พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,286 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5730/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอรับฟังความผิด จำเลยได้รับการยกฟ้องทั้งข้อหาพยายามฆ่าและพกพาอาวุธ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นฐานพยายามฆ่าผู้อื่นกระทงหนึ่งฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตกระทงหนึ่งแม้ข้อหาฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นจะต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแต่เมื่อจำเลยฎีกาเกี่ยวกับความผิดข้อหาดังกล่าวขึ้นมาและศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักบานของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่พอรับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้วศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะยกฟ้องในความผิดฐานนี้ได้ด้วยทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา185ประกอบมาตรา215และ225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5730/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลฎีกายกฟ้องแม้มีข้อจำกัดในการฎีกาข้อเท็จจริง หากพยานหลักฐานไม่พอรับฟัง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นฐานพยายามฆ่าผู้อื่นกระทงหนึ่ง ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตกระทงหนึ่งแม้ข้อหาฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นจะต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อจำเลยฎีกาเกี่ยวกับความผิดข้อหาดังกล่าวขึ้นมา และศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่พอรับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้ว ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะยกฟ้องในความผิดฐานนี้ได้ด้วย ทั้งนี้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215และ 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5715/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่มีทนายแก้ต่างและข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีอาญา
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ทนายจำเลยที่ 1 ที่ศาลตั้งให้ ได้เสียชีวิตลงก่อนสืบพยานจำเลย และศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งทนายให้จำเลยที่ 1 อีกเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ไม่มีทนายแก้ต่างจนศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานจำเลยที่ 1 นั้น ในปัญหาข้อนี้แม้จะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตามแต่ก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ซึ่งจำเลยที่ 1 หรือศาลยกขึ้นอ้างได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรรับวินิจฉัยให้
ในวันสืบพยานจำเลย จำเลยที่ 1 ได้แต่งให้ ก.ซึ่งเป็นทนายของจำเลยที่ 2 เป็นทนายของจำเลยที่ 1 ด้วยแล้ว ศาลชั้นต้นจึงไม่ต้องตั้งทนายให้จำเลยที่ 1 อีก และตามรายงานกระบวนพิจารณาก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 แถลงไม่ติดใจสืบพยานเอง มิใช่ศาลสั่งตัดพยานจำเลยที่ 1 กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ได้เคยยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์จริง แต่ไม่ได้เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะผู้ตายตกน้ำและถึงแก่ความตายเอง ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่ได้ฆ่าผู้ตาย แต่จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์พ้นกำหนดเวลาและศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยที่ 1 คำสั่งศาลชั้นต้นเป็นที่สุดแล้ว ส่วนโจทก์อุทธรณ์ขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 339 วรรคท้ายลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ.มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) คงจำคุกตลอดชีวิตข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ที่จำเลยที่ 1ยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาว่าจำเลยที่ 1 มิได้กระทำความผิดนี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้
ในวันสืบพยานจำเลย จำเลยที่ 1 ได้แต่งให้ ก.ซึ่งเป็นทนายของจำเลยที่ 2 เป็นทนายของจำเลยที่ 1 ด้วยแล้ว ศาลชั้นต้นจึงไม่ต้องตั้งทนายให้จำเลยที่ 1 อีก และตามรายงานกระบวนพิจารณาก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 แถลงไม่ติดใจสืบพยานเอง มิใช่ศาลสั่งตัดพยานจำเลยที่ 1 กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ได้เคยยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์จริง แต่ไม่ได้เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะผู้ตายตกน้ำและถึงแก่ความตายเอง ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่ได้ฆ่าผู้ตาย แต่จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์พ้นกำหนดเวลาและศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยที่ 1 คำสั่งศาลชั้นต้นเป็นที่สุดแล้ว ส่วนโจทก์อุทธรณ์ขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 339 วรรคท้ายลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ.มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) คงจำคุกตลอดชีวิตข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ที่จำเลยที่ 1ยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาว่าจำเลยที่ 1 มิได้กระทำความผิดนี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5715/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยฎีกาเรื่องทนายจำเลยเสียชีวิตและประเด็นการอุทธรณ์ที่ไม่ได้รับคำรับรอง
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ทนายจำเลยที่ 1 ที่ศาลตั้งให้ได้เสียชีวิตลงก่อนสืบพยานจำเลย และศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งทนายให้จำเลยที่ 1 อีกเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ไม่มีทนายแก้ต่างจนศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานจำเลยที่ 1 นั้น ในปัญหาข้อนี้แม้จะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตามแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ซึ่งจำเลยที่ 1 หรือศาลยกขึ้นอ้างได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรรับวินิจฉัยให้ ในวันสืบพยานจำเลย จำเลยที่ 1 ได้แต่งให้ ก.ซึ่งเป็นทนายของจำเลยที่ 2 เป็นทนายของจำเลยที่ 1 ด้วยแล้วศาลชั้นต้นจึงไม่ต้องตั้งทนายให้จำเลยที่ 1 อีก และตามรายงานกระบวนพิจารณาก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 แถลงไม่ติดใจสืบพยานเอง มิใช่ศาลสั่งตัดพยานจำเลยที่ 1 กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 ได้เคยยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ จริง แต่ไม่ได้เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะผู้ตายตกน้ำและถึงแก่ความตายเอง ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่ได้ฆ่าผู้ตาย แต่จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์พ้นกำหนดเวลาและศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยที่ 1 คำสั่งศาลชั้นต้นเป็นที่สุดแล้ว ส่วนโจทก์อุทธรณ์ขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคท้าย ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(2) คงจำคุกตลอดชีวิต ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาว่าจำเลยที่ 1 มิได้กระทำความผิดนี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5665/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการพิพากษาคดีฉ้อโกง แม้ฟ้องฐานลักทรัพย์ และขอบเขตอำนาจเหนือจำเลยที่ไม่ฎีกา
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยฐานร่วมกันฉ้อโกงได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192วรรคสามและวรรคห้า และเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยซึ่งมิได้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5665/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เปลี่ยนแปลงข้อหาจากลักทรัพย์เป็นฉ้อโกง: ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาคดีถึงจำเลยที่ไม่ฎีกา
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยฐานร่วมกันฉ้อโกงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสามและวรรคห้าและเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยซึ่งมิได้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา213ประกอบด้วยมาตรา225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5129/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ริบของกลางแม้โจทก์ไม่เคยอุทธรณ์ และการลงโทษปรับแทนจำคุก
ฟ้องของโจทก์มีคำขอให้ริบของกลางด้วยแต่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา186(9)แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเสียให้ถูกต้องโดยให้ริบของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5129/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่วินิจฉัยเรื่องริบของกลาง ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขได้ แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์
ฟ้องของโจทก์มีคำขอให้ริบของกลางด้วย แต่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องนี้ จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 186 (9) แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเสียให้ถูกต้องโดยให้ริบของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5106/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการพิจารณาคดีแพ่งอาญาและการแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกให้นั้น เป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219
การที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญา ไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้ แต่ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 42 และ 46 มุ่งหมายที่จะให้ศาลที่พิจารณาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลคดีส่วนอาญาก่อนแล้วจึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีส่วนอาญา ฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีส่วนแพ่งจึงชอบแล้ว
ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญา ไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้ แต่ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 42 และ 46 มุ่งหมายที่จะให้ศาลที่พิจารณาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลคดีส่วนอาญาก่อนแล้วจึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีส่วนอาญา ฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีส่วนอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีส่วนแพ่งจึงชอบแล้ว
ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ ไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5106/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับการพิจารณาคดีแพ่งและอาญา และการโต้แย้งข้อเท็จจริงในฎีกา
ศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกให้นั้นเป็นการแก้ไขมากและเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219 การที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีส่วนแพ่งก่อนแล้วจึงพิจารณาพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่มีกฎหมายบัญญัติบังคับไว้แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา42และ46มุ่งหมายที่จะให้ศาลมีพิจารณาคดีส่วนแพ่งรอฟังผลคดีส่วนอาญาก่อนแล้วจึงพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในคดีส่วนอาญาฉะนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาส่วนอาญาก่อนโดยไม่ฟังผลในคดีส่วนแพ่งจึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีใหม่ไม่ปรากฎว่าจำเลยโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค2ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย