พบผลลัพธ์ทั้งหมด 266 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1335/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองสัญญาจะซื้อขายเมื่อจำเลยไม่ปฏิเสธ และการใช้เอกสารประกอบพิจารณาคดี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายรถยนต์กับโจทก์ปรากฎตามสำเนาสัญญาจะซื้อขายท้ายฟ้อง แล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือ จำเลยให้การต่อสุ้คดีแต่เพียงข้อเดียวว่าชำระแล้ว แต่มิได้ปฎิเสธสัญญา ประเด็นข้อพิพาทจึงมีเพียงว่าจำเลยชำระราคารถยนต์ส่วนที่เหลือให้โจทก์แล้วหรือไม่ส่วนสัญญาจะซื้อขายที่โจทก์อ้างเมื่อจำเลยไม่ปฎิเสธต้องถือว่าจำเลยรับ โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องนำสืบ และเมื่อถือว่าจำเลยรับสัญญาจะซื้อขายที่โจทก์อ้างแล้วรายละเอียดที่ปรากฏอยู่ในสำเนาสัญญาจะซื้อขายย่อมนำมาใช้ประกอบในการพิจารณาพิพากษาได้กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 760/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคล: เงื่อนไขลดเงินเพิ่มที่ไม่ชอบ และการประเมินซ้ำ
เมื่อโจทก์อ้างว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบและขอให้ศาลเพิกถอน โจทก์ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นการไม่ชอบตามที่กล่าวอ้าง สำเนาเอกสารที่จำเลยอ้างเป็นเพียงพยานหลักฐานประกอบกับพยานอื่น ทั้งเมื่อจำเลยอ้างส่งสำเนาเอกสารดังกล่าว โจทก์มิได้คัดค้านว่าต้นฉบับไม่มี หรือเอกสารปลอม หรือสำเนาไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารนั้นได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93 การกำหนดเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 22 เจ้าพนักงานประเมินต้องกำหนดเสียตั้งแต่เบื้องต้นที่ทำการประเมินภาษี การที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินครั้งแรกโดยกำหนดเงื่อนไขว่าสำหรับเงินเพิ่มพิจารณาลดให้คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเงินเพิ่มตามกฎหมาย หากอุทธรณ์การประเมินจะไม่ลดเงินเพิ่มให้และจะประเมินเพิ่มเติมต่อไป เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข เจ้าพนักงานประเมินจึงทำการประเมินในครั้งที่สองเพิ่ม โดยเรียกเงินเพิ่มเติมในส่วนที่ลดให้นั้นเป็นการอาศัยเงื่อนไขในอนาคตมากำหนดเงินเพิ่มเติมเพิ่มเติม ทั้งเป็นเงื่อนไขที่มิให้โจทก์ปฏิบัติตามสิทธิที่กฎหมายกำหนดไว้ การประเมินในกรณีที่สองนี้ไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 760/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีเพิ่มเติมที่ไม่ชอบเนื่องจากเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม
เมื่อโจทก์อ้างว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ชอบ และขอให้ศาลเพิกถอน โจทก์ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นการไม่ชอบตามที่กล่าวอ้าง
สำเนาเอกสารที่จำเลยอ้างเป็นเพียงพยานหลักฐานประกอบกับพยานอื่น ทั้งเมื่อจำเลยอ้างส่งสำเนาเอกสารดังกล่าว โจทก์ก็มิได้คัดค้านว่าต้นฉบับไม่มี หรือเอกสารปลอม หรือสำเนาไม่ถูกต้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 125 ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารนั้นได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93
การกำหนดเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 22 เจ้าพนักงานประเมินต้องกำหนดเสียตั้งแต่เบื้องต้นที่ทำการประเมินภาษี การที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินครั้งแรกโดยกำหนดเงื่อนไขว่า สำหรับเงินเพิ่มพิจารณาลดให้คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเงินเพิ่มตามกฎหมาย หากอุทธรณ์การประเมินจะไม่ลดเงินเพิ่มให้และจะประเมินเพิ่มเติมต่อไป เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข เจ้าพนักงานประเมินจึงทำการประเมินในครั้งที่สองเพิ่ม โดยเรียกเงินเพิ่มเพิ่มเติมในส่วนที่ลดให้นั้นเป็นการอาศัยเงื่อนไขในอนาคตมากำหนดเงินเพิ่มเพิ่มเติม ทั้งเป็นเงื่อนไขที่มิให้โจทก์ปฏิบัติตามสิทธิที่กฎหมายกำหนดไว้ การประเมินในกรณีที่สองนี้ไม่ชอบ
สำเนาเอกสารที่จำเลยอ้างเป็นเพียงพยานหลักฐานประกอบกับพยานอื่น ทั้งเมื่อจำเลยอ้างส่งสำเนาเอกสารดังกล่าว โจทก์ก็มิได้คัดค้านว่าต้นฉบับไม่มี หรือเอกสารปลอม หรือสำเนาไม่ถูกต้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 125 ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารนั้นได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 93
การกำหนดเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 22 เจ้าพนักงานประเมินต้องกำหนดเสียตั้งแต่เบื้องต้นที่ทำการประเมินภาษี การที่เจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินครั้งแรกโดยกำหนดเงื่อนไขว่า สำหรับเงินเพิ่มพิจารณาลดให้คงเรียกเก็บเพียงร้อยละ 50 ของเงินเพิ่มตามกฎหมาย หากอุทธรณ์การประเมินจะไม่ลดเงินเพิ่มให้และจะประเมินเพิ่มเติมต่อไป เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข เจ้าพนักงานประเมินจึงทำการประเมินในครั้งที่สองเพิ่ม โดยเรียกเงินเพิ่มเพิ่มเติมในส่วนที่ลดให้นั้นเป็นการอาศัยเงื่อนไขในอนาคตมากำหนดเงินเพิ่มเพิ่มเติม ทั้งเป็นเงื่อนไขที่มิให้โจทก์ปฏิบัติตามสิทธิที่กฎหมายกำหนดไว้ การประเมินในกรณีที่สองนี้ไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5594/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความ: การข่มขู่ต้องร้ายแรงถึงขนาดจูงใจให้ทำสัญญา หากเป็นการใช้สิทธิโดยชอบธรรม สัญญาไม่ตกเป็นโมฆียะ
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการร้านค้าของโจทก์ เมื่อโจทก์ตรวจพบว่าสินค้าและเงินในความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 สูญหายไป และจำเลยที่ 1 ไม่ยอมรับผิดชอบ โจทก์ข่มขู่ว่าจะจับกุมดำเนินคดีอาญากับจำเลยที่ 1 ในข้อหายักยอก จำเลยที่ 1 จึงยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ ดังนี้เป็นสิทธิอันชอบธรรมของโจทก์ที่พึงใช้สิทธิของตนตามปกตินิยม กรณีหาใช่เป็นการข่มขู่อันจะทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะไม่ สัญญาประนีประนอมยอมความจึงมีผลใช้บังคับได้ คู่ฉบับเอกสาร ถือว่าเป็นต้นฉบับเอกสารด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4881/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุพยานเพิ่มเติมในคดีล้มละลาย: ศาลมีอำนาจรับฟังได้หากเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม แต่ต้องเป็นไปตามกระบวนการ
จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมเพื่อจะนำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างคำพยานโจทก์และให้เห็นว่าตนมีทรัพย์สินซึ่งมีราคาพอชำระหนี้ได้ทั้งหมด หรือไม่ควรตกเป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งเป็นประเด็นข้อสำคัญในคดี และพยานหลักฐานดังกล่าวก็เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานดังกล่าว ก็มีอำนาจที่จะรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ซึ่งในชั้นนี้และในกรณีนี้หมายถึงมีอำนาจอนุญาตให้ระบุพยานเพิ่มเติม และทำการสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้เอง ส่วนการสืบพยานที่จะกระทำต่อไปนั้น คู่ความยังคงต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกระบวนพิจารณาที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 หรือมาตรา 89 เป็นต้นแล้วแต่กรณี วิธีการนำสืบพยานหลักฐานในคดีล้มละลายนั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำบทบัญญัติแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลมตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 การที่มาตรา 14 แห่ง พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483บัญญัติไว้ว่าในการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของเจ้าหนี้ ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10 นั้น มิได้หมายความว่าศาลจำต้องรับฟังพยานหลักฐานที่นำสืบโดยวิธีที่มิชอบด้วยกฎหมาย เอกสารแสดงการตีราคาทรัพย์สินที่บริษัทเอกชนทำขึ้นซึ่งจำเลยนำมาเป็นพยานหลักฐานด้วยการถ่ายสำเนามาโดยไม่มีต้นฉบับมาแสดงและโจทก์จำเลยมิได้ตกลงกันว่าสำเนาเอกสารฉบับดังกล่าวถูกต้องแล้ว ทั้งมิใช่เป็นกรณีที่ศาลอนุญาตให้นำสำเนามาสืบเนื่องจากต้นฉบับหาไม่ได้เพราะสูญหายหรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัยหรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่นและมิใช่สำเนาเอกสารที่อยู่ในความอารักขาของทางราชการที่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องรับรองตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 แต่อย่างใดยิ่งกว่านั้นการนำสืบเอกสารดังกล่าวของจำเลยเป็นการนำสืบเพื่อหักล้างคำพยานโจทก์ที่นำสืบถึงพฤติการณ์ของจำเลยที่กฎหมายสันนิษฐานว่า มีหนี้สินล้นพ้นตัว แต่ในเวลาที่พยานโจทก์เบิกความ จำเลยหาได้นำเอกสารดังกล่าวมาถามค้านเพื่อให้พยานโจทก์มีโอกาสอธิบายข้อความในเอกสารดังที่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 กำหนดไว้ไม่ เอกสารดังกล่าวจึงเข้าสู่การพิจารณาของศาลโดยมิชอบด้วยกระบวนพิจารณาตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย เมื่อโจทก์ได้คัดค้านแล้วดังนั้น เอกสารและคำพยานที่เกี่ยวกับเอกสารดังกล่าว จึงเป็นเอกสารและคำพยานที่ต้องห้าม จะรับฟังหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4562/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันและการรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย
การที่ ศ. ทำสัญญาค้ำประกันไว้กับเจ้าหนี้ซึ่งนอกจากจะมีข้อความระบุว่าเป็นการค้ำประกันหนี้เงินกู้ที่ลูกหนี้ที่ 1กู้ยืมเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้ยืมและบันทึกข้อความต่อท้ายสัญญากู้ยืมแล้ว ตอนท้ายของสัญญาค้ำประกันดังกล่าวยังระบุด้วยว่าผู้ค้ำประกันสมัครใจค้ำประกันหนี้สินอื่น ๆ ทุกชนิด และทุกประเภทของผู้กู้ ทั้งที่มีอยู่แล้วหรือจะมีขึ้นในภายหน้าอันพึงมีต่อผู้ให้กู้ และ/หรือในนิติกรรมสัญญาใด ๆ ที่ผู้กู้ได้ทำไว้กับผู้ให้กู้ทั้งหมดจนกว่าผู้ให้กู้จะได้รับชำระหนี้ถูกต้องครบถ้วนด้วยดังนั้น เมื่อลูกหนี้ที่ 1 ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้อันดับที่ 2และอันดับที่ 3 ไว้ต่อเจ้าหนี้ย่อมต้องถือว่า ศ. ตกลงเข้าค้ำประกันหนี้ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวด้วย เมื่อ ศ. นำเงินไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้โดยมิได้ระบุว่าชำระหนี้รายใด การที่เจ้าหนี้นำไปจัดสรรชำระดอกเบี้ยของหนี้ทั้งสามอันดับตามส่วน ย่อยชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328และมาตรา 329 แล้ว การที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้อันดับที่ 3 โดยอ้างส่งแต่เฉพาะสำเนาเอกสารเกี่ยวกับหนี้ดังกล่าวเป็นพยาน แต่ไม่นำส่งต้นฉบับให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้หมายนัดให้เจ้าหนี้ทราบโดยชอบ ทั้งไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ จึงต้องห้ามมิให้รับฟังสำเนาเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 ประกอบพระราชบัญญัติ ล้มละลาย มาตรา 153
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3947/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานสัญญาประกันภัย: สำเนาใบอนุญาตขับขี่ และภาระการพิสูจน์ของผู้รับประกันภัย
ต้นฉบับใบอนุญาตขับรถยนต์ของ น. ซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุอยู่ในความครอบครองของ น. ซึ่งหลบหนีคดีอาญา โจทก์ที่ 1 จึงอยู่ในฐานะที่ไม่อาจจะนำต้นฉบับใบอนุญาตขับรถยนต์นั้นมาเป็นพยานเอกสารได้ จึงเป็นกรณีเข้าข้อยกเว้นที่ว่าไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่นศาลจึงรับฟังสำเนาหรือภาพถ่ายเอกสารนั้นได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) จำเลยให้การรับว่าได้รับประกันภัยรถยนต์ของโจทก์ที่ 1ไว้จริงแต่จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันเพราะผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถยนต์ได้ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยข้ออ้างดังกล่าวจำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างขึ้นในคำให้การจึงมีหน้าที่นำสืบในข้อนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3628/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบความสัมพันธ์ตัวการ-ตัวแทน การรับฟังพยานนอกคำให้การ และการรับฟังเอกสารที่ไม่ติดอากรแสตมป์
การนำสืบถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวการกับตัวแทน เพื่อให้ทราบถึงความจริงเกี่ยวกับการทำสัญญาเป็นมาอย่างไร ไม่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) ภาพถ่ายหนังสือมอบอำนาจเป็นสำเนาเอกสารไม่ใช่คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสาร ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร และไม่ต้องห้ามในการที่ศาลจะรับฟังเอกสารนั้นเป็นพยาน คำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าเกิน 6 เดือนและไม่ชำระภาษีโรงเรือนตามเงื่อนไขในสัญญาเช่า จำเลยให้การว่าที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยไม่ชำระค่าภาษีโรงเรือนและค่าเช่าจำเลยขอปฏิเสธว่าไม่เคยผิดเงื่อนไขในสัญญาเช่า รายละเอียดจะได้เสนอศาลในชั้นพิจารณาต่อไป คำให้การของจำเลยจึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดปฏิเสธว่าจำเลยไม่ผิดสัญญาตามฟ้อง คดีมีประเด็นว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าหรือไม่ จำเลยมีสิทธินำพยานเข้าสืบตามประเด็นดังกล่าวได้ ไม่เป็นการนำสืบนอกคำให้การ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3188/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังสำเนาเอกสารแทนต้นฉบับที่สูญหาย และข้อยกเว้นการปิดอากรแสตมป์
การที่ต้นฉบับสัญญาค้ำประกันสูญหายเพราะถูกจำเลยที่ 1 ลักไปเป็นเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถส่งต้นฉบับเอกสารเป็นพยานหลักฐานได้ศาลอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) การรับฟังสำเนาเอกสารเป็นพยานหลักฐานแทนต้นฉบับเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) หาใช่เป็นการรับฟังต้นฉบับเอกสารเป็นพยานหลักฐานอันจะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรแต่อย่างใดไม่ ทั้งสำเนาเอกสารก็มิใช่ต้นฉบับหรือคู่ฉบับหรือคู่ฉีก ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2863/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีต้องอาศัยหลักฐานที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ การประเมินจากเอกสารที่ไม่พิสูจน์ได้ว่าถูกต้องไม่ชอบ
โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างหลักฐานการส่งออกสินค้ารายพิพาทของร้าน ช. ภาระการพิสูจน์ถึงความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าวย่อมตกแก่โจทก์ เมื่อเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงภาพถ่ายเอกสารที่ศุลกากรเมืองฮ่องกง ผู้เป็นเจ้าของเอกสารมิได้รับรองความถูกต้องและพยานโจทก์ผู้ไปติดต่อขอมาเคยเบิกความในคดีอาญาเป็นทำนองว่าไม่ได้เห็นต้นฉบับย่อมไม่เพียงพอให้รับฟังว่าเอกสารดังกล่าวเป็นภาพถ่ายเอกสารที่ถ่ายจากหลักฐานการส่งออกสินค้ารายพิพาทที่ร้านช.ยื่นต่อศุลกากรเมืองฮ่องกงที่แท้จริง การประเมินให้จำเลยที่ 1 ชำระภาษีเพิ่มสืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ได้รับภาพถ่ายเอกสารหลักฐานการส่งออกสินค้ารายพิพาทเพียงประการเดียว แล้วประเมินโดยถือว่าราคาซื้อขายตามที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าวเป็นราคาซื้อขายที่แท้จริง มิได้ทำการประเมินโดยเปรียบเทียบราคาสินค้าในท้องตลาดหรือราคาที่ผู้อื่นนำเข้าในเวลาใกล้เคียงกัน หรือราคากลางของกองวิเคราะห์ราคาที่ถือเป็นเกณฑ์ในการประเมินตามปกติ แต่เมื่อภาพถ่ายเอกสารดังกล่าวยังรับฟังไม่ได้ว่าเป็นภาพถ่ายเอกสารที่ถูกต้องแท้จริง จะถือว่าราคาที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าวเป็นราคาซื้อขายสินค้ารายพิพาทที่แท้จริงย่อมมิได้ ทั้งปรากฏว่าราคาสินค้ารายพิพาทที่จำเลยที่ 1 ชำระให้แก่ผู้ขายตามใบกำกับสินค้าและเอกสารควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรงตามราคาที่จำเลยที่ 1 สำแดงเพื่อเสียภาษี การประเมินให้จำเลยที่ 1ชำระภาษีเพิ่มเติมของโจทก์ที่ 1 จึงไม่ชอบ