราะเป็นหน้าที่ของบริษัททั้งสอง เมื่อความเสียหายเกิดขึ้น โจทก์จะต้องไปเรียกร้องค่าเสียหายเอาจากผู้ก่อสร้างคือบริษัท ฟ. ซึ่งเป็นผู้ทำละเมิด จำเลยไม่ได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันทำให้จำเลยต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 428
of 37