คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิชา มั่นสกุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 161 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และที่ดินมรดก: การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของที่ดินที่ได้มาจากการครอบครองและทำประโยชน์
ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลที่ไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความกัน ซึ่งจำเลยแถลงไว้ว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของ ล. บิดาจำเลยและโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ต่อมาล. ละทิ้งร้าง จำเลยได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์เรื่อยมาจำเลยเคยจะแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งห้า 5 ไร่ เนื่องจากเห็นแก่มารดา คำแถลงของจำเลยมิได้เกิดการถูกบังคับขู่เข็ญหรือหลอกลวงหากแต่จำเลยได้กระทำโดยสมัครใจ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังประกอบกับพยานหลักฐานอื่นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และเจตนาสมัครใจในการแบ่งที่ดิน
ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลที่ไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความกัน ซึ่งจำเลยแถลงไว้ว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นของ ล. บิดาจำเลยและโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ต่อมา ล.ละทิ้งร้าง จำเลยได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์เรื่อยมา จำเลยเคยจะแบ่งให้แก่โจทก์ทั้งห้า 5 ไร่ เนื่องจากเห็นแก่มารดา คำแถลงของจำเลยมิได้เกิดการถูกบังคับขู่เข็ญหรือหลอกลวง หากแต่จำเลยได้กระทำโดยสมัครใจ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังประกอบกับพยานหลักฐานอื่นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 282/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์โดยใช้กำลังข่มขู่ ความน่าเชื่อถือพยานหลักฐาน และการรับสารภาพ
คำเบิกความของพยานโจทก์ทุกปากไม่มีผู้ใดมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยจึงไม่มีข้อน่าระแวงสงสัยว่าจะเบิกความกลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลย น่าเชื่อว่าพยานทุกปากเบิกความไปตามความเป็นจริงส่วนที่จำเลยนำสืบว่าที่ให้การรับสารภาพเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายจนทนไม่ไหวนั้น คงมีตัวจำเลยและบิดาจำเลยเท่านั้นที่เบิกความ และทนายจำเลยก็มิได้ถามค้านในเรื่องที่จำเลยอ้างว่าถูกทำร้ายจนทนไม่ไหวจึงต้องให้การรับสารภาพไว้ในขณะที่เจ้าพนักงานสอบสวนมาเบิกความเมื่อพิจารณาพยานหลักฐานต่าง ๆ ประกอบกับภาพถ่ายซึ่งจำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้ว เห็นได้ว่าจำเลยกระทำโดยสมัครใจและไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายอยู่เลยคำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยจึงไม่มีข้อพิรุธหรือน่าสงสัยว่าจะมีการบังคับขู่เข็ญ หรือทำร้ายจนจำเลยทนไม่ได้ต้องให้การรับสารภาพ พยานจำเลยที่นำสืบจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเพื่อหักล้างพยานโจทก์ได้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงน่าเชื่อถือจึงรับฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 55/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่า: การพิสูจน์เจตนาและตัวผู้เสียหายจากหลักฐาน
การที่โจทก์ระบุชื่อผู้เสียหายในฟ้องผิดพลาดและรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์ระบุชื่อผู้บาดเจ็บผิดพลาดไปบ้างเฉพาะในหน้าหลังส่วนหน้าแรกถูกต้องนั้นถือได้ว่าเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ทั้งจำเลยก็นำสืบต่อสู้โดยอ้างฐานที่อยู่ขณะเกิดเหตุมิได้หลงต่อสู้กับตัวผู้เสียหายแต่อย่างใด ข้อผิดพลาดดังกล่าวจึงไม่ถึงกับทำให้รับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7873/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาจากการบรรทุกน้ำหนักเกินกฎหมาย และเหตุผลส่วนตัวที่ไม่สามารถนำมาใช้รอการลงโทษได้
จำเลยขับรถยนต์บรรทุกและรถพ่วงคันเกิดเหตุบรรทุกทรายมีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด 38,800 กิโลกรัม แล่นไปตามทางหลวงแผ่นดิน เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางหลวงแผ่นดิน ซึ่งได้รับการออกแบบและก่อสร้างให้สามารถรองรับน้ำหนักได้ตามอัตราที่กฎหมายกำหนดมากจนเกินกว่าที่จะเกิดขึ้นจากการใช้งานตามปกติ การกระทำดังกล่าวของจำเลยแสดงให้เห็นว่า จำเลยมุ่งแต่ผลประโยชน์ส่วนตนหรือผลประโยชน์ของนายจ้างจำเลยเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินส่วนรวมและไม่นำพาต่อสวัสดิภาพในชีวิตและทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคลอื่น ๆ ที่ร่วมใช้เส้นทางสัญจรไปมาซึ่งต้องเสี่ยงต่ออันตรายอันอาจเกิดจากสภาพถนนที่ชำรุดทรุดโทรมง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุ หรืออันตรายที่อาจจะเกิดจากสภาพรถยนต์ของจำเลยซึ่งบรรทุกน้ำหนักเป็นจำนวนมากจนเกินกว่าที่ผู้ขับจะควบคุมรถยนต์ได้อย่างปลอดภัย การที่จำเลยอ้างว่าจำต้องกระทำความผิดในครั้งนี้เพราะไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือขัดคำสั่งของนายจ้าง มิฉะนั้นอาจต้องถูกไล่ออกจากงานอันจะทำให้จำเลยต้องขาดรายได้และหากจำเลยต้องจำคุกก็จะทำให้บุตร ภริยา ซึ่งไม่อาจหาเลี้ยงตนเองและต้องอาศัยจำเลยเพียงผู้เดียวหารายได้มาจุนเจือต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างมากนั้น เห็นได้ว่าเหตุต่าง ๆ ที่จำเลยยกขึ้นอ้างเป็นเพียงเหตุผลส่วนตัวของจำเลยเท่านั้น บุคคลทั่ว ๆ ไปในสถานะเช่นเดียวกันกับจำเลยก็มีภาระหน้าที่ไม่แตกต่างไปจากจำเลยจำเลยไม่อาจอ้างภาระความจำเป็นส่วนตัวเพื่อก่อภาระให้แก่สังคมโดยรวมได้ เหตุต่าง ๆ ที่จำเลยยกขึ้นอ้างนั้นจึงยังไม่เพียงพอที่จะนำมารับฟังเพื่อรอการลงโทษให้จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7873/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาจากการบรรทุกน้ำหนักเกินขนาด และเหตุผลความจำเป็นส่วนตัวที่ไม่เพียงพอต่อการรอการลงโทษ
จำเลยขับรถยนต์บรรทุกและรถพ่วงคันเกิดเหตุบรรทุกทรายมีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด 38,800 กิโลกรัม แล่นไปตามทางหลวงแผ่นดิน เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางหลวงแผ่นดิน ซึ่งได้รับการออกแบบและก่อสร้างให้สามารถรองรับน้ำหนักได้ตามอัตราที่กฎหมายกำหนดมากจนเกินกว่าที่จะเกิดขึ้นจากการใช้งานตามปกติ การกระทำดังกล่าวของจำเลยแสดงให้เห็นว่า จำเลยมุ่งแต่ผลประโยชน์ส่วนตนหรือผลประโยชน์ของนายจ้างจำเลยเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินส่วนรวมและไม่นำพาต่อสวัสดิภาพในชีวิตและทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคลอื่น ๆ ที่ร่วมใช้เส้นทางสัญจรไปมาซึ่งต้องเสี่ยงต่ออันตรายอันอาจเกิดจากสภาพถนนที่ชำรุดทรุดโทรมง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุ หรืออันตรายที่อาจจะเกิดจากสภาพรถยนต์ของจำเลยซึ่งบรรทุกน้ำหนักเป็นจำนวนมากจนเกินกว่าที่ผู้ขับจะควบคุมรถยนต์ได้อย่างปลอดภัย การที่จำเลยอ้างว่าจำต้องกระทำความผิดในครั้งนี้เพราะไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือขัดคำสั่งของนายจ้าง มิฉะนั้นอาจต้องถูกไล่ออกจากงานอันจะทำให้จำเลยต้องขาดรายได้และหากจำเลยต้องจำคุกก็จะทำให้บุตร ภริยา ซึ่งไม่อาจหาเลี้ยงตนเองและต้องอาศัยจำเลยเพียงผู้เดียวหารายได้มาจุนเจือต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างมากนั้น เห็นได้ว่าเหตุต่าง ๆ ที่จำเลยยกขึ้นอ้างเป็นเพียงเหตุผลส่วนตัวของจำเลยเท่านั้น บุคคลทั่ว ๆ ไปในสถานะเช่นเดียวกันกับจำเลยก็มีภาระหน้าที่ไม่แตกต่างไปจากจำเลยจำเลยไม่อาจอ้างภาระความจำเป็นส่วนตัวเพื่อก่อภาระให้แก่สังคมโดยรวมได้ เหตุต่าง ๆ ที่จำเลยยกขึ้นอ้างนั้นจึงยังไม่เพียงพอที่จะนำมารับฟังเพื่อรอการลงโทษให้จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7807/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีเมื่อผู้เสียภาษีไม่นำเอกสารหลักฐานมาชี้แจงภายในเวลาที่กำหนด เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินตามกฎหมาย
เจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกให้โจทก์นำบัญชีที่ต้องจัดทำตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานประกอบการลงบัญชีและใบเสร็จการชำระภาษีเงินได้มาให้เจ้าพนักงานประเมินตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม2536 จนถึงวันที่ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ลงนามรับทราบผลการตรวจสอบเป็นเวลานานเกือบ 2 ปี เป็นการให้โอกาสแก่โจทก์ตามกำหนดเวลาอันสมควรแล้ว แต่โจทก์ส่งเอกสารมาเพียงบางส่วน มิได้สนใจค้นหาเอกสารดังกล่าวอย่างแท้จริง จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่นำบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามมาตรา 19 เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินภาษีในอัตราร้อยละ 5 ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ตามมาตรา 71 (1) แห่งป.รัษฎากร
เมื่อเจ้าพนักงานประเมินใช้อำนาจประเมินตามมาตรา 71(1) แห่ง ป.รัษฎากรโดยชอบแล้ว แม้ภายหลังโจทก์ยื่นอุทธรณ์และส่งเอกสารทางการบัญชีหลายเล่มมาประกอบการพิจารณาอุทธรณ์ก็ตาม ก็หาทำให้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินที่ชอบแล้วเสียไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7807/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีโดยอาศัยอำนาจมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อผู้เสียภาษีไม่ส่งเอกสารประกอบการลงบัญชี แม้มีการยื่นอุทธรณ์และส่งเอกสารภายหลัง
เจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกให้โจทก์นำบัญชีที่ต้องจัดทำตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีพร้อมด้วยเอกสารหลักฐานประกอบการลงบัญชีและใบเสร็จการชำระภาษีเงินได้มาให้เจ้าพนักงานประเมินตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2536จนถึงวันที่ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ลงนามรับทราบผลการตรวจสอบเป็นเวลานานเกือบ 2 ปี เป็น การให้โอกาสแก่โจทก์ตามกำหนดเวลาอันสมควรแล้วแต่โจทก์ส่งเอกสารมาเพียงบางส่วน มิได้สนใจค้นหา เอกสารดังกล่าวอย่างแท้จริง จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่นำบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามมาตรา 19 เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจประเมินภาษีในอัตราร้อยละ 5ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ตามมาตรา 71(1)แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อเจ้าพนักงานประเมินใช้อำนาจประเมินตามมาตรา 71(1) แห่งประมวลรัษฎากรโดยชอบแล้วแม้ภายหลังโจทก์ยื่นอุทธรณ์และส่งเอกสารทางการบัญชีหลายเล่มมาประกอบการพิจารณาอุทธรณ์ก็ตาม ก็หาทำให้การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินที่ชอบแล้วเสียไปไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7724/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาล: ศาลฎีกายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นใหม่เป็นว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดี ประเด็นที่กำหนดใหม่จึงไม่แตกต่างจากประเด็นเดิมและไม่ทำให้โจทก์ไม่ได้รับความเป็นธรรม ศาลชั้นต้นมีสิทธิกระทำได้ตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7724/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์และกรรมสิทธิ์ในที่ดิน: ศาลมีสิทธิปรับประเด็นข้อพิพาทได้หากไม่กระทบความเป็นธรรม
ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นใหม่เป็นว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าใครเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดี ประเด็นที่กำหนดใหม่จึงไม่แตกต่างจากประเด็นเดิมและไม่ทำให้โจทก์ไม่ได้รับความเป็นธรรม ศาลชั้นต้นมีสิทธิกระทำได้ตามกฎหมาย
of 17