พบผลลัพธ์ทั้งหมด 69 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2271/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจา: โจทก์ต้องมาศาลเพื่อแจ้งรายละเอียดการฟ้องด้วยตนเอง
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาในศาลแขวงนั้น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 20กำหนดไว้ว่าถ้าผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ให้พนักงานสอบสวนนำผู้ต้องหามายังพนักงานอัยการเพื่อฟ้องศาลโดยไม่ต้องสอบสวนและให้ฟ้องด้วยวาจา และมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่าการฟ้องด้วยวาจาให้โจทก์แจ้งต่อศาลถึงชื่อโจทก์ ชื่อ ที่อยู่ และสัญชาติของจำเลย ฐานความผิด การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดและอื่น ๆ อีกหลายประการ เช่นนี้ โจทก์จึงต้องมาศาล เมื่อโจทก์เพียงแต่ให้พนักงานธุรการนำบันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจามายื่นต่อศาล โดยโจทก์ไม่มาศาล ย่อมถือไม่ได้ว่ามีการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจา
บันทึกการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์เป็นเพียงหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจา และเพื่อความสะดวกที่ศาลจะบันทึกการฟ้องด้วยวาจาลงในแบบพิมพ์ของศาลได้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น หาใช่ฟ้องด้วยวาจาตามกฎหมายไม่.
บันทึกการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์เป็นเพียงหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจา และเพื่อความสะดวกที่ศาลจะบันทึกการฟ้องด้วยวาจาลงในแบบพิมพ์ของศาลได้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น หาใช่ฟ้องด้วยวาจาตามกฎหมายไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2271/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาต้องมีการแจ้งรายละเอียดต่อศาลโดยโจทก์เอง การมอบหมายให้ผู้อื่นดำเนินการแทนไม่ถือเป็นการฟ้อง
บันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาของโจทก์นั้น เป็นเพียงหลักฐานการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจา และเป็นความสะดวกที่ศาลจะบันทึกการฟ้องด้วยวาจาลงในแบบพิมพ์ของศาลได้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น หาใช่ฟ้องด้วยวาจาตามกฎหมายไม่ แม้ตามมาตรา 20 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ จะมิได้บังคับโดยตรงว่าโจทก์ต้องไปศาล แต่มาตรา 19 ของ พ.ร.บ. ดังกล่าวบัญญัติให้โจทก์แจ้งต่อศาลถึงชื่อ โจทก์ ชื่อ ที่อยู่และสัญชาติของจำเลยฐานความผิด การกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดและอื่น ๆอีกหลายประการ เห็นได้ว่าลักษณะของงานบังคับให้โจทก์ต้องไปศาลอยู่ในตัว เมื่อโจทก์ไม่ไปศาลย่อมถือว่าไม่มีการฟ้องคดี.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3697/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกข้อกฎหมายใหม่ในชั้นอุทธรณ์และฎีกาหลังรับสารภาพในศาลชั้นต้น ถือเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
โจทก์ฟ้องจำเลยด้วยวาจา ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ว่าจำเลยบังอาจใช้เครื่องมืออวนรุนทำการประมงภายในเขตระยะ3,000 เมตร นับจากขอบแนวตามชายฝั่งโดยไม่รับอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศกระทรวงเกษตรเรื่องกำหนดเขตห้ามใช้เครื่องมืออวนลากและอวนรุนที่ใช้กับเรือยนต์ทำการประมงลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2515จำเลยให้การรับสารภาพดังนี้ ประกาศกระทรวงเกษตรฉบับดังกล่าวออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายใด และมีข้อความว่าอย่างไรนั้นเป็นข้อเท็จจริงเมื่อจำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์และกล่าวอ้างว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยประการต่าง ๆ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จำเลยยกขึ้นฎีกามาอีกต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3213/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดฐานมีวัตถุอนาจารเพื่อการค้า และการริบเงินที่ได้จากการกระทำผิด
แม้ศาลจะบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์แต่เพียงว่า จำเลยมีวีดีโอเทปภาพลามกไว้ในครอบครองเพื่อบริการแลกเปลี่ยนให้แก่ลูกค้าหรือสมาชิกด้วยการคิดค่าบริการเป็นเงินค่าเช่า แต่บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งว่า จำเลยมีวิดีโอเทปภาพยนตร์ลามกไว้ในความครอบครองเพื่อบริการให้เช่า แลกเปลี่ยน แก่ลูกค้าหรือสมาชิก ด้วยการคิดค่าบริการเป็นเงินค่าเช่า อันเป็นการบรรยายครบองค์ประกอบความผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287(2) แล้ว เมื่อจำเลยรับสารภาพ ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามฟ้องได้
บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ระบุแต่เพียงว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้จับจำเลยพร้อมทั้งยึดของกลางจำนวน 2 รายการซึ่งได้แนบท้ายฟ้อง และบัญชีของกลางระบุว่าเงิน 570 บาทเป็นของกลางที่พบในสถานที่เกิดเหตุขณะจับกุมเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 เงินของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่พึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33
บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ระบุแต่เพียงว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้จับจำเลยพร้อมทั้งยึดของกลางจำนวน 2 รายการซึ่งได้แนบท้ายฟ้อง และบัญชีของกลางระบุว่าเงิน 570 บาทเป็นของกลางที่พบในสถานที่เกิดเหตุขณะจับกุมเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 เงินของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่พึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3213/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีลามกและการริบของกลาง: องค์ประกอบความผิดและทรัพย์สินที่ริบได้
แม้ศาลจะบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์แต่เพียงว่า จำเลย มีวีดีโอเทปภาพลามกไว้ในครอบครองเพื่อบริการแลกเปลี่ยนให้แก่ลูกค้าหรือสมาชิกด้วยการคิดค่าบริการเป็นเงินค่าเช่า แต่บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ได้บรรยายไว้ชัดแจ้งว่าจำเลยมีวิดีโอเทปภาพยนตร์ลามกไว้ในความครอบครองเพื่อบริการให้เช่าแลกเปลี่ยนแก่ลูกค้าหรือสมาชิก ด้วยการคิดค่าบริการเป็นเงินค่าเช่า อันเป็นการบรรยายครบ องค์ประกอบความผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา287(2) แล้ว เมื่อจำเลยรับสารภาพ ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามฟ้องได้
บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ระบุแต่เพียงว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้จับจำเลยพร้อมทั้งยึดของกลางจำนวน 2 รายการซึ่งได้แนบท้ายฟ้องและบัญชีของกลางระบุว่าเงิน570 บาทเป็นของกลางที่พบในสถานที่เกิดเหตุขณะจับกุมเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 เงินของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่พึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33
บันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาของโจทก์ระบุแต่เพียงว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้จับจำเลยพร้อมทั้งยึดของกลางจำนวน 2 รายการซึ่งได้แนบท้ายฟ้องและบัญชีของกลางระบุว่าเงิน570 บาทเป็นของกลางที่พบในสถานที่เกิดเหตุขณะจับกุมเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาโดยการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 เงินของกลางจึงมิใช่ทรัพย์สินที่พึงริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2466/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายสุรานอกเวลา แม้ไม่ได้ระบุใบอนุญาตในคำฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยฟ้องสมบูรณ์ได้หากมีข้อเท็จจริงแสดงการกระทำความผิด
โจทก์ฟ้องด้วยวาจาปรากฏตามบันทึกคำฟ้องประกอบกับหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาว่า เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2518 เวลา 01.30 นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาที่ห้ามมิให้ผู้ใดจำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยได้บังอาจจำหน่ายสุราแม่โขงและเบียร์ให้ ส. และ ว. โดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ศาลชั้นต้นมิได้บันทึกความที่ว่าจำเลยเป็นผู้ได้รับอนุญาตขายสุราไว้ก็ตาม ก็ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตขายสุราประเภทใดประเภทหนึ่งระหว่างประเภทที่ 3 ถึงประเภทที่ 6 ตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 จึงจะต้องห้ามมิให้ขายสุรานอกเหนือเวลาที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 253 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 2 กำหนดไว้ หากจำเลยมิใช่ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขายสุราตามความในกฎหมายว่าด้วยสุรา จำเลยก็ขายสุราไม่ได้เลยไม่ว่าภายในหรือนอกเวลาที่กำหนด ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2466/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องจำหน่ายสุรานอกเวลาที่กฎหมายกำหนด แม้ไม่มีรายละเอียดในคำฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำฟ้องครบองค์ประกอบความผิด
โจทก์ฟ้องด้วยวาจาปรากฏตามบันทึกคำฟ้องประกอบกับหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาว่า เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2518 เวลา 01.30 นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาที่ห้ามมิให้ผู้ใดจำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยได้บังอาจจำหน่ายสุราแม่โขงและเบียร์ให้ ส.และว. โดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ศาลชั้นต้นมิได้บันทึกความที่ว่าจำเลยเป็นผู้ได้รับอนุญาตขายสุราไว้ก็ตาม ก็ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตขายสุราประเภทใดประเภทหนึ่งระหว่างประเภทที่ 3 ถึงประเภทที่ 6 ตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ.2493 จึงจะต้องห้ามมิให้ขายสุรานอกเหนือเวลาที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 253 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 2 กำหนดไว้ หากจำเลยมิใช่ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขายสุราตามความในกฎหมายว่าด้วยสุรา จำเลยก็ขายสุราไม่ได้เลย ไม่ว่าภายในหรือนอกเวลาที่กำหนด ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาครบองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุอันลามก และประมวลกฎหมายอาญา ศาลฎีกายืนตามคำฟ้อง
คดีที่โจทก์ฟ้องด้วยวาจา พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 19 ให้ศาลบันทึกใจความแห่งคำฟ้องไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น หาจำต้องบันทึกคำฟ้องโดยละเอียดดังเช่นการฟ้องเป็นหนังสือไม่ และก่อนบันทึกคำฟ้อง ศาลอาจจะสอบถามโจทก์เกี่ยวกับการกระทำและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิด แล้วบันทึกไว้แต่เฉพาะใจความของคำฟ้องที่สำคัญ
การที่ศาลบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ว่า จำเลยได้ร่วมกันเป็นเจ้าของและจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ลามกอนาจารโดยผิดกฎหมายนั้น ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยได้ร่วมกันทำให้แพร่หลายซึ่งภาพยนตร์ที่ลามกอันเป็นการผิดกฎหมาย กล่าวคือกระทำเพื่อการแสดงอวดแก่สาธารณชนหรือแก่ประชาชน เป็นใจความคำฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ. 2471 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 (1) แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 และลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยบางคนอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ครบองค์ประกอบความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าใจความแห่งคำฟ้องครบองค์ประกอบความผิดแล้ว และเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเรื่องการลดหย่อนผ่อนโทษไปเสียทีเดียว โดยเห็นว่าคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยกระทำเพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้าประการใด และสภาพแห่งความผิดของจำเลยมีเหตุอันควรรอการลงโทษให้จำเลยได้ ดังนี้ ถือว่าเหตุในการรอการลงโทษนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้รอการลงโทษตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์ด้วยได้
การที่ศาลบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ว่า จำเลยได้ร่วมกันเป็นเจ้าของและจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ลามกอนาจารโดยผิดกฎหมายนั้น ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยได้ร่วมกันทำให้แพร่หลายซึ่งภาพยนตร์ที่ลามกอันเป็นการผิดกฎหมาย กล่าวคือกระทำเพื่อการแสดงอวดแก่สาธารณชนหรือแก่ประชาชน เป็นใจความคำฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ. 2471 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 (1) แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 และลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยบางคนอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ครบองค์ประกอบความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าใจความแห่งคำฟ้องครบองค์ประกอบความผิดแล้ว และเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเรื่องการลดหย่อนผ่อนโทษไปเสียทีเดียว โดยเห็นว่าคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยกระทำเพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้าประการใด และสภาพแห่งความผิดของจำเลยมีเหตุอันควรรอการลงโทษให้จำเลยได้ ดังนี้ ถือว่าเหตุในการรอการลงโทษนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้รอการลงโทษตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์ด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1204/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาด้วยวาจาเพียงพอต่อการบรรยายองค์ประกอบความผิดได้ หากใจความที่บันทึกครบถ้วน และศาลมีอำนาจรอการลงโทษได้
คดีที่โจทก์ฟ้องด้วยวาจา พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ.2499 มาตรา 19 ให้ศาลบันทึกใจความแห่งคำฟ้องไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น หาจำต้องบันทึกคำฟ้องโดยละเอียดดังเช่นการฟ้องเป็นหนังสือไม่ และก่อนบันทึกคำฟ้อง ศาลอาจจะสอบถามโจทก์เกี่ยวกับการกระทำและข้อเท็จจริงต่างๆที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดแล้วบันทึกไว้แต่เฉพาะใจความของคำฟ้องที่สำคัญ
การที่ศาลบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ว่า จำเลยได้ร่วมกันเป็นเจ้าของและจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ลามกอนาจารโดยผิดกฎหมายนั้น ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยได้ร่วมกันทำให้แพร่หลายซึ่งภาพยนตร์ที่ลามกอันเป็นการผิดกฎหมายกล่าวคือกระทำเพื่อการแสดงอวดแก่สาธารณชนหรือแก่ประชาชน เป็นใจความคำฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ.2471 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287(1) แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามกและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 และลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยบางคนอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ครบองค์ประกอบความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าใจความแห่งคำฟ้องครบองค์ประกอบความผิดแล้ว และเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเรื่องการลดหย่อนผ่อนโทษไปเสียทีเดียว โดยเห็นว่าคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยกระทำเพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้าประการใด และสภาพแห่งความผิดของจำเลยมีเหตุอันควรรอการลงโทษให้จำเลยได้ ดังนี้ ถือว่าเหตุในการรอการลงโทษนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้รอการลงโทษตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์ด้วยได้
การที่ศาลบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ว่า จำเลยได้ร่วมกันเป็นเจ้าของและจัดให้มีการฉายภาพยนตร์ลามกอนาจารโดยผิดกฎหมายนั้น ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าจำเลยได้ร่วมกันทำให้แพร่หลายซึ่งภาพยนตร์ที่ลามกอันเป็นการผิดกฎหมายกล่าวคือกระทำเพื่อการแสดงอวดแก่สาธารณชนหรือแก่ประชาชน เป็นใจความคำฟ้องที่ครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามก พ.ศ.2471 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287(1) แล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งหมดมีความผิดตามพระราชบัญญัติปรามการทำให้แพร่หลายและการค้าวัตถุอันลามกและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 และลงโทษจำคุกจำเลย จำเลยบางคนอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายให้ครบองค์ประกอบความผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าใจความแห่งคำฟ้องครบองค์ประกอบความผิดแล้ว และเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเรื่องการลดหย่อนผ่อนโทษไปเสียทีเดียว โดยเห็นว่าคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยกระทำเพื่อความประสงค์แห่งการค้าหรือโดยการค้าประการใด และสภาพแห่งความผิดของจำเลยมีเหตุอันควรรอการลงโทษให้จำเลยได้ ดังนี้ ถือว่าเหตุในการรอการลงโทษนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้รอการลงโทษตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์ด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องด้วยวาจาในศาลแขวง การรับสารภาพของผู้ต้องหา และข้อต่อสู้เรื่องความชอบด้วยกฎหมายของประกาศ
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 19 วรรค 2, 4และมาตรา 20 แสดงว่าวิธีพิจารณาของศาลแขวงนั้น ต้องการให้ดำเนินการให้เสร็จไปโดยเร็ว ทั้งการฟ้องด้วยวาจาต่อศาลแขวงนั้นกฎหมายก็มิได้เคร่งครัดเหมือนการฟ้องด้วยลายลักษณ์อักษรตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1121/2502
คดีที่เสนอคำฟ้องด้วยวาจาต่อศาลแขวง กล่าวหาว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืน ประกาศคณะกรรมการส่วนจังหวัดป้องกันการค้ากำไรเกินควร ที่สั่งห้ามมิให้นำน้ำแข็งเข้ามาในเขตท้องที่โดยอ้างประกาศของคณะกรรมการส่วนจังหวัดป้องกันการค้ากำไรเกินควรเรื่องห้ามนำน้ำแข็งนอกเขตจังหวัดเข้ามาจำหน่ายในเขตจังหวัดซึ่งเป็นประกาศที่เกี่ยวกับเรื่องโดยตรงมาแต่เพียงฉบับเดียวเมื่อศาลสอบถาม จำเลยก็คงรับสารภาพผิดเช่นเดียวกับที่รับสารภาพต่อพนักงานสอบสวน เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยพอเข้าใจข้อหาอันเป็นความผิดได้ดีแล้ว จำเลยจะกลับโต้เถียงมา ในฎีกาว่าประกาศฉบับนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่มีผลบังคับหาได้ไม่
คดีที่เสนอคำฟ้องด้วยวาจาต่อศาลแขวง กล่าวหาว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืน ประกาศคณะกรรมการส่วนจังหวัดป้องกันการค้ากำไรเกินควร ที่สั่งห้ามมิให้นำน้ำแข็งเข้ามาในเขตท้องที่โดยอ้างประกาศของคณะกรรมการส่วนจังหวัดป้องกันการค้ากำไรเกินควรเรื่องห้ามนำน้ำแข็งนอกเขตจังหวัดเข้ามาจำหน่ายในเขตจังหวัดซึ่งเป็นประกาศที่เกี่ยวกับเรื่องโดยตรงมาแต่เพียงฉบับเดียวเมื่อศาลสอบถาม จำเลยก็คงรับสารภาพผิดเช่นเดียวกับที่รับสารภาพต่อพนักงานสอบสวน เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยพอเข้าใจข้อหาอันเป็นความผิดได้ดีแล้ว จำเลยจะกลับโต้เถียงมา ในฎีกาว่าประกาศฉบับนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่มีผลบังคับหาได้ไม่