พบผลลัพธ์ทั้งหมด 483 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการแทงต่อเนื่องถึงแก่ความตาย การกระทำไม่เข้าข้อยกเว้นการป้องกัน
จำเลยเป็นเพื่อนสนิทของ ศ. เมื่อทราบว่า ศ. ถูกรังแกก็ย่อมมีความโกรธแค้นเป็นทุนเดิม ครั้นพบกลุ่มผู้เสียหาย ในขณะนั้นก็ย่อมเป็นโอกาสที่จะได้แก้แค้น ทันทีที่ได้รับคำตอบ จาก ศ. ว่าผู้เสียหายเป็นผู้ที่เข้าร่วมต่อสู้ด้วย จำเลยได้รีบตรง เข้าแทงผู้เสียหายทันทีโดยขณะนั้น ผู้เสียหายยังนั่งคร่อมอยู่บน รถจักรยานยนต์ไม่ทันระวังตัว บริเวณที่แทงเป็นหน้าอกด้านขวาอันเป็น อวัยวะที่สำคัญ โดยจำเลยมีโอกาสเลือกแทงได้ เมื่อผู้เสียหายลงจาก รถแล้ววิ่งหนี จำเลยยังได้ไล่ติดตามไปแล้วแทงผู้เสียหายซ้ำอีก 1 ครั้งอันเป็นการส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีความโกรธแค้นผู้เสียหายอย่างมาก ผู้เสียหายได้รับบาดแผลแทงทะลุเข้าช่องปอดขวาด้านล่าง ทำให้ทะลุ กระบังลมขวาถูกตับและต่อมหมวกไตขวา หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะถึงแก่ความตายได้ แม้โจทก์จะไม่ได้มีดปลายแหลม ที่ใช้เป็นอาวุธมาประกอบคดีก็ตาม แต่ก็พอให้เข้าใจได้ว่ามีดปลายแหลม ที่จำเลยใช้เป็นอาวุธนั้นมีขนาดใหญ่พอสมควร เพียงพอที่จะทำให้ ผู้ถูกแทงถึงแก่ความตายได้ บาดแผลที่ปรากฏก็ส่อแสดงให้เห็นว่า จำเลยได้แทงโดยแรง พฤติการณ์และการกระทำของจำเลยดังกล่าวมาทั้งหมดบ่งชี้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
แม้จำเลยเห็นผู้เสียหายทำกิริยาคล้ายจะชักอาวุธออกมาทำร้ายจำเลยจึงแทงผู้เสียหายก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่ามีภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงเกิดขึ้น อันจะเป็นเหตุให้จำเลยอ้างเหตุป้องกันได้ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
แม้จำเลยเห็นผู้เสียหายทำกิริยาคล้ายจะชักอาวุธออกมาทำร้ายจำเลยจึงแทงผู้เสียหายก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่ามีภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงเกิดขึ้น อันจะเป็นเหตุให้จำเลยอ้างเหตุป้องกันได้ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 924/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ผู้ขับขี่ในคดีขับรถประมาท ผู้รับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนเชื่อถือได้ หากไม่มีการล่อลวง
โจทก์ฟ้องจำเลยฐานขับรถด้วยความประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำเลยปฏิเสธว่าขณะเกิดเหตุจำเลยนอนหลับ โดย ว. ผู้ตายเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะคันที่เกิดเหตุ แต่ในชั้นสอบสวนจำเลยรับว่าเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะคันที่เกิดเหตุ แม้พนักงานสอบสวนจะแจ้งแก่จำเลยว่า ว. ยังไม่ตายซึ่งผิดไปจากความจริงนั้น ไม่ถือเป็นการ ล่อลวงเพื่อจูงใจให้จำเลยรับว่าเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 135 อันจะมีผลให้ไม่อาจฟังตามคำรับของจำเลยได้หากแต่เป็นการดำเนินการที่ พนักงานสอบสวนได้ทำไปเพื่อทราบข้อเท็จจริงตามอำนาจของกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักกลบลบหนี้จากความเสียหายที่เกิดจากการกระทำละเมิดของพนักงาน การยินยอมรับผิดชอบมีผลผูกพัน
จำเลยว่าจ้างโจทก์รักษาความปลอดภัยภายในบริษัทจำเลยต่อมาจำเลยค้างชำระค่าจ้างโจทก์ 165,850 บาท ในช่วงดังกล่าวพนักงานของโจทก์กระทำละเมิดโดยขับรถยนต์โตโยต้าของจำเลยชนรถยนต์เบนซ์ภายในบริษัทจำเลย หลังจากเกิดอุบัติเหตุ พนักงานของโจทก์ได้แจ้งเรื่องให้โจทก์จำเลยทราบ ผู้แทนโจทก์ตกลงยินยอมรับผิดชอบในค่าเสียหายของรถยนต์ที่ถูกชน สำหรับรถยนต์โตโยต้าผู้แทนโจทก์ตกลงกับจำเลยว่าจะยินยอมรับเป็นกรรมสิทธิ์ในราคา470,000 บาท ดังนั้น เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นเพราะการทำละเมิดของพนักงานของโจทก์ ซึ่งผู้แทนโจทก์ยอมรับผิดชอบโจทก์จะว่าไม่มีผลผูกพันโจทก์หาได้ไม่ กรณีมิใช่เป็นเรื่องจำเลยแจ้งความประสงค์แห่งข้อเสนอเพียงฝ่ายเดียวให้โจทก์ชดใช้จำเลยจึงนำค่าเสียหายเกี่ยวกับรถยนต์โตโยต้ามาหักกลบลบหนี้ค่าจ้างที่จำเลยค้างชำระได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานในคดีลักทรัพย์: คำเบิกความขัดแย้งและขาดพยานยืนยัน
ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยกับผู้เสียหายเข้าพักในโรงแรมที่เกิดเหตุเมื่อผู้เสียหายหลับไปและตื่นขึ้นปรากฏว่าจำเลยไม่อยู่ในห้องพักและทรัพย์สินของผู้เสียหายสูญหายไป ผู้เสียหายลงไปที่เคาน์เตอร์โรงแรมและแจ้งให้พนักงานโรงแรมทราบ แต่พนักงานโรงแรมซึ่งอยู่ที่เคาน์เตอร์โรงแรมในคืนเกิดเหตุกลับเบิกความว่าผู้เสียหายออกจากโรงแรมเวลาประมาณ5 นาฬิกา โดยไม่ได้พูดอะไรเลย คำเบิกความพยานโจทก์จึงเป็นพิรุธซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด ประกอบกับไม่ได้ตรวจพบทรัพย์สินของผู้เสียหายที่จำเลยและพนักงานโรงแรมมิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นบุคคลเดียวกับสุภาพสตรีที่มากับผู้เสียหายในคืนที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 802/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บ้านเป็นส่วนควบของที่ดิน การโอนที่ดินทำให้ผู้รับโอนมีกรรมสิทธิ์ในบ้านด้วย
บ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินในลักษณะตรึงตราถาวรนับได้ว่าเป็นส่วนซึ่งโดยสภาพเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้นและไม่อาจแยกจากกันได้ นอกจากจะทำลาย ทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป บ้านจึงเป็นส่วนควบของที่ดิน ผู้ซื้อที่ดินย่อมมีกรรมสิทธิ์ในบ้านซึ่งเป็นส่วนควบนั้นด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 144
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 651/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเพราะเกินกำหนด & ศาลชั้นต้นรับฎีกาไม่ชอบ พฤติการณ์ใช้เอกสารปลอมเป็นกรรมเดียว
คดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อจำเลยยื่นฎีกาพร้อมคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นนายหนึ่งอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ในวันสุดท้ายที่อยู่ในระยะเวลาซึ่งศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายเวลายื่นฎีกาได้ แต่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกา การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอีกนายหนึ่งและองค์คณะในศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่งเมื่อล่วงพ้นระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้แล้ว คำร้องของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งอนุญาตให้จำเลยฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 600/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขู่เข็ญเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำผิดลักทรัพย์ถือเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์
เมื่อผู้เสียหายเห็นจำเลยทั้งสองกำลังลักเอามะม่วงอยู่ และกำลังจะนำมะม่วงที่เด็ดจากขั้วไว้แล้วออกไปนอกสวน ผู้เสียหายจึงเข้าจับกุมตัวจำเลยที่ 1เห็นได้ว่าเหตุการณ์ตอนนี้การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ยังดำเนินอยู่ไม่ขาดตอน จำเลยที่ 2 ซึ่งในตอนแรกได้วิ่งหลบหนีไปสักครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับถือท่อนไม้ไผ่ตรงเข้าเงื้อจะตีทำร้ายผู้เสียหาย และในทันทีนั้นได้พูดขู่ผู้เสียหายว่า "วางเมียผมเดี๋ยวนี้ หากไม่วางจะตีพ่อใหญ่ให้ตาย" ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2ได้พูดขู่เข็ญผู้เสียหายว่า ในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เสียหายปล่อยตัวจำเลยที่ 1 ให้พ้นจากการจับกุมอันเป็นการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 588/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท การพิพากษานอกฟ้อง และการพิสูจน์การยกทรัพย์สินให้แก่ผู้อื่น
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยกับ ป. ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว เนื่องจาก ป. ได้ยกบ้านและที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นเรือนหอก่อนแล้ว จำเลยให้การว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของ ป. ซึ่งได้ยกให้จำเลยโดยได้จดทะเบียนถูกต้องและ ป. ยังทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้จำเลยเพียงผู้เดียวคดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงประเด็นเดียวตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของ ป. และไม่ได้ยกให้แก่โจทก์หรือจำเลยแล้วพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทกลับคืนเป็นชื่อของ ป. ตามเดิม จึงเป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็น
ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์มิได้อยู่กินร่วมกันในบ้านพิพาทมาตลอดหากเพียงแต่พักอาศัยอยู่ลักษณะเป็นการชั่วคราว ดังจะเห็นได้จากที่โจทก์แยกครอบครัวไปอยู่ที่อื่นหลังจากนั้นไม่นาน ประกอบกับไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ทั้งได้ความจากปลัดอำเภอผู้จัดทำหนังสือมอบอำนาจจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้ ป. ว่า ป.ต้องการแบ่งที่ดินพิพาทส่วนที่ไม่มีบ้านให้จำเลย ส่วนที่ดินพิพาทบริเวณที่มีบ้านจะเก็บไว้ก่อน เช่นนี้พอชี้ชัดได้ว่า ป. มิได้ยกบ้านและที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นสิทธิเด็ดขาด พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของจำเลย
ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์มิได้อยู่กินร่วมกันในบ้านพิพาทมาตลอดหากเพียงแต่พักอาศัยอยู่ลักษณะเป็นการชั่วคราว ดังจะเห็นได้จากที่โจทก์แยกครอบครัวไปอยู่ที่อื่นหลังจากนั้นไม่นาน ประกอบกับไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ทั้งได้ความจากปลัดอำเภอผู้จัดทำหนังสือมอบอำนาจจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้ ป. ว่า ป.ต้องการแบ่งที่ดินพิพาทส่วนที่ไม่มีบ้านให้จำเลย ส่วนที่ดินพิพาทบริเวณที่มีบ้านจะเก็บไว้ก่อน เช่นนี้พอชี้ชัดได้ว่า ป. มิได้ยกบ้านและที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นสิทธิเด็ดขาด พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 542/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการกระทำผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อขาย โดยการตัดหลอดกาแฟเพื่อใช้บรรจุยาเสพติด
ลักษณะของหลอดกาแฟที่จำเลยที่ 2 ตัดแล้วจำนวน350 หลอด และกำลังตัดขณะเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมยาวประมาณ 1 เซนติเมตร เท่ากับความยาวของหลอดกาแฟที่ใช้บรรจุเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด ที่สายลับล่อซื้อมาได้จากห้องพักที่จำเลยทั้งสองอยู่ด้วยกัน ลักษณะของหลอดกาแฟที่ตัดไม่สามารถนำไปใช้ทำประโยชน์อื่นใดได้นอกจากใช้บรรจุเมทแอมเฟตามีนแบ่งขายให้แก่ผู้ซื้อเท่านั้นเมื่อจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายการที่จำเลยที่ 2 ตัดหลอดกาแฟเพื่อให้จำเลยที่ 1 ไว้ใช้บรรจุเมทแอมเฟตามีนขายแก่ผู้ซื้อ จึงเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ขณะกระทำความผิดแล้วแม้ไม่เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1ในการขายเมทแอมเฟตามีน แต่หลอดกาแฟที่จำเลยที่ 2ตัดไว้สามารถนำไปใช้บรรจุเมทแอมเฟตามีนเพื่อขายการกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการสนับสนุนการมีไว้เพื่อขายของจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 424/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและการยกฟ้องในชั้นตรวจคำฟ้อง: กรณีความแตกต่างของยอดหนี้และการใช้สิทธิวางทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับชำระเงิน 5,575,551.53 บาท จากโจทก์ โดยกล่าวอ้างว่าโจทก์ยังเป็นหนี้ค่าซื้อสินค้าอยู่แก่จำเลย 5,575,551.53 บาท แต่จำเลยเรียกให้โจทก์ชำระหนี้ 6,565,377.55 บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่แตกต่างกันมาก โจทก์จำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลเพื่อพิสูจน์ยอดหนี้ แต่ข้อโต้แย้งดังกล่าวเป็นเพียงทำให้การชำระหนี้ของโจทก์ ไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิได้แน่นอนว่าจะชำระหนี้เป็นจำนวนใด อันทำให้โจทก์สามารถใช้สิทธิวางทรัพย์ด้วยการชำระหนี้ตามจำนวนที่โจทก์เห็นว่าถูกต้อง ณ สำนักงานวางทรัพย์ ซึ่งหากเป็นจำนวนที่ถูกต้องโจทก์ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 331 เมื่อโจทก์มีทางเลือกที่จะปฏิบัติได้โดยไม่ต้องนำคดีมาฟ้องศาล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
การตรวจคำฟ้อง ศาลชั้นต้นต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคท้าย ซึ่งบัญญัติว่า "ให้ศาลตรวจคำฟ้องนั้นแล้วสั่งให้รับไว้ หรือให้ยกเสียหรือให้คืนไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18" คำว่า ให้ยกเสียตามบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการยกฟ้องของโจทก์นั่นเอง ศาลจึงมีอำนาจยกฟ้องในชั้นตรวจคำฟ้องได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งรับฟ้องไว้ก่อน
เมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ปรากฏว่ามีการโต้แย้งสิทธิอันเป็นกรณีโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของโจทก์ทันที โดยมิได้มีคำสั่งรับคำฟ้องโจทก์ไว้ก่อนจึงชอบแล้ว
การที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องแล้วนำข้อเท็จจริงในคำฟ้องมาวินิจฉัยเกี่ยวกับคำฟ้องโจทก์และพิพากษายกฟ้อง เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามความหมายแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 131 (2) ซึ่งมีผลเป็นการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นไม่รับหรือคืนคำฟ้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18 จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลแก่โจทก์ตามมาตรา 151
การตรวจคำฟ้อง ศาลชั้นต้นต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคท้าย ซึ่งบัญญัติว่า "ให้ศาลตรวจคำฟ้องนั้นแล้วสั่งให้รับไว้ หรือให้ยกเสียหรือให้คืนไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18" คำว่า ให้ยกเสียตามบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการยกฟ้องของโจทก์นั่นเอง ศาลจึงมีอำนาจยกฟ้องในชั้นตรวจคำฟ้องได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งรับฟ้องไว้ก่อน
เมื่อโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ปรากฏว่ามีการโต้แย้งสิทธิอันเป็นกรณีโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของโจทก์ทันที โดยมิได้มีคำสั่งรับคำฟ้องโจทก์ไว้ก่อนจึงชอบแล้ว
การที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องแล้วนำข้อเท็จจริงในคำฟ้องมาวินิจฉัยเกี่ยวกับคำฟ้องโจทก์และพิพากษายกฟ้อง เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีตามความหมายแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 131 (2) ซึ่งมีผลเป็นการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นไม่รับหรือคืนคำฟ้องตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18 จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลแก่โจทก์ตามมาตรา 151