พบผลลัพธ์ทั้งหมด 361 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2003/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความนัยของเอกสารประกวดราคา: การเสนอราคาในนามนิติบุคคล แม้ข้อความระบุชื่อผู้จัดการ
ประกาศของจำเลยที่ 1 เรื่องประกวดราคาเช่าสะพานท่าเทียบเรือวางเงื่อนไขไว้ว่า ผู้ยื่นซองจะต้องเป็นนิติบุคคลเท่านั้นคณะกรรมการรับซองของจำเลยที่ 1 ก็รับซองประกวดราคาไว้ว่าเป็นของโจทก์ แม้ใบเสนอการประกวดราคาจะกรอกข้อความว่า "ข้าพเจ้าบังเอียนโลหะคุปต์ ผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงน้ำแข็งเฉลิมพล" ก็เป็นการกรอกข้อความไปตามแบบพิมพ์ บ.ไม่มีสิทธิยื่นซองในฐานะส่วนตัวเพราะขัดกับเงื่อนไขตามประกาศ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าโจทก์เข้ายื่นซองประกวดราคา จำเลยทั้งสามก็ไม่ได้ให้การโต้เถียงว่าเสนอราคาในนามของ บ. เป็นการส่วนตัว แต่กลับยอมรับว่าโจทก์ได้เข้าประกวดราคาและเสนอราคาสูงสุดจริง และจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์เข้าทำสัญญาแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมเข้าทำสัญญาเอง เห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสามต่างก็ยอมรับข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้เสนอราคาไม่เคยโต้แย้งว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสนอราคา นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 10 เดิม และมาตรา 132 เดิมให้ตีความเอกสารตามนัยที่จะทำให้เป็นผลบังคับได้ และให้เพ่งเล็งถึงเจตนาอันแท้จริงยิ่งกว่าถ้อยคำสำนวนหรือตัวอักษรดังนั้นในกรณีนี้จึงต้องถือว่า บ. เสนอราคาในนามของโจทก์ มิใช่เสนอราคาในฐานะส่วนตัว เพราะหากถือว่า บ.เสนอราคาในฐานะส่วนตัวย่อมทำให้การเสนอราคาไร้ผล และขัดกับเจตนาของคู่กรณี การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง ขอให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ จำเลยทั้งสามฎีกา ดังนี้อุทธรณ์ของโจทก์และฎีกาของจำเลยทั้งสามต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงศาลละ 200 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1932/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่า: การละทิ้งร้างและการไม่ขวนขวายหาที่อยู่ร่วมกัน ไม่ถือเป็นการจงใจละทิ้ง
จำเลยเคยขอให้โจทก์หาที่พักต่างหากจากที่อาศัยอยู่กับเพื่อนในค่ายทหารที่จังหวัดนครพนม แต่โจทก์ไม่ดำเนินการใด ฉะนั้นการที่จำเลยยังคงทำงานและพักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครจึงเป็นเพราะโจทก์ไม่ขวนขวายหาที่พักอันเหมาะสม เพื่อโจทก์จำเลยจะได้อยู่ร่วมกันส่อเจตนาว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยไปอยู่ร่วมกัน กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่า การที่จำเลยมีหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาของโจทก์ขอค่าเลี้ยงดูจากโจทก์ตามคำแนะนำของนายทหารพระธรรมนูญซึ่งผู้บังคับบัญชาของโจทก์ผู้แนะนำให้ไปหารือด้วยนั้นเป็นการดำเนินการไปตามข้อบังคับทหารว่าด้วยการปกครองครอบครัว เมื่อข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าโจทก์ได้รับความเดือดร้อนเกินควรจากการกระทำดังกล่าวของจำเลยแต่กลับได้ความว่าโจทก์ได้เลื่อนยศตามลำดับตามการร้องเรียนของจำเลยจึงไม่ถึงขนาดทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงอันจะเป็นเหตุฟ้องหย่าได้เช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1917/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการมรดก: สิทธิผู้ร้อง (ภริยา) และผู้คัดค้าน (ผู้รับพินัยกรรม) ในกรณีทรัพย์สินเป็นสินสมรส
แม้ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมตั้งผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกและยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้ผู้คัดค้านที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวอันเป็นการตัดสิทธิทายาทอื่นรวมทั้งผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายด้วยก็ตาม แต่ทรัพย์สินตามที่ระบุในพินัยกรรมดังกล่าวยังคงมีข้อโต้เถียงกันว่าได้รวมเอาทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสในส่วนของผู้ร้องด้วย ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้ ส่วนผู้คัดค้านที่ 1 มีชื่อเป็นผู้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมจึงมีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ศาลตั้งตนเองเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้เช่นกันเมื่อผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 ต่างมีคุณสมบัติไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 จึงสมควรตั้งผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์และการเพิกถอนการจดทะเบียนรับมรดกที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยทั้งสามได้ไปจดทะเบียนรับโอนมรดกที่พิพาทอันเป็นเวลาภายหลังที่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วจำเลยทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการรับมรดกต้องรับไปทั้งสิทธิและตลอดจนความรับผิดต่าง ๆ จำเลยทั้งสามจึงมิใช่บุคคลภายนอกผู้ได้กรรมสิทธิ์มาโดยเสียค่าตอบแทนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง โจทก์ผู้ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยครอบครองปรปักษ์ ซึ่งบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนแล้ว จึงยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยทั้งสาม และขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนดังกล่าว ที่ทำให้ตนเสียเปรียบได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1864/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบียดบังทรัพย์สินโดยมีเจตนาเดียว แม้มีการเบิกถอนหลายครั้ง ถือเป็นกรรมเดียว และประเด็นการไม่รอการลงโทษเป็นปัญหาความสงบเรียบร้อย
คดีต้องห้ามโจทก์อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษแก่จำเลย อันเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษและเป็นปัญหาข้อเท็จจริงการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่รอการลงโทษจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ จำเลยเบิกถอนเงินจากบัญชีของมารดารวม 5 ครั้ง โดยมีเจตนาเบียดบังเงินส่วนที่เหลือจากการนำไปใช้จ่ายตามคำสั่งมารดาก่อนตายเป็นเจตนาเดียวการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1864/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาเบียดบังเงินในบัญชีร่วม: การกระทำเป็นกรรมเดียวหรือไม่หลายกรรม
จำเลยเบิกถอนเงินจากบัญชีของ ผ.5 ครั้ง โดยมีเจตนาถอนเงินทยอยออกมาเป็นคราว ๆ นำไปใช้จ่ายระคนปนกันไป เป็นเจตนาเบียดบังเงินส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายดังกล่าว ไม่ว่าจำเลยจะเบิกถอนเงินจากบัญชีกี่ครั้งก็ตามจำเลยก็มีเพียงเจตนาเดียวเพื่อที่จะเบียดบังเงินส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายเท่านั้นหาได้มีเจตนาเบียดบังเงินทุกครั้งที่เบิกถอนเงินจึงเป็นความผิดกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1776/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองไม้เถื่อน: การมีส่วนร่วมและเจตนาของผู้ครอบครอง
ก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะเข้าจับกุมไม้แปรรูปและมิได้แปรรูปของกลาง เจ้าพนักงานสืบสวนแล้วทราบว่าบริเวณโรงสีของจำเลยที่ 2 ที่เกิดเหตุเป็นแหล่งลักลอบขนไม้เถื่อน จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและดำเนินกิจการเกี่ยวกับโรงสีทุกอย่างในเมื่อจำเลยที่ 2ไม่อยู่ หากจำเลยที่ 1 มิได้มีส่วนร่วมในการมีไม้ของกลางไว้ในครอบครอง ก็ไม่มีเหตุอันใดที่จำเลยที่ 1 จะปล่อยให้รถบรรทุกไม้จำนวนถึง 13 คันคลุมด้วยผ้าใบเข้าไปจอดในบริเวณโรงสีซึ่งมีรั้วรอบขอบชิด บางคันซุกซ่อนอยู่ในโกดังโดยจำเลยที่ 1 ไม่ตรวจสอบ และเมื่อถูกจับกุมจำเลยที่ 1 ก็ให้การว่าเคยพบเห็นรถบรรทุกในลักษณะนี้เข้ามาจอดในโรงสีหลายครั้งแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของโรงสีถ้ามิได้มีส่วนร่วมรู้เห็นในการกระทำผิดด้วยแล้วก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะยินยอมให้รถบรรทุกไม้ของกลางเข้ามาจอดในโรงสีของตนได้เช่นนั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นตัวการมีไม้แปรรูปและมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองอันเป็นความผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1776/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีไม้แปรรูปและไม้ยังไม่แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าของโรงสีและลูกจ้างมีส่วนร่วม
ก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะเข้าจับกุมไม้แปรรูปและมิได้แปรรูปของกลาง เจ้าพนักงานสืบสวนแล้วทราบว่าบริเวณโรงสีของจำเลยที่ 2 ที่เกิดเหตุเป็นแหล่งลักลอบขนไม้เถื่อน จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของดำเนินกิจการเกี่ยวกับโรงสีทุกอย่างในเมื่อจำเลยที่ 2 ไม่อยู่หากจำเลยที่ 1 มิได้มีส่วนร่วมในการมีไม้ของกลางไว้ใน ครอบครอง ก็ไม่มีเหตุอันใดที่จำเลยที่ 1 จะปล่อยให้รถบรรทุกไม้ จำนวนถึง 13 คัน คลุมด้วยผ้าใบเข้าไปจอดในบริเวณโรงสี ซึ่งมีรั้วรอบขอบชิด บางคันซุกซ่อนอยู่ในโกดังโดยจำเลยที่ 1 ไม่ตรวจสอบ และเมื่อถูกจับกุมจำเลยที่ 1 ก็ให้การว่า เคยพบเห็นรถบรรทุกในลักษณะนี้เข้ามาจอดในโรงสีหลายครั้งแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของโรงสีถ้ามิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ในการกระทำผิดด้วยแล้วก็ไม่มีเหตุอันใดที่จะยินยอมให้ รถบรรทุกไม้ของกลางเข้ามาจอดในโรงสีของตนได้เช่นนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นตัวการมีไม้แปรรูปและมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองอันเป็นความผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1774/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการลงโทษจำเลยตามคำฟ้อง: ศาลจำกัดการลงโทษเฉพาะความผิดที่โจทก์ฟ้องเท่านั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้พรากเด็กหญิงผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่โดยผู้เสียหายไม่ยินยอมขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277,317,90 ซึ่งมิได้มีรายละเอียดให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทุกกรรม ทั้งอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มาด้วย ดังนี้แม้ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์กับข่มขืนกระทำชำเรา อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลจะลงโทษจำเลยในแต่ละกรรมนอกเหนือจากคำฟ้องและคำขอของโจทก์หาได้ไม่ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ โดยให้ลงโทษในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม มาตรา 317 วรรคสาม กรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องความผิดฐานเบิกความเท็จ/แสดงหลักฐานเท็จ ต้องระบุให้ชัดเจนว่าพยานหลักฐาน/คำเบิกความนั้น 'สำคัญ' ในคดี
ความผิดฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จและเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 และ 177มีองค์ประกอบความผิดสำคัญประการหนึ่งว่า พยานหลักฐานและคำเบิกความอันเป็นเท็จจะต้องเป็นข้อสำคัญในคดีที่นำสืบหรือเบิกความด้วย ดังนั้นประเด็นสำคัญในคดีมีว่าอย่างไรพยานหลักฐานและคำเบิกความของจำเลยที่ 1 เป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร จึงเป็นสาระสำคัญอันเป็นองค์ประกอบของความผิดที่โจทก์จะต้องบรรยายไว้ให้ชัดแจ้งในคำฟ้องเมื่อคำฟ้องของโจทก์หาได้บรรยายถึงสาระสำคัญเช่นว่านั้นไม่ถือได้ว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5)