พบผลลัพธ์ทั้งหมด 17 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2533 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: การรู้ถึงความเสียหายและผู้กระทำละเมิด
โจทก์รับจ้างบริษัทผู้ขายให้ขนส่งสินค้ามีน้ำหนัก 5,000เมตริกตัน จากท่าเรือกรุงเทพ ไปส่งให้ผู้ซื้อ ณ ประเทศสิงคโปร์ผู้ซื้อได้ว่าจ้างจำเลยเป็นผู้ตรวจสอบจำนวนและคุณภาพสินค้าโดยวิธีเปรียบเทียบน้ำหนักเรือก่อนและหลังบรรทุกสินค้าลงเรือกับระดับน้ำ ข้างเรือซึ่งเรียกว่าดร๊าฟ เซอร์เวย์ แล้วรายงานว่าสินค้ามีน้ำหนัก 4,976 เมตริกตัน ต่ำกว่าที่ซื้อขายไม่ถึง1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าใช้ได้ ปรากฏว่าเมื่อเรือไปถึงประเทศสิงคโปร์แล้ว สินค้าขาดหายไป 472 เมตริกตันข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อขนถ่ายสินค้าลงเรือเรียบร้อยแล้วเรือของโจทก์ก็ออกเดินทางตรงไปยังประเทศสิงคโปร์ ก่อนทำการขนถ่ายสินค้าออกจากเรือก็ไม่ปรากฏว่าซีล ปิดระวางสินค้ามีร่องรอยถูกเปิดมาก่อน ทั้งไม่ปรากฏว่าห้องระวางเก็บสินค้าในเรือมีความชำรุดเสียหายแสดงว่าสินค้าไม่มีการสูญหายระหว่างทาง โจทก์ย่อมต้องทราบได้ทันทีว่าการที่สินค้าขาดจำนวนจากน้ำหนักที่จำเลยแจ้งในรายงานการตรวจสอบสินค้านั้นเป็นเพราะจำเลยรายงานผิดพลาดถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดของจำเลยในช่วงเวลาดังกล่าวคือเดือนมิถุนายน 2525 แล้ว การที่โจทก์ว่าจ้างผู้อื่นตรวจสอบข้อผิดพลาดในภายหลังนั้นเป็นเพียงการตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานในคดีว่าจำเลยคำนวณผิดพลาดไปอย่างไรเท่านั้น การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2527 จึงพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: การรู้ถึงการละเมิดและผู้กระทำละเมิด
โจทก์รับจ้างบริษัทผู้ขายให้ขนส่งสินค้ามีน้ำหนัก 5,000เมตริกตัน จากท่าเรือกรุงเทพ ไปส่งให้ผู้ซื้อ ณ ประเทศสิงคโปร์ผู้ซื้อได้ว่าจ้างจำเลยเป็นผู้ตรวจสอบจำนวนและคุณภาพสินค้าโดยวิธีเปรียบเทียบน้ำหนักเรือก่อนและหลังบรรทุกสินค้าลงเรือกับระดับน้ำ ข้างเรือซึ่งเรียกว่าดร๊าฟ เซอร์เวย์ แล้วรายงานว่าสินค้ามีน้ำหนัก 4,976 เมตริกตัน ต่ำกว่าที่ซื้อขายไม่ถึง1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าใช้ได้ ปรากฏว่าเมื่อเรือไปถึงประเทศสิงคโปร์แล้ว สินค้าขาดหายไป 472 เมตริกตันข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อขนถ่ายสินค้าลงเรือเรียบร้อยแล้วเรือของโจทก์ก็ออกเดินทางตรงไปยังประเทศสิงคโปร์ ก่อนทำการขนถ่ายสินค้าออกจากเรือก็ไม่ปรากฏว่าซีล ปิดระวางสินค้ามีร่องรอยถูกเปิดมาก่อน ทั้งไม่ปรากฏว่าห้องระวางเก็บสินค้าในเรือมีความชำรุดเสียหายแสดงว่าสินค้าไม่มีการสูญหายระหว่างทาง โจทก์ย่อมต้องทราบได้ทันทีว่าการที่สินค้าขาดจำนวนจากน้ำหนักที่จำเลยแจ้งในรายงานการตรวจสอบสินค้านั้นเป็นเพราะจำเลยรายงานผิดพลาดถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดของจำเลยในช่วงเวลาดังกล่าวคือเดือนมิถุนายน 2525 แล้ว การที่โจทก์ว่าจ้างผู้อื่นตรวจสอบข้อผิดพลาดในภายหลังนั้นเป็นเพียงการตรวจสอบเพื่อหาหลักฐานในคดีว่าจำเลยคำนวณผิดพลาดไปอย่างไรเท่านั้น การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2527 จึงพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของทรัพย์สินและการละเมิดสิทธิ กรณีผู้เช่าทำสัญญาโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่ อ. ออกจากตึกแถวพิพาท โจทก์ชนะคดียื่นคำร้องต่อศาลว่าจำเลยเป็นบริวาร อ. ขอให้ออกหมายบังคับคดีให้จำเลยออกไปจากตึกแถวพิพาท จำเลยคัดค้านว่า จำเลยไม่ใช่บริวารของ อ. ศาลยังไม่มีคำสั่งชี้ขาดว่าจำเลยเป็นบริวารของ อ.หรือไม่ มิใช่เป็นการยื่นฟ้องคดีต่อศาล ดังนั้นการที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ โดยอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของตึกแถวพิพาทจึงไม่เป็นฟ้องซ้อน จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับ ป. สิทธิการเช่าระหว่างจำเลยกับ ป. เป็นเพียงบุคคลสิทธิ มีผลผูกพันระหว่างผู้ที่เป็นคู่สัญญาเท่านั้น ไม่มีผลผูกพันถึงโจทก์ผู้เป็นเจ้าของตึกแถวพิพาทซึ่งมิได้เกี่ยวข้องในการทำสัญญาด้วย การที่จำเลยอยู่ในตึกแถวพิพาทโดยโจทก์มิได้รู้เห็นตกลงยินยอมด้วย เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ขับไล่ได้ จำเลยอยู่ในตึกแถวพิพาทเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของตลอดเวลาที่จำเลยยังอยู่ในตึกแถวของโจทก์ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิดเริ่มต้นเมื่อประธานกรรมการนิติบุคคลทราบถึงการละเมิดและผู้กระทำผิด
โจทก์มีฐานะ เป็นนิติบุคคล มีนายอำเภอท้องที่ที่โจทก์ตั้ง อยู่เป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง มีหน้าที่ควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารกิจการของโจทก์ตามพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2495ประธานกรรมการโจทก์จึงเป็นผู้แทนโจทก์ตาม กฎหมาย อายุความละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก เริ่มนับตั้งแต่วันที่ประธานกรรมการโจทก์รู้ถึง การละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้อง ใช้ค่าสินไหมทดแทน มิใช่วันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิดนิติบุคคล: เริ่มนับเมื่อประธานกรรมการทราบการละเมิดและผู้กระทำละเมิด
โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีนายอำเภอท้องที่ที่โจทก์ตั้งอยู่เป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง มีหน้าที่ควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารกิจการของโจทก์ตามพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2495ประธานกรรมการโจทก์จึงเป็นผู้แทนโจทก์ตามกฎหมาย อายุความละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรกเริ่มนับตั้งแต่วันที่ประธานกรรมการโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน มิใช่วันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิด: จุดเริ่มต้นนับจากวันที่ประธานกรรมการ (ผู้แทนโจทก์) รู้ถึงการละเมิดและตัวผู้รับผิดชอบ
สุขาภิบาลโจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีนายอำเภอท้องที่เป็นประธานกรรมการมีหน้าที่ควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารกิจการของโจทก์ตาม พ.ร.บ. สุขาภิบาลประธานกรรมการโจทก์จึงเป็นผู้แทนของโจทก์ตามกฎหมาย ดังนี้ อายุความละเมิดตามป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคแรกเริ่มนับตั้งแต่วันที่ประธานกรรมการโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึง ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน มิใช่วันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3924/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิด: เริ่มนับจากวันที่ทราบการละเมิดและตัวผู้กระทำผิด แม้จะมีการตั้งกรรมการสอบสวนเพิ่มเติม
โจทก์ได้รู้ถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนว่าเป็นจำเลยทั้งเก้าแล้ว ตามรายงานของคณะกรรมการสอบสวนที่โจทก์ตั้งขึ้นชุดแรก ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2523 แม้คณะกรรมการดังกล่าวจะสรุปความเห็นว่ามีผู้ต้องรับผิดชอบเพียงสองคนคือจำเลยที่ 6 และที่ 8 ก็ตาม การที่โจทก์ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นสอบสวนในเรื่องเดิม คงเป็นเพียงวิธีการของโจทก์ เพื่อจะรู้ว่ายังมีใครอีกบ้างที่จะต้องรับผิดเท่านั้น หาใช่โจทก์ยังไม่รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ มิฉะนั้นอายุความหนึ่งปีที่กฎหมายกำหนดไว้ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอันเกิดแต่มูลละเมิดก็จะขยายออกไปได้เรื่อย ๆ แล้วแต่ความล่าช้าในการดำเนินการของโจทก์ ดังนั้นเมื่อนับจากวันที่ 30 เมษายน 2523 จนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ พ้นกำหนดเวลา 1 ปีแล้วฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรแรก