คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 155

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 89 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาทำเหมืองแร่, การผิดสัญญา, และความรับผิดของคู่สัญญา/ตัวแทน
เมื่อศาลอนุญาตให้โจทก์ฟ้องอย่างคนอนาถาได้. การที่โจทก์จะขอแก้ฟ้องในภายหลังได้หรือไม่นั้น ต้องอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179. คือคำฟ้องเดิมและคำฟ้องภายหลังจะต้องเกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้. เมื่อศาลเห็นว่าเป็นคำฟ้องที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งอนุญาตให้แก้ฟ้องได้แล้ว. ก็หาจำเป็นที่ศาลจะต้องไต่สวนเพื่อมีคำสั่งอนุญาตให้ฟ้องอย่างคนอนาถาสำหรับคำฟ้องภายหลังอีกไม่.เพราะถือได้ว่า ยังคงเป็นคำฟ้องในคดีเดียวกันซึ่งศาลได้ไต่สวนและมีคำสั่งอนุญาตไว้แล้ว.
ตามคำฟ้องเดิม โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยทำสัญญากันให้จำเลยชำระหนี้แทนโจทก์และรับโอนที่ดินประทานบัตรของโจทก์ไว้เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างโจทก์จำเลยประกอบกิจการทำเหมืองแร่. จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา.ไม่จัดตั้งบริษัทขึ้น. แต่กลับขุดเอาแร่ของโจทก์ไปขายเป็นประโยชน์ส่วนตัว เป็นทั้งผิดสัญญาและละเมิด.คำร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์กล่าวความเดิมที่จำเลยทำผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว. ขอให้ศาลพิพากษาให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม โดยให้จำเลยรับชำระหนี้ที่ออกใช้แทนโจทก์ไป และโอนประทานบัตรพิพาทคืนให้โจทก์. ดังนี้ย่อมเป็นคำฟ้องที่เกี่ยวข้องกันพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้.
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาฉบับแรก แล้วต่อมาทำสัญญาอีกฉบับหนึ่งซึ่งมีข้อความลบล้างสัญญาฉบับแรก. เพื่อใช้ขู่เจ้าหนี้ของโจทก์ให้ยอมรับชำระหนี้และโอนที่ดินประทานบัตรซึ่งเป็นประกันคืนโดยโจทก์จำเลยมิได้มีเจตนาผูกพันกันจริงจัง. ดังนี้ สัญญาฉบับหลังหามีผลเป็นการยกเลิกสัญญาฉบับแรกไม่.
ตามสัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อกัน. จำเลยจะต้องชำระหนี้แทนโจทก์และรับโอนที่ดินประทานบัตรของโจทก์เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1ประกอบกิจการทำเหมืองแร่. แต่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่1 ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการ ได้เข้าปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้และรับโอนประทานบัตรของโจทก์มาในนามจำเลยที่2. ถือได้ว่าการชำระหนี้และรับโอนประทานบัตรดังกล่าวจำเลยที่ 2 กระทำในฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1.
ตามสัญญาที่ทำไว้ โจทก์กับจำเลยที่ 1 จะต้องจัดตั้งบริษัทขึ้น เพื่อประกอบกิจการทำเหมืองแร่ในที่ดินประทานบัตรของโจทก์ที่โอนให้จำเลย. โดยโจทก์จำเลยต่างเป็นผู้ถือหุ้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้. แต่เมื่อบริษัทยังมิได้จัดตั้งขึ้นตามสัญญา. จำเลยจะถือสิทธิเข้าไปทำเหมืองแร่ในที่ดินประทานบัตรนั้นโดยลำพังหาได้ไม่.เพราะผิดข้อตกลงที่ทำไว้. การที่จำเลยที่ 1 เข้าดำเนินการและในฐานะที่จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการและผู้แทนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคล.ยินยอมให้จำเลยที่ 2 เข้าร่วมดำเนินการขุดหาแร่ โดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมหรือเกี่ยวข้องด้วย. ย่อมเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต. และเป็นการผิดสัญญาที่จำเลยที่ 1ทำไว้กับโจทก์ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเสียได้.
การที่จำเลยทั้งสองเข้าดำเนินการขุดเอาแร่ในที่ดินประทานบัตรของโจทก์ไปเป็นประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว.จำเลยต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในฐานผิดสัญญาและข้อตกลง. ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีสิทธิอย่างใด.ในการขุดเอาแร่ในที่ดินประทานบัตรของโจทก์ ต้องรับผิดฐานละเมิด.
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจพิพากษาให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง หรือจะให้เป็นพับกันไปก็ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 689/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในฐานะคนยากจน และสิทธิในการขอพิจารณาคำขอใหม่
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา. ผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ได้ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่ง โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น.
แม้ผู้ขอจะไม่อุทธรณ์คำสั่งนั้น. ก็ยังอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่ เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนได้ (อ้างฎีกาที่ 1416/2506).
หากศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องดังกล่าวโดยไม่อนุญาตให้นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติม. ย่อมอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติว่า คำสั่งศาลชั้นต้นเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด.
การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในกรณีนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการที่ผู้ขอร้องว่าเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียม. จึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 689/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับอุทธรณ์ฐานะคนอนาถา และสิทธิร้องขอพิจารณาคำขอใหม่
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ได้ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่ง โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น
แม้ผู้ขอจะไม่อุทธรณ์คำสั่งนั้น ก็ยังอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่ เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนได้ (อ้างฎีกาที่ 1416/2506)
หากศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องดังกล่าวโดยไม่อนุญาตให้นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติม ย่อมอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติว่า คำสั่งศาลชั้นต้นเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด
การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในกรณีนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการที่ผู้ขอร้องว่าเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียม จึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 689/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในฐานะคนยากจน และการพิจารณาคำร้องขอพิจารณาคำขอใหม่
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ได้ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่ง โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น
แม้ผู้ขอจะไม่อุทธรณ์คำสั่งนั้น. ก็ยังอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่ เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนได้ (อ้างฎีกาที่ 1416/2506)
หากศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องดังกล่าวโดยไม่อนุญาตให้นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมย่อมอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติว่า คำสั่งศาลชั้นต้นเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด
การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในกรณีนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการที่ผู้ขอร้องว่าเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมจึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลำดับการพิจารณาคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถา: ศาลต้องพิจารณายกคำร้องก่อน หากเห็นว่าอุทธรณ์ต้องห้าม
จำเลยยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนอนาถา ครั้นถึงวันนัดได้สั่งงดไต่สวนเสีย โดยว่าไม่จำเป็นและมีคำสั่งว่า ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย เพราะเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ยังคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 ก็พึงยกคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถานั้นเสีย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรค 3 หาควรที่จะก้าวล่วงไปสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเสียทีเดียวไม่ จึงพิพากษายกคำสั่งศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรค 3 ค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ฎีกาให้คืนจำเลยไป (คดีนี้จำเลยฎีกาได้)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถา: ศาลต้องพิจารณายกคำร้องหากอุทธรณ์มีปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
จำเลยยื่นอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นนัดไต่สวนอนาถา ครั้นถึงวันนัดได้สั่งงดไต่สวนเสีย โดยว่าไม่จำเป็นและมีคำสั่งว่า ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย เพราะเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ยังคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ก็พึงยกคำร้องขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถานั้นเสีย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคสาม หาควรที่จะก้าวล่วงไปสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย เสียทีเดียวไม่ จึงพิพากษายกคำสั่งศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคสาม ค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ฎีกาให้คืนจำเลยไป (คดีนี้จำเลยฎีกาได้)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินคดีโดยคนอนาถาและผลของการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเกี่ยวกับการวางเงินค่าธรรมเนียม
การที่ศาลไม่อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ และโจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์สั่งยืน และว่าถ้าจะอุทธรณ์ให้วางเงินค่าธรรมเนียมภายใน 7 วัน แต่โจทก์ไม่วางเงินค่าธรรมเนียม กลับฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับเพราะคำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาสั่งว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 โจทก์จึงกลับมาร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้รับฟ้องอุทธรณ์อีก ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้ กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินการฟ้องคดีโดยไม่ชำระค่าธรรมเนียมศาล ส่งผลให้คดีถึงที่สุดและศาลไม่รับอุทธรณ์
การที่ศาลไม่อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ และโจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์สั่งยืนและว่าถ้าจะอุทธรณ์ให้วางเงินค่าธรรมเนียมภายใน 7 วันแต่โจทก์ไม่วางเงินค่าธรรมเนียม กลับฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับเพราะคำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาสั่งว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156โจทก์จึงกลับมาร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้รับฟ้องอุทธรณ์อีกศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนดังนี้กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา236 คำสั่งศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 813/2504

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึด/อายัดทรัพย์ในคดีคนอนาถา ทรัพย์ต้องเป็นของผู้ได้รับอนุญาต ไม่ใช่บุคคลอื่น
การที่จะขอให้ศาลสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ฟ้องหรือต่อสู้ความอย่างคนอนาถานั้น ต้องปรากฎว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของผู้ได้รับอนุญาตให้ว่าความอย่างคนอนาถา ไม่ใช่เป็นของบุคคลอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1337/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนคำร้องขออนาถาแล้วกลับมาขออนาถาใหม่หลังขาดอายุอุทธรณ์ ศาลไม่อนุญาต
เดิมจำเลยยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา จำเลยแถลงในวันนัดไต่สวนว่า พยานมาไม่ครบและว่าเพื่อไม่ให้ยุ่งยาก จำเลยขอขยายอายุอุทธรณ์ไป 15 วัน เพื่อนำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระศาลอนุญาต เช่นนี้ มีผลเสมอด้วยจำเลยขอถอนคำร้องขออนาถาเสียแล้ว ต่อมาเมื่อครบกำหนดดังกล่าว จำเลยจะมาแถลงว่าหาเงินค่าธรรมเนียมไม่ได้ ขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขอใหม่ และขอขยายอายุอุทธรณ์ (เมื่อขาดอายุอุทธรณ์แล้ว) อีกหาได้ไม่
of 9