พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,286 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8012/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิยามคำว่า 'ขาย' ใน พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ฯ การมีไว้เพื่อขายถือเป็นความผิดฐานขายแล้ว
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ มาตรา 4นิยามคำว่า "ขาย" ให้หมายความรวมถึง จำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยนส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย ดังนี้ เมื่อจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายและพยายามขายเมทแอมเฟตามีนของกลางในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกัน การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดกรรมเดียวฐานขายเมทแอมเฟตามีนตามคำนิยามของบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวแล้วเท่านั้น เพราะการมีไว้เพื่อขายก็เป็นการขายแล้ว มิใช่มีความผิดฐานพยายามขายเมทแอมเฟตามีนของกลางอีก ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7921/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท: การครอบครองไม้แปรรูปต่างชนิดกัน แต่เป็นไม้หวงห้ามประเภทเดียวกัน
แม้โจทก์บรรยายแยกฟ้องว่าจำเลยครอบครองไม้สักแปรรูปจำนวนหนึ่งออกต่างหากจากการครอบครองไม้ชิงชันแปรรูปและไม้มะค่าโมงแปรรูปอีกจำนวนหนึ่งเป็นคนละข้อก็ตาม แต่ไม้ดังกล่าวก็เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติกำหนดไม้หวงห้ามฯ ด้วยกัน ทั้งตามคำบรรยายฟ้องที่ระบุการกระทำผิดของจำเลยก็เป็นกรณีที่จำเลยครอบครองไม้ทั้งสามชนิดนั้นในคราวเดียวกัน เป็นแต่การครอบครองไม้แปรรูปทั้งสามชนิดนั้นกฎหมายกำหนดอัตราโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 73 แตกต่างกันเท่านั้น การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันเป็นเหตุในลักษณะคดีอันเกี่ยวกับการปรับบทลงโทษจำเลย แม้จำเลยอื่นจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 และ 22
การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันเป็นเหตุในลักษณะคดีอันเกี่ยวกับการปรับบทลงโทษจำเลย แม้จำเลยอื่นจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 และ 22
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7851/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยป้องกันตัวจากการถูกทำร้ายด้วยอาวุธร้ายแรง ศาลยกฟ้องข้อหาฆ่าผู้อื่นและอาวุธปืน เนื่องจากอายุความขาด และพฤติการณ์เข้าข่ายป้องกันโดยชอบ
ผู้ตายวิ่งเข้ามาชกจำเลยพร้อมทั้งพูดด้วยว่าจะฆ่าให้ตาย จำเลยถูกชกจนล้มลงผู้ตายคว้าเหล็กขูดชาฟท์ปลายแหลมยาวประมาณ 1 คืบเข้ามาแทงจำเลย จำเลยใช้มือรับจนมีบาดแผลที่ฝ่ามือ จำเลยลุกขึ้นวิ่งหนี ผู้ตายวิ่งตามจำเลยและแทงถูกจำเลยที่ต้นแขนขวาและพยายามจะแทงจำเลยอีกจำเลยจึงชักอาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด โดยมิได้เลือกว่าจะยิงที่ใดและจะถูกผู้ตายหรือไม่ แล้วจำเลยได้หลบหนีไป การที่ผู้ตายใช้เหล็กขูดชาฟท์ปลายแหลมซึ่งสามารถทำอันตรายผู้อื่นถึงแก่ชีวิตได้ เป็นอาวุธไล่แทงจำเลย จนกระทั่งจำเลยอยู่ในที่คับขันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพียง1 นัดเพื่อให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย อันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุอันถือได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68
ความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคหนึ่ง และมาตรา 72 ทวิ วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 มีกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี จำคุกไม่เกินห้าปี และโทษปรับไม่เกิน 100 บาทตามลำดับ ความผิดดังกล่าวจึงมีอายุความสิบห้าปี สิบปี และหนึ่งปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95(2)(3)(5) โจทก์นำคดีมาฟ้องนับแต่วันกระทำความผิดถึงวันฟ้องเกินกว่าสิบห้าปีแล้ว จึงเป็นอันขาดอายุความ สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมาจึงเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 แม้ความผิดดังกล่าวจะยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 แล้วก็ตาม แต่ปัญหาเรื่องอายุความเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
ความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคหนึ่ง และมาตรา 72 ทวิ วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 มีกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี จำคุกไม่เกินห้าปี และโทษปรับไม่เกิน 100 บาทตามลำดับ ความผิดดังกล่าวจึงมีอายุความสิบห้าปี สิบปี และหนึ่งปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95(2)(3)(5) โจทก์นำคดีมาฟ้องนับแต่วันกระทำความผิดถึงวันฟ้องเกินกว่าสิบห้าปีแล้ว จึงเป็นอันขาดอายุความ สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(6) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมาจึงเป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 แม้ความผิดดังกล่าวจะยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 แล้วก็ตาม แต่ปัญหาเรื่องอายุความเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7847/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และความผิดฐานพาอาวุธ ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษา
การที่จำเลยกับผู้ตายมีสาเหตุขัดเคืองกันมาก่อนก่อนเกิดเหตุ ถือไม่ได้เสมอไปว่าจะเป็นเหตุให้จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและไม่ปรากฏตามทางนำสืบของโจทก์ว่า หลังจากที่จำเลยและผู้ตายมีเรื่องขัดเคืองกันในครั้งก่อน แล้วจำเลยมีความอาฆาตคอยติดตามที่จะทำร้ายผู้ตายอีก ทั้งบ้านจำเลยและบ้านผู้ตายก็มิได้อยู่จังหวัดเดียวกัน ผู้ตายเพิ่งมาบ้านที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านพ่อตาแม่ยายและอยู่ใกล้กับบ้านจำเลยในวันเกิดเหตุนั้นเอง การที่จำเลยฆ่าผู้ตายมิได้เป็นการซุ่มยิง แต่เป็นการใช้อาวุธปืนยิงจากข้างล่าง 1 นัด แล้วเดินตามขึ้นไปยิงผู้ตายบนบ้านที่เกิดเหตุอีก 1 นัด และยังใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายผู้ตายต่อหน้าญาติจำเลยและญาติผู้ตายอีกหลายคน ผิดวิสัยที่จะเป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ความคิดของจำเลยที่จะฆ่าผู้ตายเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อเห็นผู้ตายที่บ้านที่เกิดเหตุโดยจำเลยมิได้มีการตระเตรียมการหรือมีการวางแผนมาก่อน จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 288 เท่านั้น
ความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นความผิดต่างกรรมกัน แต่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90 จึงไม่ถูกต้อง แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาจึงแก้ไขให้ถูกต้องโดยไม่เพิ่มเติมโทษจำเลย
ความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นความผิดต่างกรรมกัน แต่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90 จึงไม่ถูกต้อง แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาจึงแก้ไขให้ถูกต้องโดยไม่เพิ่มเติมโทษจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7806/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุจำเลยแถลงข้อเท็จจริงปฏิเสธความผิด ไม่ได้คัดค้านดุลพินิจศาลอุทธรณ์
แม้ฎีกาของจำเลยที่ 2 จะได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 2 ได้ไปติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยที่ 1 และพวกตลอดทั้งพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 และหลอกลวงให้ทำบันทึกคำรับสารภาพไว้ โดยละเอียดก็ตาม แต่ฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการแถลงข้อเท็จจริงปฏิเสธความผิดของตนโดยมิได้ยกเหตุขึ้นคัดค้านหรือกล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายในข้อใดอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และมาตรา 216
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7711/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพนันทายผลฟุตบอล แม้ไม่เข้าข่ายสลากกินแบ่ง แต่ยังคงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน มาตรา 4 ทวิ
การเล่นที่เสี่ยงโชคให้เงินแก่ผู้เล่นคนใดคนหนึ่งตามบัญชี ข. อันดับที่ 16 ตามพระราชบัญญัติการพนันฯ ต้องมีลักษณะคล้ายกับการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากกินรวบด้วย แต่การพนันทายฟุตบอลไม่มีลักษณะคล้ายกับการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากกินรวบ ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง อย่างไรก็ตามการพนันทายฟุตบอลเป็นการเล่นอื่นใดนอกจากที่กล่าวในมาตรา 4 จะพนันกันหรือจะจัดให้มีเพื่อให้พนันกันได้เฉพาะการเล่นที่ระบุชื่อและเงื่อนไขไว้ในกฎกระทรวง ซึ่งมาตรา 4 ทวิ วรรคสอง ให้ความหมายคำว่า "การเล่น" หมายความรวมตลอดถึงการทายและการทำนายด้วย การเล่นพนันดังกล่าวต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงาน เมื่อจำเลยเล่นการพนันทายผลฟุตบอลโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 4 ทวิ กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7571/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมและใช้เอกสารปลอมเพื่อขอประกันภัย ศาลแก้ไขจำนวนกระทงความผิดและปรับบทลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องความว่าจำเลยทำขึ้นซึ่งเอกสารปลอม โดยปลอมลายมือชื่อของผู้ขอเอาประกันภัยรวม 6 คน และกรอกข้อความอันเป็นเท็จลงในแบบพิมพ์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลของโจทก์ร่วมรวม 6 ฉบับเพื่อให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงที่ผู้ขอเอาประกันภัยทั้งหกคนดังกล่าวทำขึ้น เพื่อขอประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลกับโจทก์ร่วมแล้วจำเลยใช้เอกสารปลอมที่ทำขึ้นรวม 6 ฉบับดังกล่าวยื่นต่อโจทก์ร่วมเพื่อขอเอาประกันภัย เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อ จึงได้ออกกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้มีรายชื่อขอเอาประกันภัยทั้งหกคนนั้น เมื่อจำเลยเป็นผู้ปลอมเอกสารทั้งหกฉบับและใช้เอกสารปลอมทั้งหกฉบับซึ่งแต่ละฉบับมีชื่อผู้ขอเอาประกันภัยแต่ละคนอ้างต่อโจทก์ร่วมเอง แม้ปรากฏว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่จำเลยใช้เอกสารปลอมดังกล่าวจำนวน 2 ฉบับ ในวันเดียวกันก็ตาม ต้องถือว่าจำเลยใช้เอกสารปลอมรวม 6 กระทง ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยฐานใช้เอกสารปลอมมาเพียง 5 กระทงจึงเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องโดยไม่แก้โทษที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามา เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7567/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีอาญาที่มีจำเลยเป็นชาวต่างด้าว จำเป็นต้องมีล่ามสาบานตนและลงลายมือชื่อในคำแปลตามกฎหมาย
ตามคำให้การจำเลย คำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลย ตลอดจนรายงานกระบวนพิจารณาของ ศาลชั้นต้น ไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้บันทึกไว้ ณ ที่ใดเลยว่า ร. ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นล่ามได้สาบานตนหรือปฏิญาณตนว่าจะแปลถ้อยคำของจำเลยให้ถูกต้องและทำหน้าที่โดยสุจริตใจ ไม่เพิ่มเติมหรือตัดทอนสิ่งที่แปลและก็มิได้ลงลายมือชื่อในคำแปลนั้นเลย การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงเป็นการฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.อ. มาตรา 13 วรรคสอง ชอบที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7531/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่ายกับการจำหน่ายเป็นความผิดต่างกรรมกัน
การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกับการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนมีลักษณะของการกระทำแตกต่างกันเป็นการกระทำต่างขั้นตอนกันสามารถแยกการกระทำแต่ละอย่างต่างหากจากกันได้ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 1 ก็มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกระทงหนึ่งแล้วครั้นจำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวที่มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไปบางส่วนให้แก่ผู้มีชื่อ จำเลยที่ 1มีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอีกกระทงหนึ่ง
ปัญหาว่าการที่จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน303 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายไป 3 เม็ดเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน หรือการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้จำเลยที่ 1 มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในชั้นอุทธรณ์แต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยที่ 1 จึงยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
ปัญหาว่าการที่จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวน303 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายไป 3 เม็ดเป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน หรือการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้จำเลยที่ 1 มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในชั้นอุทธรณ์แต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยที่ 1 จึงยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7372/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้าม ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยมิชอบ ศาลฎีกายกคำพิพากษา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลย จำเลยฎีกา เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ย่อมต้องห้ามมิให้โจทก์อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์ทุกข้อเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามการที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์มาบางข้อและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ลงโทษจำคุกจำเลย ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่จำเลยที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เนื่องจากเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15และปัญหาว่าศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการชอบหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาชอบที่จะยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และยกฎีกาของจำเลยโดยให้ยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น