พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,286 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5813/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ข้อเท็จจริงการจำหน่ายยาเสพติด: จำเลยต้องมีความผิดฐานครอบครองเพื่อจำหน่ายจริง จึงจะถือว่ามีการจำหน่าย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 จากนั้นได้บรรยายความผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวนเดียวกันนั้นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ทำให้เข้าใจได้ว่าความผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 เกิดเพราะมีการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 แล้ว แต่ในทางนำสืบของโจทก์ยังไม่พอที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 และศาลชั้นต้นเพียงพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ยกฟ้องข้อหาอื่น ซึ่งมีความหมายว่า ยกฟ้องข้อหาจำหน่าย เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ในข้อหานี้ และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ย่อมฟังเป็นยุติ แสดงว่ายังไม่อาจรับฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่จำเลยอื่นแล้วตามฟ้องโจทก์ การครอบครองเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจึงยังอยู่กับจำเลยที่ 1 จำเลยอื่นจึงไม่อาจมีความผิดตามฟ้องโจทก์ และข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีจึงมีผลถึงจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 ผู้มิได้ฎีกาด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5744/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงประชาชนด้วยการหลอกลวงทางศาสนา ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสามครบองค์ประกอบความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ แม้ปัญหานี้มิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยย่อมยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5601/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำขอในความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้
โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ เท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 371 ด้วยเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกาปรับบทกฎหมายที่ลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5342/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาททั้งสองฝ่ายในคดีขับรถชน ผู้ตายมีส่วนผิด ไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์
ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามฟ้องโจทก์ว่า เหตุที่รถทั้งสองเกิดเฉี่ยวชนกันทำให้รถยนต์ทั้งสองคันเสียหายและผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยสำหรับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 291 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) และไม่มีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตาม มาตรา 30 ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ศ. บุตรผู้ตายเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5288/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งมอบยาเสพติดระหว่างผู้กระทำผิดร่วมกันไม่ถือเป็นการจำหน่าย แต่มีเจตนาครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นความผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามฟ้องจึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองเป็นตัวการร่วมกระทำความผิด แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 นำเมทแอมเฟตามีนไปส่งมอบให้จำเลยที่ 1 จึงเป็นการส่งมอบเมทแอมเฟตามีนระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกันเองซึ่งไม่ถือว่าเป็นการจำหน่าย ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฯ มาตรา 4 เพราะการจำหน่ายหมายถึงการจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกที่มิใช่ผู้กระทำความผิดด้วยกัน แต่พฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยที่ 2 ประกอบกับจำนวนเมทแอมเฟตามีนถึง 1,818 เม็ด เป็นข้อบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ดังนั้น จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่ให้ยกฟ้องในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงเป็นการไม่ชอบ แม้คดีในส่วนของจำเลยที่ 2 จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5221/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาชี้ประเด็นการอุทธรณ์ฎีกาเฉพาะบางความผิด, ยอมรับข้อเท็จจริงโดยปริยาย, และการไม่กำหนดโทษกระทงความผิด
จำเลยที่ 2 ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ามีความผิดตามคำฟ้อง แม้จะปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้กระทำความผิดและขอให้ยกฟ้อง เมื่อเนื้อหาในอุทธรณ์จำเลยที่ 2 คงอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะส่วนที่เป็นความผิดต่อ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นส่วนที่ได้วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงถือไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ในความผิดดังกล่าว แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยมาด้วย ก็เป็นการไม่ชอบ และในชั้นฎีกา แม้จำเลยที่ 2 จะฎีกาขอให้ยกฟ้องแต่ก็มิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนที่เกี่ยวกับความผิดดังกล่าวเช่นเดียวกัน จึงถือได้ว่าความผิดดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว
แม้จำเลยที่ 1 จะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงไว้คลาดเคลื่อนไปหลายประการ รวมทั้งศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำเลยที่ 1 สูงเกินไป แต่ตามฎีกาดังกล่าว จำเลยที่ 1 ก็ยอมรับข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนกลางประสานให้ฝ่ายผู้ล่อซื้อและฝ่ายผู้ขายได้บรรลุผลสำเร็จในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของกลาง เพียงแต่จำเลยที่ 1 โต้เถียงว่าจำเลยที่ 1 ได้พาคนของฝ่ายผู้ซื้อไปชี้จุดที่ซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนของกลางเท่านั้นโดยที่เมทแอมเฟตามีนของกลางไม่เคยอยู่ในความยึดถือครอบครองของจำเลยที่ 1 เลย ทั้งเมื่อพิจารณาประกอบกับคำขอท้ายฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในสถานเบา โดยจำเลยที่ 1 มิได้ขอให้ยกฟ้องด้วยแล้วเท่ากับว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับมาในฎีกาโดยปริยายแล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อขายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปลอมตัวเป็นพ่อค้าผู้ล่อซื้อจริงดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์สำหรับความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนมาด้วย ถือว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์จะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้องเฉพาะความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในสถานเบาสำหรับความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เท่านั้น
เมื่อคดีฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 18 วรรคสอง, 62 วรรคหนึ่ง, 81 ตามคำฟ้องซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมกันแล้ว ศาลจะต้องพิพากษากำหนดโทษจำเลยที่ 2 ตามบทกฎหมายดังกล่าวมาด้วย ส่วนเมื่อรวมโทษกับความผิดกระทงอื่นแล้ว จะลงโทษจำเลยที่ 2 ได้เพียงใดหรือไม่นั้น ย่อมเป็นไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดดังกล่าวและเรียงกระทงลงโทษมาด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจกำหนดโทษและเรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดดังกล่าวได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 2 ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212, 225
แม้จำเลยที่ 1 จะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงไว้คลาดเคลื่อนไปหลายประการ รวมทั้งศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำเลยที่ 1 สูงเกินไป แต่ตามฎีกาดังกล่าว จำเลยที่ 1 ก็ยอมรับข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนกลางประสานให้ฝ่ายผู้ล่อซื้อและฝ่ายผู้ขายได้บรรลุผลสำเร็จในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของกลาง เพียงแต่จำเลยที่ 1 โต้เถียงว่าจำเลยที่ 1 ได้พาคนของฝ่ายผู้ซื้อไปชี้จุดที่ซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนของกลางเท่านั้นโดยที่เมทแอมเฟตามีนของกลางไม่เคยอยู่ในความยึดถือครอบครองของจำเลยที่ 1 เลย ทั้งเมื่อพิจารณาประกอบกับคำขอท้ายฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในสถานเบา โดยจำเลยที่ 1 มิได้ขอให้ยกฟ้องด้วยแล้วเท่ากับว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับมาในฎีกาโดยปริยายแล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อขายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปลอมตัวเป็นพ่อค้าผู้ล่อซื้อจริงดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์สำหรับความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนมาด้วย ถือว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์จะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้องเฉพาะความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในสถานเบาสำหรับความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เท่านั้น
เมื่อคดีฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 11, 18 วรรคสอง, 62 วรรคหนึ่ง, 81 ตามคำฟ้องซึ่งเป็นความผิดต่างกรรมกันแล้ว ศาลจะต้องพิพากษากำหนดโทษจำเลยที่ 2 ตามบทกฎหมายดังกล่าวมาด้วย ส่วนเมื่อรวมโทษกับความผิดกระทงอื่นแล้ว จะลงโทษจำเลยที่ 2 ได้เพียงใดหรือไม่นั้น ย่อมเป็นไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดดังกล่าวและเรียงกระทงลงโทษมาด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจกำหนดโทษและเรียงกระทงลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดดังกล่าวได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 2 ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212, 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5182/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความไม่ชัดเจนของคำฟ้องฐานรับของโจรช่วงเวลากระทำผิด ทำให้ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด
การที่โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1 เกี่ยวกับความผิดฐานลักทรัพย์ว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 มีคนร้ายหลายคนร่วมกันลักเอาไม้มะค่าโมงแปรรูปจำนวน 235 แผ่น ที่เจ้าพนักงานยึดไว้เป็นของกลางในคดีอาญาขณะอยู่ในความครอบครองดูแลของ ว. ผู้เสียหายไปโดยทุจริต และบรรยายฟ้องข้อ 2 เกี่ยวกับความผิดฐานรับของโจรว่า ตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ถึงวันที่ 6 มิถุนายน 2545 จำเลยรับของโจรไม้มะค่าโมงจำนวน 8 แผ่น อันเป็นส่วนหนึ่งของไม้มะค่าโมงของกลางตามฟ้องข้อ 1 ที่ถูกคนร้ายลักไป หาใช่การบรรยายฟ้องที่ระบุว่า เวลากระทำผิดทั้งหมดในความผิดฐานรับของโจรเกิดขึ้นก่อนที่ไม้มะค่าโมงถูกคนร้ายลักเอาไป อันจะมีผลทำให้เป็นฟ้องที่ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจรไม่ ทั้งนี้เพราะฟ้องข้อ 2 โจทก์มิได้ระบุว่า เหตุรับของโจรเกิดขึ้นเพียงวันเดียวในวันที่ 6 มิถุนายน 2545 ซึ่งเป็นวันที่เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมไม้ของกลางบางส่วนเท่านั้น หากแต่โจทก์ระบุว่า เหตุรับของโจรเกิดตั้งแต่วันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ถึงวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 2 ซึ่งคำว่า ตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 หมายถึง ตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 อันมีช่วงระยะเวลานานถึง 1 เดือน วันเกิดเหตุความผิดฐานรับของโจรตามที่โจทก์บรรยายในฟ้องข้อ 2 จึงอาจเป็นวันใดวันหนึ่งในช่วงเวลา 1 เดือนดังกล่าว ซึ่งอาจเป็นเวลาภายหลังจากที่มีคนร้ายลักไม้ของกลางตามฟ้องข้อ 1 แล้วก็ได้ การบรรยายฟ้องเช่นนี้จึงหาใช่การบรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรก่อนเกิดความผิดฐานลักทรัพย์ อันจะมีผลทำให้คำฟ้องโจทก์ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจรไม่
การที่โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 2 ระบุเกี่ยวกับเวลาการทำผิดฐานรับของโจรว่า เหตุรับของโจรเกิดตั้งแต่วันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 คือตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 ถึงวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 2 คือวันที่ 6 มิถุนายน 2545 อันเป็นวันเวลาก่อนที่จะถึงวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 เป็นคำฟ้องที่สับสนขัดต่อสภาพและความเป็นจริง ไม่ชัดแจ้งเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
การที่โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 2 ระบุเกี่ยวกับเวลาการทำผิดฐานรับของโจรว่า เหตุรับของโจรเกิดตั้งแต่วันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 คือตั้งแต่วันที่ 1 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 ถึงวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 2 คือวันที่ 6 มิถุนายน 2545 อันเป็นวันเวลาก่อนที่จะถึงวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 เป็นคำฟ้องที่สับสนขัดต่อสภาพและความเป็นจริง ไม่ชัดแจ้งเพียงพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5111/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ทุกประเด็น การไม่วินิจฉัยอุทธรณ์โจทก์ทำให้คำพิพากษาไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส จำคุก 6 ปี โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยส่งให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาพิพากษา ดังนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ว่าจำเลยกระทำความผิดตามที่โจทก์อุทธรณ์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ คงวินิจฉัยแต่อุทธรณ์ของจำเลย ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 4 มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ. ว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคสอง, 186 (6), (8) ให้ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาพิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225 ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เมื่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงไม่อาจฎีกาในปัญหาดังกล่าวนี้ต่อมาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4819/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อรถยนต์: การรับค่าสินไหมทดแทนซ้ำซ้อนจากทั้งผู้เช่าและประกันภัย ถือเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต
ตามสัญญาเช่าซื้อตกลงกันไว้ว่า กรณีรถยนต์ที่เช่าซื้อถูกลักไป จำเลยผู้ให้เช่าซื้อจะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 2 ทาง โดยได้จากโจทก์ผู้เช่าและจากบริษัทประกันภัย อันเป็นการเกินกว่าความเสียหายที่จำเลยได้รับ เมื่อโจทก์เป็นผู้เสียเบี้ยประกันภัยและจำเลยเป็นผู้รับประโยชน์ก็เพื่อโจทก์จะไม่ต้องเป็นภาระใช้ค่ารถให้แก่จำเลยจึงยอมเสียเบี้ยประกันภัย และจำเลยได้แสดงเจตนาขอค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยแล้ว จนบริษัทประกันภัยอนุมัติให้จ่ายเงินให้จำเลย การที่จำเลยรับเงินค่าเช่าซื้อที่เหลือจากโจทก์หลังจากรถยนต์ที่เช่าซื้อถูกลักไปเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อดังกล่าวให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4691/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: การกระทำโดยประมาทจากความผิดจราจรเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องลงโทษตามกฎหมายอาญาโทษหนักสุด
การจอดรถกีดขวางการจราจร และการใช้รถที่บรรทุกเกินความยาวของตัวรถโดยไม่ติธงสัญญาณตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 57 (15) กับการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายอันเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 291 ตามฟ้องนั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำในครั้งคราวเดียวที่ต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน อันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 291 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยในเรื่องดังกล่าวเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันจึงไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225