คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 155

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 89 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 773/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขออุทธรณ์คดีอย่างคนอนาถา: พยานหลักฐานไม่ใหม่ & เหตุผลไม่ฟังขึ้น
ในชั้นไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์คดีอย่างคนอนาถา จำเลยที่ 1 ได้ยื่นบัญชีระบุพยานรวม 5 ฉบับ อันดับที่ 5 ได้แก่หนังสือสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกัน ซึ่งเป็นพยานหลักฐานเดียวกันกับคำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเพิ่มเติม จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้ยื่นพยานดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นในชั้นไต่สวนคำร้อง และจำเลยที่ 1 ได้อ้างตนเองเป็นพยานในชั้นไต่สวนเบิกความว่า บ้านและที่ดินของจำเลยติดจำนองกับสหกรณ์ออมทรัพย์ ค. ประมาณ 600,000 บาท และภริยาของจำเลยที่ 1 ประกอบอาชีพครู มีรายได้เดือนละ 20,000 บาท แสดงว่าพยานหลักฐานที่จำเลยขออนุญาตเพิ่มเติมนั้นก็ไม่เป็นพยานหลักฐานใหม่ประกอบทั้งศาลล่างยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา เนื่องจากจำเลยที่ 1 เคยประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมันและทำไม้ แต่กิจการขาดทุน ส่วนภริยารับราชการครู เงินเดือนเดือนละ 20,000 บาท และบุตรมีอาชีพทนายความ จำเลยที่ 1 มีบ้านและที่ดินเป็นของตนเองแต่จำเลยอ้างหนังสือสัญญากู้และค้ำประกันเพิ่มเติมสนับสนุนว่าบ้านและที่ดินติดจำนองนั้นก็เห็นได้ว่าศาลล่างยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาด้วยเหตุผลหลายประการ พยานหลักฐานที่จำเลยที่ 1 ขออนุญาตเพิ่มเติมนั้นไม่เป็นประโยชน์ที่จะฟังว่าจำเลยที่ 1 ยากจน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4070/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาซ้ำ เมื่อศาลเคยมีคำสั่งแล้วว่าไม่มีเหตุอันสมควร
จำเลยเคยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์มาแล้วครั้งหนึ่ง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีของจำเลยไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุด คดีจึงฟังได้เป็นยุติว่าคดีจำเลยไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ครั้งใหม่โดยอ้างเหตุว่ายากจนลงกว่าเดิม แม้จะฟังได้ตามข้ออ้างของจำเลย ศาลก็ไม่อาจอนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1161/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์อย่างคนอนาถาต้องมีเหตุผลสมควร และต้องอุทธรณ์คำสั่งศาลภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย
การขออุทธรณ์อย่างคนอนาถานอกจากผู้ขอต้องเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมแล้ว ยังต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าคดีของตนมีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155 วรรคหนึ่งเมื่อจำเลยยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถามาพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ และศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีของจำเลยไม่มีเหตุสมควรอุทธรณ์และยกคำร้อง และสั่งว่าหากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระภายในเวลาที่กำหนด จึงเท่ากับศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเนื้อหาของคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยแล้ว อันมีผลให้ยกคำขอนั้นเสียทีเดียว ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายให้สิทธิจำเลยอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายใน 7 วัน นับแต่วันมีคำสั่งการที่จำเลยอุทธรณ์พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวจึงต้องห้ามอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกคำร้องของจำเลยชอบแล้ว แต่การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิได้กำหนดเวลาให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้จำเลยฟัง ทั้งกำหนดเวลาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระได้ล่วงพ้นไปแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาชอบที่จะกำหนดเวลาให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้วได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1161/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา และผลของการไม่ชำระค่าธรรมเนียมตามกำหนด
จำเลยยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถามาพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์และศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีของจำเลยไม่มีเหตุสมควรอุทธรณ์และมีคำสั่งยกคำร้อง หากจำเลยประสงค์จะอุทธรณ์ต่อไปก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระภายในเวลาที่กำหนดจึงเท่ากับศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเนื้อหาของคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยแล้ว และมีผลเป็นคำสั่งให้ยกคำขอนั้นเสียทีเดียว ซึ่งอยู่ในบังคับของ ป.วิ.พ.มาตรา 156 วรรคท้าย ที่ให้สิทธิแก่ผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่ง
จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อพ้นกำหนดเวลาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 156 วรรคท้าย จึงต้องห้ามอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องของจำเลยชอบแล้ว แต่การที่ศาลอุทธรณ์มิได้กำหนดเวลาให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง ทั้งกำหนดเวลาของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระได้ล่วงพ้นไปแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลฎีกาชอบที่จะกำหนดเวลาให้จำเลยนำค่าธรรมเนียมมาชำระภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้วได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3503/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา: การพิจารณาความยากจนและฐานะทางการเงินของผู้ขอ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาของจำเลยแล้ว จำเลยต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลฎีกาภายในกำหนดเจ็ดวัน นับแต่วันมีคำสั่งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 156 วรรคท้าย เพราะเป็นเรื่องอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลฎีกา การที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบ กรณีเช่นนี้ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไปให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่งต่อไป ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องเสียเอง จึงไม่ชอบเช่นกัน ปัญหานี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 142 (5), 246 และ 247โดยให้เพิกถอนคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่สั่งยกคำร้องดังกล่าว
จำเลยฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งพอถือได้ว่าจำเลยประสงค์จะขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นอันเป็นเรื่องอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลฎีกา เพราะจำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาภายในกำหนดแล้ว ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของจำเลยให้
แม้ขณะยื่นฎีกาจำเลยจะอยู่ในฐานะลำบาก กิจการที่ดำเนินการอยู่ต้องลดสัดส่วนและต้องนำรายได้มาเป็นค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ทั้งมีหนี้สินถูกฟ้องหลายคดี ทุนทรัพย์ประมาณ 1,000 ล้านบาท หลักทรัพย์ถูกยึดเป็นประกันหนี้จำนองและมีราคาลดลง และจำเลยยังมีภาระอุปการะเลี้ยงดูบุตรก็ตาม แต่เมื่อจำเลยยังดำเนินกิจการมีรายได้ ตลอดจนมีทรัพย์สินอยู่ ประกอบกับในชั้นอุทธรณ์จำเลยก็สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ กรณีจึงยังไม่เป็นที่พอใจว่าจำเลยเป็นคนยากจนไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ ศาลฎีกาจึงไม่อนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา ถ้าจำเลยประสงค์จะดำเนินคดีในชั้นฎีกาต่อไป ก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในเวลาที่ศาลฎีกากำหนด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3503/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินคดีอย่างคนอนาถา: การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาต และการพิจารณาฐานะทางการเงินของผู้ขอ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใน ชั้นฎีกาของจำเลยแล้ว จำเลยต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลฎีกาภายใน กำหนด เจ็ดวัน นับแต่วันมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้ายเพราะเป็นเรื่องอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลฎีกา การที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบกรณีเช่นนี้ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไปให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่งต่อไป ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องเสียเอง จึงไม่ชอบเช่นกัน ปัญหานี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของ ประชาชนศาลฎีกาย่อมมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5),246 และ 247 โดยให้เพิกถอนคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่สั่งยกคำร้องดังกล่าว
จำเลยฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งพอถือได้ว่าจำเลยประสงค์จะขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้น อันเป็นเรื่องอยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลฎีกา เพราะจำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดี อย่างคนอนาถาภายในกำหนดแล้ว ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ของจำเลยให้ แม้ขณะยื่นฎีกาจำเลยจะอยู่ในฐานะลำบาก กิจการที่ดำเนินการอยู่ต้องลดสัดส่วนและต้องนำรายได้มาเป็นค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง ทั้งมีหนี้สินถูกฟ้อง หลายคดี ทุนทรัพย์ประมาณ 1,000 ล้านบาท หลักทรัพย์ถูกยึดเป็นประกันหนี้จำนอง และมีราคาลดลง และจำเลยยังมีภาระอุปการะเลี้ยงดูบุตรก็ตาม แต่เมื่อจำเลยยังดำเนินกิจการ มีรายได้ ตลอดจนมีทรัพย์สินอยู่ ประกอบกับในชั้นอุทธรณ์จำเลยก็สามารถเสียค่าธรรมเนียม ศาลได้ กรณีจึงยังไม่เป็นที่พอใจว่าจำเลยเป็นคนยากจนไม่สามารถเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ศาลฎีกาจึงไม่อนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกาถ้าจำเลยประสงค์จะ ดำเนินคดีในชั้นฎีกาต่อไป ก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมชั้นฎีกามาชำระต่อศาลชั้นต้น ภายในเวลาที่ศาลฎีกากำหนด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6959/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอนาถาต้องมีมูลเหตุแห่งคดี หากศาลเห็นว่าไม่มีมูล คดีนั้นย่อมตกไป
ในการดำเนินคดีอนาถานั้น ถ้าผู้ขอเป็นโจทก์ นอกจากจะต้องแสดงให้เห็นว่าผู้ขอเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมได้แล้ว ยังต้องแสดงให้เป็นที่พอใจศาลด้วยว่าคดีของตนมีมูลที่จะฟ้องร้องตามนัยแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155 คดีนี้ นอกจากศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่มีเหตุสมควรที่จะให้โจทก์เลื่อนคดีแล้ว ยังได้ตรวจคำฟ้องและคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาด้วยแล้ว เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วโดยไม่จำต้องไต่สวนพยานโจทก์ต่อไป ให้งดเสียแล้วมีคำสั่งว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง ให้ยกคำร้อง ซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคท้าย อันมีผลเท่ากับไม่อนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีอย่างอนาถา ซึ่งโจทก์จะต้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนดจึงถือว่าโจทก์อุทธรณ์ในข้อที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนการไต่สวนเพียงอย่างเดียวโดยขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนพยานหลักฐานโจทก์ต่อไป คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ตรวจคำฟ้องแล้วไม่อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาเพราะเหตุคดีโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง ตามมาตรา 155 วรรคแรก จึงยุติไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาว่าสมควรอนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีเพื่อทำการไต่สวนพยานหลักฐานโจทก์ต่อไปหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6959/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินคดีอนาถาต้องแสดงเหตุมีมูลฟ้อง หากศาลเห็นว่าไม่มีมูล ศาลมีอำนาจยกคำร้องได้
ในการดำเนินคดีอนาถานั้น ถ้าผู้ขอเป็นโจทก์ นอกจากจะต้องแสดงให้เห็นว่าผู้ขอเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมได้แล้ว ยังต้องแสดงให้เป็นที่พอใจศาลด้วยว่าคดีของตนมีมูลที่จะฟ้องร้องตามนัยแห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 155 คดีนี้ นอกจากศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่มีเหตุสมควรที่จะให้โจทก์เลื่อนคดีแล้ว ยังได้ตรวจคำฟ้องและคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาด้วยแล้ว เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้วโดยไม่จำต้องไต่สวนพยานโจทก์ต่อไป ให้งดเสียแล้วมีคำสั่งว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง ให้ยกคำร้อง ซึ่งศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคท้าย อันมีผลเท่ากับไม่อนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีอย่างอนาถา ซึ่งโจทก์จะต้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนดจึงถือว่าโจทก์อุทธรณ์ในข้อที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์เลื่อนการไต่สวนเพียงอย่างเดียวโดยขอให้ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนพยานหลักฐานโจทก์ต่อไป คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ตรวจคำฟ้องแล้วไม่อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาเพราะเหตุคดีโจทก์ไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง ตามมาตรา 155 วรรคแรก จึงยุติไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น คดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาว่าสมควรอนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีเพื่อทำการไต่สวนพยานหลักฐานโจทก์ต่อไปหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5440/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินการคดีอานาถาที่ไม่ถูกต้อง และผลกระทบต่อการรับอุทธรณ์
เมื่อมิได้มีการพิจารณาคดีโดยขาดนัดคำร้องของจำเลยทั้งสองมิใช่เป็นเรื่องขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา205วรรคสอง การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่โดยอ้างว่าเสมียนทนายจำเลยทั้งสองจดวันนัดผิดนั้นหากเป็นจริงก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองขาดการเอาใจใส่การพิจารณาคดีของศาลไม่ใช่เหตุที่ยกขึ้นมาอ้างเพื่อขอให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนใหม่ คำร้องของจำเลยทั้งสองที่ขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาอีกโดยขอให้นัดไต่สวนคำร้องใหม่โดยมิได้ดำเนินการสาบานตัวให้คำชี้แจงว่าตนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา156วรรคหนึ่งจึงมิใช่คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ทั้งกรณีของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องขอดำเนินคดีอนาถาในชั้นอุทธรณ์เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยทั้งสองโดยมิได้มีการสืบพยานจำเลยทั้งสองเลยแม้แต่ปากเดียวกรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา156วรรคสี่จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่หาได้ไม่ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าหากจำเลยทั้งสองประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์มาวางศาลภายใน7วันนับแต่วันนี้เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฎิบัติตามคำสั่งดังกล่าวการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5440/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลและการขาดการเอาใจใส่คดี ทำให้คำร้องขออนาถาไม่ได้รับการพิจารณา
เมื่อมิได้มีการพิจารณาคดีโดยขาดนัด คำร้องของจำเลยทั้งสองมิใช่เป็นเรื่องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 205 วรรคสอง
การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ โดยอ้างว่าเสมียนทนายจำเลยทั้งสองจดวันนัดผิดนั้น หากเป็นจริงก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองขาดการเอาใจใส่การพิจารณาคดีของศาล ไม่ใช่เหตุที่ยกขึ้นมาอ้างเพื่อขอให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนใหม่
คำร้องของจำเลยทั้งสองที่ขอให้พิจารณาคำขอดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาอีกโดยขอให้นัดไต่สวนคำร้องใหม่ โดยมิได้ดำเนินการสาบานตัวให้คำชี้แจงว่าตนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 156 วรรคหนึ่ง จึงมิใช่คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ ทั้งกรณีของจำเลยทั้งสองเป็นเรื่องขอดำเนินคดีอนาถาในชั้นอุทธรณ์ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยทั้งสองโดยมิได้มีการสืบพยานจำเลยทั้งสองเลยแม้แต่ปากเดียว กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสี่ จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่หาได้ไม่
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า หากจำเลยทั้งสองประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้จำเลยทั้งสองนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์มาวางศาลภายใน7 วันนับแต่วันนี้ เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง จึงชอบแล้ว
of 9