คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิชา มั่นสกุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 161 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2712/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งหมายข้ามเขตและการทิ้งฟ้องอุทธรณ์: จำเลยไม่ทราบผลการส่งหมาย จึงยังไม่ถือว่าทิ้งฟ้อง
แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์จำเลยทั้งสาม โดยกำหนด ให้จำเลยทั้งสามนำส่งสำเนาให้โจทก์ภายใน 7 วัน ถ้าส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 7 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้มิฉะนั้นจะถือว่าทิ้งฟ้อง แต่โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดพัทลุง ศาลชั้นต้นได้มีหนังสือ แจ้งให้ศาลจังหวัดพัทลุงดำเนินการส่งหมายนัดและ สำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์แทน แสดงว่าจำเลยทั้งสามมิได้ เป็นผู้นำส่งแต่เป็นกรณีส่งหมายข้ามเขตโดยเจ้าพนักงานเดินหมายเป็นผู้ส่งเอง ต่อมาศาลจังหวัดพัทลุงแจ้งศาลชั้นต้นว่าส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์ไม่ได้ ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานผลการส่งหมายแต่เพียงว่ารอจำเลยทั้งสามแถลงเมื่อศาลชั้นต้นยังไม่ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสามทราบว่าเจ้าพนักงานเดินหมายของศาลจังหวัดพัทลุงส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์ไม่ได้ จำเลยทั้งสามย่อมไม่มีโอกาสทราบถึงผลของการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ ดังนั้นแม้จำเลย ทั้งสามจะมิได้แถลงให้ดำเนินการต่อไปก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดอันเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2650/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิด พ.ร.บ.ป่าไม้: ครอบครอง/แปรรูปไม้หวงห้ามในเขตควบคุม แม้รับสารภาพเฉพาะบางข้อหา ศาลใช้ประโยชน์จากคำรับสารภาพทั้งหมดได้
คำว่า "ครอบครอง" ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484หมายความรวมถึงครอบครองเพื่อตนเองและครอบครองแทนผู้อื่นด้วย เพราะไม่มีบทกฎหมายใดจำกัดว่าต้องเป็นการครอบครองเพื่อตนเองเท่านั้นจึงจะเป็นความผิดอีกทั้งในทางอาญา การร่วมกันครอบครองไม้หวงห้ามก็เป็นความผิดเช่นเดียวกันดังนั้นการที่จำเลยครอบครองไม้ยูงซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก.เพื่อแปรรูปให้ผู้ว่าจ้างจึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
เดิมจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทุกข้อหา ก่อนสืบพยานโจทก์จำเลยขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธฟ้องโจทก์ทุกข้อหา เป็นขอให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกับพวกแปรรูปไม้ยูงโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นคงให้การปฏิเสธเมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้กล่าวในฟ้องตอนต้นแล้วว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร-และสหกรณ์ได้ออกประกาศให้กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัด โดยประกาศดังกล่าวทางราชการได้คัดสำเนาประกาศไว้ ณ ที่ว่าการ-อำเภอ ที่ทำการกำนัน และที่สาธารณสถานในท้องที่ที่เกี่ยวข้อง และในท้องที่ที่เกิดเหตุคดีนี้ให้ทราบโดยทั่วกัน และกล่าวในฟ้องต่อไปว่า จำเลยกับพวกร่วมกันแปรรูปไม้ยูงโดยร่วมกันเลื่อยเพื่อเปิดปีกไม้อันเป็นการทำให้ไม้เปลี่ยนรูปและขนาดไปจากเดิมภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงาน-เจ้าหน้าที่ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกับพวกแปรรูปไม้ยูงโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้อง ย่อมเป็นการรับสารภาพตามข้อความที่โจทก์กล่าวในฟ้อง คำให้การรับสารภาพของจำเลยจึงรวมถึงการแปรรูปไม้ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้และรวมถึงการคัดสำเนาประกาศไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอและที่ทำการกำนันหรือที่สาธารณสถานในท้องที่ที่เกี่ยวข้องและในท้องที่ที่เกิดเหตุคดีนี้ด้วย โจทก์จึงไม่จำต้องสืบพยานถึงการปิดสำเนาประกาศดังกล่าว
ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 48 วรรคหนึ่ง,73 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงสองแสนบาท เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานในข้อหาความผิดนี้ได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 176 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2650/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองไม้หวงห้ามเพื่อแปรรูปให้ผู้อื่นถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ การรับสารภาพรวมถึงการแปรรูปในเขตควบคุม
คำว่า "ครอบครอง" ตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 หมายความรวมถึงครอบครองเพื่อตนเองและครอบครองแทนผู้อื่นด้วย เพราะไม่มีบทกฎหมายใดจำกัดว่าต้องเป็นการครอบครองเพื่อตนเองเท่านั้นจึงจะเป็นความผิดอีกทั้งในทางอาญา การร่วมกันครอบครองไม้หวงห้ามก็เป็นความผิดเช่นเดียวกันดังนั้นการที่จำเลยครอบครองไม้ยูง ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. เพื่อแปรรูปให้ผู้ว่าจ้างจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ เดิมจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทุกข้อหา ก่อนสืบพยานโจทก์จำเลยขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธฟ้องโจทก์ทุกข้อหา เป็นขอให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกับพวกแปรรูปไม้ยูงโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นคงให้การปฏิเสธเมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้กล่าวในฟ้องตอนต้นแล้วว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกประกาศให้กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัด โดยประกาศดังกล่าวทางราชการได้คัดสำเนาประกาศไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอ ที่ทำการกำนันและที่สาธารณสถานในท้องที่ที่เกี่ยวข้อง และในท้องที่ที่เกิดเหตุคดีนี้ให้ทราบโดยทั่วกัน และกล่าวในฟ้องต่อไปว่า จำเลยกับพวกร่วมกันแปรรูปไม้ยูงโดยร่วมกันเลื่อยเพื่อ เปิดปักไม้อันเป็นการทำให้ไม้เปลี่ยนรูปและขนาดไปจากเดิม ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ โดยไม่ได้รับอนุญาต จากพนักงานเจ้าหน้าที่ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ในข้อหาร่วมกับพวกแปรรูปไม้ยูงโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้อง ย่อมเป็นการรับสารภาพตามข้อความที่โจทก์กล่าวในฟ้อง คำให้การรับสารภาพของจำเลยจึงรวมถึงการแปรรูปไม้ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้และรวมถึงการคัดสำเนาประกาศไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอและที่ทำการกำนันหรือที่สาธารณสถานในท้องที่ที่เกี่ยวข้องและในท้องที่ที่เกิดเหตุคดีนี้ด้วย โจทก์จึงไม่จำต้องสืบพยานถึงการปิดสำเนาประกาศดังกล่าว ความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 48 วรรคหนึ่ง,73 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ห้าพ้นบาทถึงสองแสนบาท เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลย่อมพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานในข้อหาความผิดนี้ได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2394/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้ภาษีอากร, การบังคับคดี, และการส่งใช้ค่าหุ้นที่ไม่ครบถ้วน
ส. เป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยร่วม ฉะนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ให้จำเลยร่วมชำระโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับถึง ส. ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยร่วม ถือได้ว่าจำเลยร่วมได้รับหนังสือ ให้ชำระภาษีอากรดังกล่าว ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 8 วรรคแรก แล้ว หากจำเลยร่วมเห็นว่าการประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงาน ประเมินไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบอย่างไรก็ชอบจะใช้สิทธิอุทธรณ์ ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามที่บัญญัติไว้ใน ประมวลรัษฎากร มาตรา 30 แต่จำเลยร่วมมิได้อุทธรณ์ ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในระยะเวลาตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมายดังกล่าว หนี้ภาษีอากรค้างดังกล่าวย่อมเด็ดขาด โจทก์ได้แนบสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นในวันประชุมสามัญ ครั้งที่ตั้งบริษัทมาท้ายฟ้อง แต่จำเลยที่ 3 หาได้โต้แย้ง คัดค้านความไม่ถูกต้องของสำเนาเอกสารดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 ไม่ยิ่งกว่านั้นสำเนาเอกสารดังกล่าว นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครได้รับรองความถูกต้องของสำเนาเอกสาร ดังกล่าว ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ได้นำสืบพยานถึงความถูกต้องของ สำเนาเอกสารดังกล่าวก็รับฟังเอกสารดังกล่าวได้ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ชำระค่าหุ้นที่จำเลยทั้งสามยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าหุ้นที่จำเลยแต่ละคนถืออยู่เพื่อนำไปชำระหนี้ค่าภาษีอากรของจำเลยร่วมจึงเป็นการใช้สิทธิ เรียกร้องเพื่อมาชำระภาษีอากร ซึ่งมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 167(เดิม) อันเป็นกฎหมาย ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องได้เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์มีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ ต.1/1037/2/04986 และหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายที่ ต.1/1037/1/02013ให้จำเลยร่วมชำระเงิน 283,490 บาท และ 40,025.62 บาทตามลำดับ ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.28 และ จ.29 จำเลยร่วมได้รับหนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2529 นอกจากนี้เจ้าพนักงานประเมินยังมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ ต.1/1037/2/05150 และหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายที่ ต.1/1037/1/225596 ให้จำเลยร่วมชำระเงิน122,976 บาท และ 1,486.43 บาท ตามลำดับ ภายใน 30 วันนับแต่วันรับหนังสือดังกล่าว ตามเอกสารหมาย จ.60 และ จ.61 จำเลยร่วมได้รับหนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2529 ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมิน ภาษีอากร ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล และหนังสือ แจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ให้จำเลยร่วมทราบจึงถือได้ว่าเป็นการสั่งบังคับตามกฎหมายเพื่อให้ลูกหนี้ ใช้หนี้ค่าภาษีอากรตามที่เรียกร้อง อันมีผลให้ลูกหนี้อาจต้องถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดโดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาลการสั่งบังคับดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการที่เจ้าหนี้ได้ทำการอันใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกันเพื่อให้ใช้หนี้ตามที่เรียกร้อง ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 167(เดิม) ซึ่งมีผลทำให้อายุความสิทธิเรียกร้องหนี้ ค่าภาษีอากรตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและหนังสือ แจ้งภาษีเงินได้บุคคลหัก ณ ที่จ่ายเอกสารหมาย จ.28 จ.29 สะดุดหยุดลงเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2529 และสิทธิเรียกร้องหนี้ภาษีอากรตามหนังสือภาษีเงินได้นิติบุคคลและหนังสือ แจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายเอกสารหมาย จ.60และ จ.61 สะดุดหยุดลงเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2529แล้วเริ่มนับอายุความใหม่เมื่อพ้นระยะเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ 9 มกราคม 2529 และวันที่ 8 กรกฎาคม 2529 ตามลำดับสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ค่าภาษีเงินได้นิติบุคคล และหนี้ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ตามเอกสารหมาย จ.28 และ จ.29 จึงเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2529 ส่วนสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ค่าภาษีเงินได้ นิติบุคคลและหนี้ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายตามเอกสารหมาย จ.60 และ จ.61 เริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2529 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9ธันวาคม 2534 จึงยังไม่ล่วงพ้นกำหนดอายุความ 10 ปีคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2394/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้ภาษี การแจ้งภาษีและการสั่งบังคับหนี้เป็นเหตุสะดุดอายุความ
ส.เป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยร่วม ฉะนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายให้จำเลยร่วมชำระโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับถึง ส.ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยร่วม ถือได้ว่าจำเลยร่วมได้รับหนังสือให้ชำระภาษีอากรดังกล่าว ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 8 วรรคแรก แล้ว หากจำเลยร่วมเห็นว่าการประเมินภาษีอากรของเจ้าพนักงานประเมินไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบอย่างไรก็ชอบจะใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.รัษฎากรมาตรา 30 แต่จำเลยร่วมมิได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในระยะเวลาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว หนี้ภาษีอากรค้างดังกล่าวย่อมเด็ดขาด
โจทก์ได้แนบสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นในวันประชุมสามัญครั้งที่ตั้งบริษัทมาท้ายฟ้อง แต่จำเลยที่ 3 หาได้โต้แย้งคัดค้านความไม่ถูกต้องของสำเนาเอกสารดังกล่าว ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 125 ไม่ ยิ่งกว่านั้นสำเนาเอกสารดังกล่าว นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครได้รับรองความถูกต้องของสำเนาเอกสารดังกล่าว ดังนั้น แม้โจทก์จะไม่ได้นำสืบพยานถึงความถูกต้องของสำเนาเอกสารดังกล่าวก็รับฟังเอกสารดังกล่าวได้
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ชำระค่าหุ้นที่จำเลยทั้งสามยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าหุ้นที่จำเลยแต่ละคนถืออยู่เพื่อนำไปชำระหนี้ค่าภาษีอากรของจำเลยร่วมจึงเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเพื่อมาชำระภาษีอากร ซึ่งมีกำหนดอายุความ 10 ปีตาม ป.พ.พ.มาตรา 167 (เดิม) อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องได้ เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์มีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ ต.1/1037/2/04986 และหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายที่ ต.1/1037/1/02013 ให้จำเลยร่วมชำระเงิน283,490 บาท และ 40,025.62 บาท ตามลำดับ ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือดังกล่าว ตามเอกสารหมาย จ.28 และ จ.29 จำเลยร่วมได้รับหนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2529 นอกจากนี้เจ้าพนักงานประเมินยังมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ ต.1/1037/2/05150 และหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายที่ ต.1/1037/1/225596 ให้จำเลยร่วมชำระเงิน 122,976 บาท และ 1,486.43 บาท ตามลำดับ ภายใน 30 วันนับแต่วันรับหนังสือดังกล่าว ตามเอกสารหมาย จ.60 และ จ.61 จำเลยร่วมได้รับหนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2529 ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินภาษีอากร ตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคล และหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ให้จำเลยร่วมทราบจึงถือได้ว่าเป็นการสั่งบังคับตามกฎหมายเพื่อให้ลูกหนี้ใช้หนี้ค่าภาษีอากรตามที่เรียกร้อง อันมีผลให้ลูกหนี้อาจต้องถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดโดยไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล การสั่งบังคับดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการที่เจ้าหนี้ได้ทำการอันใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกันเพื่อให้ใช้หนี้ตามที่เรียกร้อง ดังที่บัญญัติไว้ในป.พ.พ.มาตรา 167 (เดิม) ซึ่งมีผลทำให้อายุความสิทธิเรียกร้องหนี้ค่าภาษีอากรตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลและหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลหัก ณ ที่จ่ายเอกสารหมาย จ.28 จ.29 สะดุดหยุดลงเมื่อวันที่ 9 มกราคม2529 และสิทธิเรียกร้องหนี้ภาษีอากรตามหนังสือภาษีเงินได้นิติบุคคลและหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายเอกสารหมาย จ.60 และ จ.61สะดุดหยุดลงเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2529 แล้วเริ่มนับอายุความใหม่เมื่อพ้นระยะเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ 9 มกราคม 2529 และวันที่ 8 กรกฎาคม 2529ตามลำดับ สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลและหนี้ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ตามเอกสารหมาย จ.28 และ จ.29 จึงเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2529 ส่วนสิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลและหนี้ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ตามเอกสารหมายจ.60 และ จ.61 เริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2529 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2534 จึงยังไม่ล่วงพ้นกำหนดอายุความ 10 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2386/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมการผ้าป่าร่วมกันรับผิดชอบเงิน หากยักยอกทรัพย์ ส.ง.ร. มีสิทธิร้องทุกข์ได้ แม้หนังสือมอบอำนาจไม่ติดอากร
สำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดจะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ตามแต่เงินผ้าป่า 150,000 บาท เป็นเงินที่ชาวบ้านนำไปทอดให้สำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดซึ่งพระภิกษุ ป. เป็นเจ้าคณะสงฆ์อยู่ในขณะนั้น พระภิกษุ ป. จึงมีหน้าที่ดูแลเงินผ้าป่าดังกล่าว เมื่อพระภิกษุ ป. มอบให้พระภิกษุ ข.เป็นผู้เลือกชาวบ้านเป็นกรรมการดูแลรับผิดชอบจำนวนเงินนั้นส.ง.ร. และจำเลยได้รับเลือกเป็นกรรมการและร่วมกันรับมอบเงินจำนวนดังกล่าวไปเก็บรักษา หากจำนวนเงินดังกล่าวสูญหาย กรรมการทั้งสี่ต้องร่วมกันรับผิดต่อสำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุด แม้กรรมการแต่ละคนจะได้รับเงินเพียงบางส่วนไปเก็บรักษาก็เป็นการแบ่งความรับผิดชอบกันเองภายหลังจากรับเงินทั้งจำนวนมาแล้ว การที่จำเลยรับมอบเงินจำนวน40,000 บาท ไปเก็บรักษาแล้วยักยอกเงินจำนวนนั้นไปส.ง.ร. จึงเป็นผู้เสียหายในอันที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้ โดยถือว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของสำนักสงฆ์ห้วยน้ำผุดซึ่งอยู่ในความครอบครองของส.ง.ร. และจำเลย แม้หนังสือมอบอำนาจให้ไปร้องทุกข์จะไม่ได้ปิดแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้เนื่องจาก ประมวลรัษฎากรฯมาตรา 118 ห้ามมิให้รับฟังหนังสือมอบอำนาจที่ไม่ปิดแสตมป์เป็นพยานหลักฐานเฉพาะในคดีแพ่งเท่านั้น มิได้ห้ามมิให้รับฟังในคดีอาญาด้วย ทั้งการมอบอำนาจให้ไปร้องทุกข์ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1988/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาหลอกลวงเพื่อรับเงิน ไม่เข้าข่ายความผิดฐานจัดหางานผิดกฎหมาย
คำฟ้องตอนแรกบรรยายว่าจำเลยจัดหางานให้แก่คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ โดยเรียกและรับค่าบริการเป็นค่าตอบแทนจากคนหางานโดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานตามกฎหมาย แต่คำฟ้องของโจทก์ตอนหลังที่ว่าจำเลยโดยเจตนาทุจริตหลอกลวงประชาชนทั่วไปด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริงอันควรบอก ให้แจ้งว่าจำเลยสามารถจัดส่งคนหางานไปทำงานยังต่างประเทศโดยถูกต้องตามกฎหมาย โดยไปทำงานเป็นกรรมกรในต่างประเทศ ซึ่งจะได้เงินเดือนในอัตราสูงได้ ความจริงแล้วจำเลย ไม่สามารถจัดส่งคนไปทำงานยังต่างประเทศตามที่ได้หลอกลวงไว้ เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงอยู่ในตัวว่าจำเลยไม่มีเจตนา จัดหางานให้แก่ผู้เสียหาย คงมีแต่เจตนาหลอกลวงเพื่อ จะได้รับเงินจากผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางาน และคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30,82

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1988/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหลอกลวงจัดหางานต่างประเทศมีเจตนาทุจริต ไม่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.จัดหางาน
คำฟ้องตอนแรกบรรยายว่าจำเลยจัดหางานให้แก่คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ โดยเรียกและรับค่าบริการเป็นค่าตอบแทนจากคนหางานโดยจำเลยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานตามกฎหมาย แต่คำฟ้องของโจทก์ตอนหลังที่ว่าจำเลยโดยเจตนาทุจริตหลอกลวงประชาชนทั่วไปด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดความจริงอันควรบอกให้แจ้งว่าจำเลยสามารถจัดส่งคนหางานไปทำงานยังต่างประเทศโดยถูกต้องตามกฎหมาย โดยไปทำงานเป็นกรรมกรในต่างประเทศซึ่งจะได้เงินเดือนในอัตราสูงได้ ความจริงแล้วจำเลยไม่สามารถจัดส่งคนไปทำงานยังต่างประเทศตามที่ได้หลอกลวงไว้ เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงอยู่ในตัวว่าจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานให้แก่ผู้เสียหาย คงมีแต่เจตนาหลอกลวงเพื่อจะได้รับเงินจากผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528มาตรา 30, 82

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1967/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีจากการขายอสังหาริมทรัพย์: ราคาตลาดในวันโอนเป็นเกณฑ์สำคัญ
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 49 ทวิ และมาตรา 87 ทวิ(6)กฎหมายได้ให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินกำหนดราคาอสังหาริมทรัพย์ที่โอนตามราคาที่พึงได้รับจากการขายตามปกติหรือตามราคาตลาด ในวันที่โอน ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ใช้ราคาตามบัญชีราคาประเมินที่ดินของสำนักงานกลางประเมิน ราคาทรัพย์สิน กรมที่ดิน ที่ใช้อยู่ในวันที่ทำการโอนในการกำหนดราคา ขายที่ดินของโจทก์ในการโอนขายเพื่อคำนวณเงินได้พึงประเมิน และรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์จึงชอบด้วยบทบัญญัติ ของกฎหมาย และบัญชีราคาประเมินที่ดินและบัญชีประเมินทุนทรัพย์ ที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 นำมาใช้ประเมินแก่โจทก์ นั้นเป็นเอกสารราชการที่มีการรับรองว่าถูกต้องตามกฎหมายแล้ว จึงมีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่าเป็นราคาประเมินที่ถูกต้องแล้ว เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 คำนวณเงินได้พึงประเมินของโจทก์โดยใช้ราคาท้องตลาดในวันโอนกรรมสิทธิ์ แต่โจทก์ใช้ราคาตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งทำไว้ก่อนวันโอน ดังนั้นเงินได้พึงประเมินที่โจทก์และเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1คำนวณจึงต่างกัน เมื่อจำนวนเงินได้พึงประเมินจากการขายอสังหาริมทรัพย์จะต้องใช้ราคาตลาดในวันโอนกรรมสิทธิ์เป็นเกณฑ์คำนวณ ดังนั้นการคำนวณเงินได้พึงประเมินจากการขายอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ปี 2531(ครึ่งปี) ของจำเลยที่ 1จึงถูกต้องแล้ว การกำหนดราคาทรัพย์สินหรือค่าบริการตามราคาตลาดในวันโอน หรือทำบริการตามมาตรา 87 ทวิ (6) ให้ถือราคาตลาดในวันโอน การที่โจทก์นำราคาตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งกระทำก่อนวันโอน มาคำนวณเป็นรายรับเพื่อเสียภาษีย่อมไม่เป็นการถูกต้องจึงถือได้ว่าราคาดังกล่าวต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุผล อันสมควร โจทก์ได้ให้ความร่วมมือด้วยดี มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ50 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีจึงเห็นสมควรงดเสียเบี้ยปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าให้แก่โจทก์ทั้งหมด ส่วนเงินเพิ่มนั้นตามประมวลรัษฎากร มิได้บัญญัติให้งดได้ดังเช่นเบี้ยปรับ และจะลดลงได้เมื่อเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ศาลจึงไม่มีอำนาจงดหรือลดเงินเพิ่มให้โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1967/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีจากราคาตลาดในวันโอนอสังหาริมทรัพย์ และการงดเว้นเบี้ยปรับกรณีไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี
ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 49 ทวิ และมาตรา 87 ทวิ (6)กฎหมายได้ให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินกำหนดราคาอสังหาริมทรัพย์ที่โอนตามราคาที่พึงได้รับจากการขายตามปกติหรือตามราคาตลาดในวันที่โอน ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ใช้ราคาตามบัญชีราคาประเมินที่ดินของสำนักงานกลางประเมินราคาทรัพย์สิน กรมที่ดิน ที่ใช้อยู่ในวันที่ทำการโอนในการกำหนดราคาขายที่ดินของโจทก์ในการโอนขายเพื่อคำนวณเงินได้พึงประเมินและรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์จึงชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย และบัญชีราคาประเมินที่ดินและบัญชีประเมินทุนทรัพย์ที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 นำมาใช้ประเมินแก่โจทก์นั้นเป็นเอกสารราชการที่มีการรับรองว่าถูกต้องตามกฎหมายแล้วจึงมีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่าเป็นราคาประเมินที่ถูกต้องแล้ว
เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 คำนวณเงินได้พึงประเมินของโจทก์โดยใช้ราคาท้องตลาดในวันโอนกรรมสิทธิ์ แต่โจทก์ใช้ราคาตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งทำไว้ก่อนวันโอน ดังนั้น เงินได้พึงประเมินที่โจทก์และเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 คำนวณจึงต่างกัน เมื่อจำนวนเงินได้พึงประเมินจากการขายอสังหาริมทรัพย์จะต้องใช้ราคาตลาดในวันโอนกรรมสิทธิ์เป็นเกณฑ์คำนวณ ดังนั้นการคำนวณเงินได้พึงประเมินจากการขายอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ปี 2531 (ครึ่งปี)ของจำเลยที่ 1 จึงถูกต้องแล้ว
การกำหนดราคาทรัพย์สินหรือค่าบริการตามราคาตลาดในวันโอนหรือทำบริการตามมาตรา 87 ทวิ (6) ให้ถือราคาตลาดในวันโอน การที่โจทก์นำราคาตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งกระทำก่อนวันโอนมาคำนวณเป็นรายรับเพื่อเสียภาษีย่อมไม่เป็นการถูกต้อง จึงถือได้ว่าราคาดังกล่าวต่ำกว่าราคาตลาดโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
โจทก์ได้ให้ความร่วมมือด้วยดี มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้า การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ลดเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อโจทก์มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี จึงเห็นสมควรงดเสียเบี้ยปรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าให้แก่โจทก์ทั้งหมด ส่วนเงินเพิ่มนั้นตาม ป.รัษฎากร มิได้บัญญัติให้งดได้ดังเช่นเบี้ยปรับ และจะลดลงได้เมื่อเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ศาลจึงไม่มีอำนาจงดหรือลดเงินเพิ่มให้โจทก์ได้
of 17